ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 907 แย่งชิงผู้เล่น!
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 907 แย่งชิงผู้เล่น!
มาที่จินหลิงเหรอ?
เมื่อนักวิชาการหวังซื่อเฉิงได้ยินคำนี้ เขาก็เกือบจะโมโห
คนที่ลู่โจวกำลังพยายามแย่งชิงนั้นเคยเป็นคนธรรมดา ดังนั้นถึงแม้ว่าเฉินหยางจะออกจากศูนย์คณิตศาสตร์ หวังซื่อเฉิงก็คงจะไม่สนใจ…
อย่างไรก็ตามไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกแย่งชิงโดยนักวิชาการลู่ก็จะไม่ได้เป็นแค่ ‘คนธรรมดา’ แล้ว
หวังซื่อเฉิงรู้ว่านักวิชาการลู่มีทักษะการมองหาผู้มีพรสวรรค์
อย่างไรก็ดี หวังซื่อเฉิงเชื่อในการตัดสินของลู่โจวมากกว่าตัวเขาเอง
“นักวิชาการลู่” หวังซื่อเฉิงกระแอมแล้วพูดว่า “นั่น…คงไม่ใช่ความคิดที่ดีหรอกจริงไหม? ศาสตราจารย์เฉินเป็นแกนหลักของนักวิจัยรุ่นใหม่ของเราที่ศูนย์วิจัยคณิตศาสตร์นานาชาติมหาวิทยาลัยเหยียน การชิงตัวเขาโดยตรงต่อหน้าเราออกจะดูไม่ค่อยเหมาะสม…”
“งั้นเหรอครับ?”
อะไรที่ไม่เหมาะสมเหรอ?
พวกคุณก็ไม่ต้องการเขาอยู่แล้ว…
ลู่โจวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แต่ผมได้ยินมาว่า… ศาสตราจารย์เฉินไม่มีแม้แต่ห้องทำงานที่นี่ไม่ใช่เหรอครับ? เพราะศูนย์คณิตศาสตร์ก็แออัดอย่างเห็นได้ชัด มันจะไม่ดีกับเขามากกว่าเหรอครับที่จะออกไป?”
หวังซื่อเฉิงทำสีหน้ากระอักกระอ่วน
“นั่นเป็นการเข้าใจผิด คุณเฉินเป็นรองศาสตราจารย์ที่น่านับถือ และเราย้ายเขาออกจากห้องทำงานของเขาเพื่อเป็นหนทางในการฝึกฝนจิตใจของเขา”
หวังซื่อเฉิงมองมาที่เฉินหยางแล้วพูดว่า “เฉินหยาง ผมกำลังวางแผนจะให้คุณเป็นศาสตราจารย์เต็มตัวในปีนี้ ผมแค่ยังไม่ได้มาบอกคุณ ตำแหน่งศาสตราจารย์เต็มตัวจากมหาวิทยาลัยเยียนจิง คิดดูให้ดีๆ นะ”
แต่คำตอบของรองศาสตราจารย์เฉินก็ทำให้นักวิชาการหวังต้องตกตะลึง
ถ้าเฉินหยางไม่เบื่อที่นี่ เขาก็เพียงแค่ไม่ได้สนใจตำแหน่งทางวิชาการของเขาแล้ว แต่เขาดันแว่นตาและพูดขึ้นอย่างไม่ลังเลว่า
“ขอโทษครับนักวิชาการหวัง ผมได้ตัดสินใจแล้ว
“ขอบคุณสำหรับห้าปีที่ผ่านมา อย่างน้อยคุณก็ไม่ได้ไล่ผมออก
“ส่วนเรื่องตำแหน่งที่คุณพูดถึง คุณควรจะเก็บมันไว้ให้คนอื่นมากกว่า ผมไม่สนใจมันจริงๆ ครับ”
“แก…!” หน้าของหวังซื่อเฉิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เอาล่ะ งั้นในเมื่อคุณตัดสินใจแล้ว ก็ทำสิ่งที่คุณต้องการเถอะ”
ศาสตราจารย์หยางหยงอันจ้องไปนักวิชาการหวังอย่างไม่อยากเชื่อ เขาไม่คาดคิดว่านักวิชาการหวังจะยอมอ่อนข้อให้เรื่องนี้ง่ายๆ
นักวิชาการคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่บริเวณใกล้เคียงก็ดูงุนงงเช่นกัน พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่านักวิชาการหวังซื่อเฉิงจะยอมรับความพ่ายแพ้นี้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเขาจะกำลังเผชิญหน้ากับนักวิชาการลู่…
อย่างน้อยเขาก็ควรจะต่อสู้จริงไหม?
