ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 914 บางคนก็กำลังฉลอง บางคนก็ไม่
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 914 บางคนก็กำลังฉลอง บางคนก็ไม่
[พิธีเปิดการประชุมเครื่องชนอนุภาคแฮดรอนนานาชาติมาถึงบทสรุปที่สมบูรณ์แล้ว นักวิชาการลู่ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในฐานะตัวแทนของวงการวิชาการของประเทศจีน]
พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ครั้งนี้ยาวเป็นพิเศษ
เนื้อหาที่อยู่ในหัวข่าวนี้ทำให้ทุกคนตกใจ
การก่อสร้างเครื่องชนอนุภาคแฮดรอนกำลังจะเริ่มขึ้นในอีก 1 เดือน
ด้วยงบประมาณถึงสองหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ!
สถาบันฟิสิกส์อนุภาคมากกว่า 200 แห่งทั่วโลกก็จะเข้าร่วมด้วย
นี่รวมถึงศูนย์ฟิสิกส์ชื่อดังอย่างเซิร์น และคณะฟิสิกส์ของพรินซ์ตันด้วย ขนาดคนนอกวงการวิชาการยังเคยได้ยินชื่อสถาบันพวกนี้เลย
แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คนอื่นประหลาดใจเท่าไร
สิ่งที่ทำให้คนอื่นประหลาดใจคือ ในงบประมาณสองหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น ประเทศจีนที่เป็นฝ่ายเริ่มเปิดโปรเจกต์ต้องจ่ายเงินหนึ่งหมื่นล้านดอลลาร์เท่านั้น
ในขณะที่สหรัฐอเมริกาต้องจ่ายเงินอีกห้าพันล้านดอลลาร์!
วินาทีที่หัวข้อข่าวนี้ออกมา เว็บบอร์ดออนไลน์ก็มีแต่กระทู้เรื่องการเมืองเต็มไปหมด…
[โลกนี้เพี้ยนไปหมดแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกอเมริกันจะใจดีขนาดนี้?]
[ไม่อยากจะเชื่อเลย นักวิชาการลู่ทำได้!]
[ข่าวนี้มันวิเศษมาก…ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ การแข่งขันด้านอวกาศนี่ยังมีอยู่เลยเมื่อปีก่อน ทำไมพวกอเมริกันยอมแพ้เสียแล้วล่ะ?]
[จะอย่างไรก็แล้วแต่โปรเจกต์นี้ก็ส่งผลดีต่อมนุษยชาติทั้งหมดนะ ดีแล้วที่ประเทศหลายแห่งเข้าร่วมโครงการนี้ บางทีพวกอเมริกันอาจจะไม่อยากให้วงการฟิสิกส์บ้านเขาตามหลังจากการที่ไม่ยอมเข้าร่วมโครงการก็ได้มั้ง…]
[หวังจากพวกอเมริกันจะไม่ได้ต้องการอะไรที่มันเกินเหตุนะ]
[ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ไล่พวกเขาออกจากโปรเจกต์ไปเลย!]
ข่าวนี้ทำให้เกิดเป็นประเด็นพูดคุยกันพอสมควรบนอินเทอร์เน็ต โดยมีคำคีย์เวิร์ดหลายคำที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เริ่มจะกลายเป็นคำติดเทรนด์
หลังจากนั้นไม่นาน สื่อต่างๆ ของประเทศจีนเกือบทั้งหมดก็มีแต่ข่าวที่เกี่ยวข้องกับโปรเจกต์วิศวกรรมการบินและอวกาศ
โปรเจกต์ขนาดยักษ์ที่มีประเทศมากกว่า 50 แห่งเข้าร่วม…
โปรเจกต์ที่กำลังจะถูกบันทึกลงในหนังสือประวัติศาสตร์…
เรื่องทั้งหมดนี้มีประเทศจีนเป็นผู้นำทำให้เกิดขึ้น
เป็นทศวรรษที่ไม่เคยมีใครนึกภาพออกว่าจะเป็นไปได้ หรือจะเรียกว่าเป็นช่วงไม่กี่ปีที่ไม่เคยมีใครคาดคิดก็ได้
เพราะก่อนหน้านี้ประเทศจีนยังเอาแต่วิจัยเรื่องฟิวชั่นที่ควบคุมได้ ส่วนสหรัฐอเมริกาก็นำหน้าด้านการบินและอวกาศอยู่ แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้พลิกกลับไปแล้ว
ถึงจะยังมีพวกเกรียนและเฮตเตอร์อยู่ แต่คนส่วนใหญ่ก็มีความสุขที่ได้เห็นประเทศของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
เงินหนึ่งหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่เป็นราคาที่เหมาะสมที่จะต้องจ่ายเพื่อให้ ‘นักวิทยาศาสตร์ของทั้งโลกทำงานเพื่อเรา’
แต่ถ้าเปรียบเทียบกับสื่อของฝั่งจีนแล้ว สื่อของอเมริกาเหนือไม่ได้แฮปปี้เท่าไร
ฝั่งซ้าย มีปฏิกิริยาที่นุ่มนวลพอสมควรกับข่าวนี้ แต่กับฝั่งขวา นั้น มันเหมือนกับว่าทำเนียบขาวได้ตบหน้าพวกเขาเต็มๆ
ถึงพวกเขาจะรู้ดีว่าพวกนักการเมืองจะเป็นพวกเห็นแก่ตัวที่หิวเงิน แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่ารัฐบาลจะทำอะไรแบบนี้ออกมาได้
พิธีกรชื่อดังในรายการทอล์กโชว์การเมืองได้กล่าวตำหนิข่าวนี้กับผู้ชมในรายการเทปล่าสุด
“สภาคองเกรสงี่เง่าอะไรอย่างนี้! ประเทศจีนเป็นประเทศคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดของเราในการแข่งขันทางอวกาศ! พวกเราเพิ่งจะให้เงินห้าหมื่นดอลลาร์กับพวกเขาไปเพื่อสนับสนุนโปรเจกต์ของพวกเขาเอง! นี่มันบ้าไปแล้ว!”
ประเทศจีนเป็นประเทศฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งที่สุดของอเมริกา
แต่ตอนนี้ ทำเนียบขาวกลับเอาเงินไปช่วยประเทศจีนสร้างเครื่องชนอนุภาคแฮดรอนเนี่ยนะ!
พวกฝั่งขวาคิดว่าประธานาธิบดีของพวกเขาบ้าไปแล้ว
ผู้คนเริ่มออกมาเดินประท้วงกันตามถนน ชูป้ายแล้วตะโกนสโลแกน พวกเขาเริ่มเดินเท้ามาถึงหน้าทำเนียบขาว
“พวกเขาอ้างว่าจะสร้างเครื่องชนอนุภาคบนดวงจันทร์! นี่มันโคตรแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดของศตวรรษแล้ว!”
“พวกเราควรจะเอาเงินนี้ไปใช้ลงทุนกับคนมากกว่า! ดูสิว่ามีคนตกงานมากแค่ไหนในประเทศ! เคยเห็นย่านสกิดโรว์ ในลอสแอนเจลิสไหม?”
“…”
นิ้วของรองประธานาธิบดีค่อยๆ ยกมู่ลี่หน้าต่างขึ้นขณะแอบมองกลุ่มผู้ประท้วงที่กำลังเดินขบวนอยู่ข้างนอก เขาพึมพำ “เจ้าพวกโง่พวกนี้…สมองหมาปัญญาควาย พวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานการณ์จริงตอนนี้เป็นอย่างไร โง่แล้วยังอวดฉลาด”
ตามคณะกรรมการวงโคจรของดวงจันทร์ของประเทศจีน ท่านประธานาธิบดีต้องเซ็นคำสั่งพิเศษ ‘สร้างสภาอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกาขึ้นมาใหม่ (NSC)’ รองประธานาธิบดีจะเป็นประธานของคณะนี้ และจะรับผิดชอบการนำอำนาจหลักในวงการการบินและอวกาศกลับมาที่สหรัฐ
รองประธานาธิบดีพอใจกับการที่ได้อำนาจมากขึ้น เพราะเขาไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งเปล่าๆ อีกต่อไป แต่ตั้งแต่ที่ไมก์ต้องมารับผิดชอบในสภาอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกาด้วย เขาก็ไม่พอใจอีกต่อไป
มีเหตุผลเพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้น
แทบจะเป็นไปได้ที่อเมริกาจะกลับมาเป็นผู้นำในวงการการบินและอวกาศอีกครั้ง
ตอนนี้ที่พวกเขาทำได้มีแต่การทำให้ขาดทุนน้อยที่สุดเท่านั้น
พวกเขาต้องยอมเปิดตลาดในประเทศและเข้าร่วมโปรเจกต์วิจัยวิทยาศาสตร์ของประเทศจีน…
พวกผู้ประท้วงไม่รู้เลยสักนิดว่าต้องแก้ปัญหานี้อย่างไร พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำเนียบขาวเสียอะไรไปบ้าง!