เฉินหยางมองลู่โจวแล้วพูดว่า
“ผมอยากไปที่จินหลิงครับ”
ลู่โจวยิ้มแล้วพยักหน้า
“คุณจะได้รับการต้อนรับที่นั่น”
…
แม้ว่านักวิชาการหวังจะไม่ต้องการให้คนของเขาถูกแย่งตัวไป แต่เขาก็ไม่อยากจะทำให้นักวิชาการลู่ไม่พอใจเช่นกัน ยังไม่ต้องพูดถึงตัวของเฉินหยางเองที่ต้องการออกไปอยู่แล้ว
นักวิชาการหวังซื่อเฉิงรู้ว่าไม่มีคำพูดอื่นที่เขาจะสามารถพูดได้แล้ว ในท้ายที่สุดเขาก็พูดคำโป้ปดอย่างเช่น “ขอให้โชคดีกับความอุตสาหะในอนาคตของคุณนะ”
สำหรับเฉินหยางแล้ว เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องการออกจากศูนย์วิจัยคณิตศาสตร์นานาชาติมหาวิทยาลัยเหยียนเลยจริงๆ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม เขาถูกไล่ออกจากห้องทำงานด้วยซ้ำ
เขาอาศัยอยู่ในปักกิ่งมาทั้งชีวิตของเขา ดังนั้นเขาจึงลังเลในเรื่องการย้ายไปอยู่ในเมืองใหม่
อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นการเสียสละเล็กน้อย
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าเขาต้องการไปเยี่ยมครอบครัวของเขา เขาก็สามารถจะนั่งรถไฟความเร็วสูงกลับมาที่ปักกิ่งได้อย่างง่ายดายเมื่อไรก็ได้
หลังจากการแย่งชิงชายผู้มีพรสวรรค์ต่อหน้าคนจำนวนมาก ลู่โจวก็ไม่อยากจะอยู่ในศูนย์วิจัยคณิตศาสตร์นานาชาติมหาวิทยาลัยเหยียนนานเกินไป เขารู้สึกได้ว่านักวิชาการหวังซื่อเฉิงจะไม่ต้อนรับเขาอีกต่อไป
หลังจากได้พูดคุยเล็กน้อย ลู่โจวและเฉินหยางก็ออกจากซื่อเหอย่วนไปอย่างเงียบๆ
พวกเขาเดินไปตามทางที่ขนาบด้วยต้นไม้ในมหาวิทยาลัยเหยียนระหว่างที่ลู่โจวอธิบายให้เฉินหยางฟังย่อๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูง
“สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงไม่มีเกณฑ์วัดผลการปฏิบัติตอนปลายปี คุณสามารถที่จะมุ่งความสนใจไปที่โปรเจกต์การวิจัยอะไรก็ตามที่คุณชอบ ตราบใดที่คุณสามารถพิสูจน์ได้ว่าโปรเจกต์ของคุณมีความสำคัญ ถ้ามีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นใดๆ ก็ตาม คุณสามารถยื่นขอทุนได้
“อีกอย่างคือผมอาจจะไม่สามารถช่วยคุณในเรื่องข้อคาดการณ์ของฮอดจ์ได้ อย่างไรก็ตามผมเองก็มีงานของผมที่ต้องทำ แต่ตอนที่ผมไม่ยุ่ง คุณสามารถมาคุยกับผมได้ ผมมีประสบการณ์เรื่องเรขาคณิตเชิงพีชคณิตอยู่บ้าง”
เฉินหยางเดินไปพร้อมกับกระดาษร่างกองใหญ่และเอกสารในมือขณะที่เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ขอบคุณครับ คุณช่วยผมไว้ครั้งใหญ่เลย”
“ด้วยความยินดีครับ” ลู่โจวยิ้มและพูดว่า “จะว่าไปแล้ว คุณจำผมไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม?
“จำได้ไหมเหรอ?” เฉินหยางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ผมรู้จักคุณ ผมเห็นชื่อของคุณในวิทยานิพนธ์ในคณิตศาสตร์ประจำปีและวิทยานิพนธ์อื่นๆ แต่ผมไม่รู้ว่าหน้าตาคุณเป็นยังไง…”
ลู่โจวกระแอมแล้วถามว่า “ครั้งสุดท้ายที่คุณได้เข้าอินเทอร์เน็ตคือเมื่อไร?”
เฉินหยางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ห้าปีที่แล้ว นับตั้งแต่ผมเข้ามาที่ศูนย์คณิตศาสตร์ ผมก็แทบจะไม่ได้เข้าเว็บออนไลน์… ผมไม่จำเป็นต้องใช้มันจริงๆ มีแหล่งข้อมูลมากมายที่ศูนย์คณิตศาสตร์และผมก็สามารถจะหาแหล่งข้อมูลใดที่ผมต้องการก็ได้”
ลู่โจวพูดว่า “คุณไม่ได้ดูโทรทัศน์ด้วยใช่ไหม?”
เฉินหยางตอบว่า “… มีโทรทัศน์อยู่ในโรงอาหาร แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้ดูมัน”
เข้าใจแล้ว…
ดูเหมือนว่าชายผู้นี้จะยังอยู่ในยุคศตวรรษที่ 19
คนประเภทนี้พบได้ทั่วไปในพรินซ์ตัน ที่ซึ่งมีศาสตราจารย์สูงวัยมากมายที่ไม่ชอบใช้อินเทอร์เน็ต พวกเขาคงจะขอให้นักศึกษาปริญญาเอกของพวกเขาให้ช่วยจองตั๋วเครื่องบินและบัตรเข้าประชุมทางวิชาการให้ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามนักวิชาการจีนวัยสามสิบคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าเว็บออนไลน์นั้นก็ค่อนข้างหาได้ยาก
ลู่โจวกระแอมแล้วพูดว่า “…ผมไม่อยากจะวิจารณ์ธรรมเนียมในการวิจัยของคุณ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว อินเทอร์เน็ตทำให้หลายอย่างง่ายขึ้น อย่างเช่น arXiv เป็นเหมือนขุมทอง แม้ว่าเอกสารทางวิชาการก่อนตีพิมพ์จะไม่ได้ผ่านการพิชญพิจารณ์ แต่ก็มีแนวคิดที่มากด้วยประสบการณ์มากมายในนั้น”
“arXiv เหรอครับ?”
“ไม่มีทางที่คุณจะไม่รู้จักแม้แต่ว่า arXiv คืออะไรใช่ไหม?”
เฉินหยางเริ่มครุ่นคิดถึงธรรมเนียมการวิจัยของเขา จากนั้นเขาก็พูดอย่างระมัดระวังว่า “ผมจะลองไปสำรวจดู”
ถึงแม้ชายผู้นี้จะล้าสมัยไปหน่อย แต่เขาก็ยังเปิดรับคำแนะนำ
ลู่โจวพยักหน้าและไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก
ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดนักคณิตศาสตร์อย่างเฉินหยางถึงไม่รู้จักเขา
ห้าปีที่แล้วลู่โจวยังอยู่ที่พรินซ์ตัน
ถ้าเฉินหยางไม่เคยเข้าเว็บออนไลน์หรือติดตามข่าวซุบซิบเรื่องคณิตศาสตร์จของโลก มันก็สมเหตุสมผลที่เขาจะไม่รู้จักลู่โจว
เหมือนกับเด็กที่สวมหมวกเบสบอล เขาน่าจะเป็นหนึ่งในนักเรียนอัจฉริยะเหล่านั้นที่ไม่เคยเข้าเว็บออนไลน์หรือดูโทรทัศน์ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจะจดจำลู่โจวได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แวดวงวิชาการนั้นเป็นวงการที่ค่อนข้างเก็บตัว ต่างจากอุตสาหกรรมบันเทิงโดยสิ้นเชิงที่ซึ่งทุกคนรู้จักกัน
“จะว่าไป ผมยังไม่ได้พูดถึงค่าใช้จ่ายเลย”
“ค่าใช้จ่ายเหรอ?” เฉินหยางนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “จริงๆ ผมไม่ได้สนใจ แค่ครอบคลุมค่าครองชีพ… และค่าสมัครสมาชิกวารสารก็พอ”
ลู่โจวส่ายหัวและยิ้ม
“ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราทำกัน… คุณจบปริญญาเอกใช่ไหมครับ?”
เฉินหยางพยักหน้า
“ครับ…”
ลู่โจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เนื่องด้วยคุณเป็นรองศาสตราจารย์ที่ปักกิ่ง เงินเดือนของคุณน่าจะเริ่มต้นที่ 10,000 หยวน ที่พักและประกันภัยก็จะรวมอยู่ในนั้นด้วย หลังจากคุณไปถึงจินหลิงคุณก็จะได้รับรายละเอียดทั้งหมด ผมไม่มีข้อกำหนดด้านการปฏิบัติงานใดๆ สำหรับคุณ แต่ค่าตอบแทนนั้นเน้นที่เรื่องผลลัพธ์ เราทำงานอยู่บนพื้นฐานคุณธรรมนิยมทั้งหมด ทั้งหมดที่ผมจะจัดหาให้คุณได้คือสภาพแวดล้อมสำหรับการวิจัย”
หลังจากได้ยินคำพูดของลู่โจว เฉินหยางก็พยักหน้า เขาไม่ได้โฟกัสที่ค่าตอบแทนของเขาเลย
แต่เขากลับพูดขึ้นว่า “คุณจะไม่ไปที่จินหลิงกับผมใช่ไหม?”
ลู่โจวยิ้มและพูดว่า “ตลอดทางที่มายังปักกิ่งผมไม่ได้มาเพื่อแย่งตัวคุณ ผมยังมีการประชุมอยู่ที่นี่ คุณแค่ไปที่จินหลิงพร้อมกับจดหมายแนะนำของผม คุณรู้วิธีเรียกแท็กซี่ใช่ไหมครับ?”
เฉินหยางพยักหน้า
“ผมรู้ครับ”
ทั้งสองเดินมาเกือบถึงประตูมหาวิทยาลัย
ลู่โจวเห็นรถเก๋งสีดำของเขาจอดอยู่ไม่ไกล
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินใครบางคนตะโกนมาจากด้านหลัง
“นักวิชาการลู่! รอเดี๋ยวครับ นักวิชาการลู่!”
ลู่โจวหันกลับไปและเห็นเด็กชายที่สวมหมวกเบสบอลวิ่งตรงมาหาเขา
ขณะที่เด็กชายหยุดวิ่งแล้วเริ่มหายใจหอบ ลู่โจวก็เลิกคิ้วแล้วถามอย่างใจเย็นว่า “นี่ คุณต้องการอะไร?”
เด็กชายหายใจหอบระหว่างที่ตบหน้าอกตัวเองเบาๆ เขาแทบจะยืนตัวตรงไม่ได้ระหว่างที่ตอบว่า “เอ่อ ผมชื่อหลี่โม่ เป็นสมาชิกของทีมอบรม IMO ระดับชาติครับ ผมขอโทษที่ผมจำคุณไม่ได้ ผมไม่เคยเห็นรูปคุณมาก่อน ผมเสียใจจริงๆ… เอ่อ คุณจะช่วยมาเป็นที่ปรึกษาให้ผมได้ไหมครับ?”
ลู่โจวอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นว่าเด็กวัยรุ่นคนนี้กระตือรือร้นเพียงใด เขาก็ไม่อยากที่จะปฏิเสธเขากะทันหัน
“โอเค งั้นบอกมาหน่อย คุณเก่งด้านไหน?”
“เอ่อ” เด็กชายเกาหัวแล้วพูดว่า “ความสำเร็จของผมไม่มีค่าพอให้กล่าวถึงหรอกครับ”
โอ้ กังวลเรื่องนั้นเหรอ?
แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจะเป็นที่ปรึกษาของคุณล่ะ?
ลู่โจวยิ้มแล้วคิดว่ากำลังจะแกล้งเด็กคนนี้
แต่แล้วเด็กชายวัยรุ่นก็กล่าวขึ้นมาก่อนว่า
“ตะ แต่โค้ชฝึกอบรมของทีมบอกผมว่าผมเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวที่ทำโจทย์ที่ยากที่สุดในข้อสอบของค่ายฝึกอบรมฤดูหนาวเสร็จ เขาบอกผมว่าถ้าผมอยากอยู่ในวงการคณิตศาสตร์ต่อไป ผมควรจะเข้าสาขาทฤษฎีจำนวนหรือการวิเคราะห์เชิงซ้อน เท่าที่ผมได้หารือมาคุณเป็นนักวิชาการที่เก่งที่สุดในด้านทฤษฎีจำนวน!”
ลู่โจวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “เดี๋ยวก่อนนะ คุณเป็นคุณเดียวที่แก้โจทย์ได้งั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ!” เด็กชายพูดพร้อมด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ จากนั้นเขาก็ยิ้มและเสริมว่า “อาจารย์พูดเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับคนที่คิดโจทย์ที่ยากระดับนี้สำหรับนักเรียนมัธยม เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ที่ทำเครื่องหมายไว้ที่โจทย์ข้อนี้บ่นว่าฟังก์ชันซีตาของรีมันน์อยู่นอกหลักสูตรได้ยังไง! แน่นอนว่าการแข่งขันไม่มีหลักสูตร…”
หลี่โม่คนนี้เป็นคนที่พูดอะไรเรื่อยเปื่อยชัดๆ
ลู่โจวไม่ได้ฟังคำพูดของเขาอย่างเต็มที่เลย แต่เขากลับทำสีหน้ากระอักกระอ่วนแทน
ฉันคงไม่ใช่คนเดียว… ที่คิดโจทย์นี้หรอกนะ…
แต่มันยากขนาดนั้นจริงเหรอ?
มีคนแก้ได้แค่คนเดียว?
จริงเหรอ?
ลู่โจวจ้องไปที่หลี่โม่แล้วกระแอมออกมา
“อย่าอวดดีหน่อยเลย โจทย์นั่นไม่ได้ยาก”
ลู่โจวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ผมยอมรับว่าคุณมีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์ แต่คุณไม่ควรภูมิใจจนเกินไป
“เพราะคุณก็รู้ว่าผมเป็นใคร คุณรู้จักภูมิหลังของผม การจะมาเป็นลูกศิษย์ผมมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”
“ผมรู้! คุณมหัศจรรย์สุดๆ เลย!” เด็กชายพูดพร้อมกับทำตาเป็นประกาย “บอกผมเถอะครับ ผมต้องทำยังไงเพื่อจะให้คุณสอนคณิตศาสตร์ให้ผม?”
ลู่โจวสามารถบอกได้เลยว่าเด็กคนนี้ไม่ได้กระหายชื่อเสียงหรือทรัพย์สินและเขาก็ทำสิ่งนี้ด้วยความรักคณิตศาสตร์อย่างบริสุทธิ์ใจ ลู่โจวไตร่ตรองอยู่สักพักก่อนจะพูดว่า
“ง่ายๆ เลย คว้าเหรียญทองจากการแข่ง IMO มาให้ได้แล้วเราค่อยมาคุยกัน”
หลังจากนั้นเขาและเฉินหยางก็เดินออกจากประตูมหาวิทยาลัยไป
…………………..