ไมก์กำหมัดแน่น ทันใดนั้นเองประตูออฟฟิศก็เปิดผางออก ชายสูงเก้งก้างในชุดสูทเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสาร
“ถ้านิวยอร์กไทมส์ได้ยินคุณพูดเมื่อกี้ล่ะก็ ผมเกรงว่าคุณจะไปอยู่ในพาดหัวข่าวแทนที่จะเป็นนักวิชาการลู่แล้วล่ะครับ”
“ไม่ตลกนะ” ไมก์จ้องผู้ช่วยของเขาเขม็ง “ว่าไงล่ะ?”
ผู้ช่วยของเขาเปลี่ยนไปทำสีหน้าจริงจังแล้วพูดขึ้นว่า
“เราอาจจะมีปัญหาครับ”
ไมก์บอก “ว่ามา”
“ดูนี่สิครับ”
ผู้ช่วยวางเอกสารฉบับหนึ่งบนโต๊ะ
ไมก์หรี่ตามองเอกสาร
มันเป็นจดหมายไม่เอ่ยนามฉบับหนึ่ง
ตรงมุมด้านล่างขวาของจดหมาย มีโลโก้นกอินทรีแบกปืนไรเฟิลอยู่
เป็นสัญลักษณ์ที่ดูแล้วน่ากลัวนิดหน่อย
ไมก์ยื่นมือออกไปจะหยิบ แต่ก็รีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องห่วงครับ พวกเราตรวจเช็กซองจดหมายนี้แล้ว ไม่มีอันตรายอะไรข้างใน” ผู้ช่วยเปิดซองจดหมายออก แล้วหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาวางไว้หน้าไมก์
ไมก์เริ่มอ่านจดหมาย
[ถึงท่านรองประธานาธิบดีไมก์ พวกเราคืออีเกิ้ลฮันเตอร์ เป็นกลุ่มลับกลุ่มหนึ่ง พวกท่านจะเรียกพวกเราว่า…แฮกเกอร์ก็ได้
พวกเรารู้ดีว่าเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารไม่ควรจะถูกนำมาใช้ในการก่อการร้าย พวกเราจึงห้ามตัวเองและอยู่เงียบๆ มาตลอด
แต่ตอนนี้ มันถึงจุดแตกหักแล้ว การได้เห็นประเทศของเราภายใต้การนำแบบนี้…พวกเรารู้สึกตัวแล้วว่าพวกเราไม่สามารถทนอยู่เฉยต่อไปได้อีก
พวกท่านเลือกที่จะจมดิ่งลงไปในอำนาจแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงเลือกจะใช้วิธีของเราในการหยุดการประชุมอันโง่เขลานี้ เพื่อหยุดพวกท่านจากการขายชาติ
นี่คือสงคราม และไม่มีผู้บริสุทธิ์ใดๆ อยู่ในสงครามนี้
พวกเราจะไม่หยุด จนกว่าพวกท่านจะทำตามความต้องการของเรา และหยุดการร่วมมือกับชาวจีน]
ทั้งออฟฟิศกลับมาเงียบอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปหลายวินาที ผู้ช่วยจึงสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วหันไปมองรองประธานาธิบดี
“พวกเราจะทำอย่างไรดีครับ?”
ไมก์เงียบไปพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ปากของเขาก็เริ่มกระตุก
แล้วเขาก็คว้าจดหมายนั้นขึ้นมายื่นส่งกลับให้ผู้ช่วยของเขา
“เอาไปให้เอฟบีไอ”
ไมก์พูดด้วยความหงุดหงิด “ครั้งหน้ามีเรื่องอะไรจิ๊บจ๊อยแบบนี้อีกไม่ต้องเอามาให้ดูแล้วนะ!”
“ครับท่าน…”
ผู้ช่วยรับจดหมายกลับมาแล้วเดินออกไปจากออฟฟิศอย่างเงียบๆ
ไมก์เอากำปั้นทุบโต๊ะ แล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้
แฮกเกอร์เหรอ?
ขายชาติเหรอ?
ตลกละพวกแก…
ต้องล้อกันเล่นแน่ๆ …
แต่…
ไมก์ตื่นตัวอย่างเต็มที่แล้ว
ถึงแม้ท่านประธานาธิบดีและคนอื่นในคณะจะทำการวิเคราะห์อย่างมีระบบกับสถานการณ์นานาชาติและทำการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนพวกเขาจะประเมินปฏิกิริยาโต้กลับของประชาชนต่ำไป
เขาหยิกคิ้วตัวเองแล้วเอื้อมตัวไปหาโทรศัพท์บนโต๊ะ จากนั้นก็ต่อสายไปที่ออฟฟิศของท่านประธานาธิบดี
ถึงเขาจะไม่แน่ใจว่าท่านประธานาธิบดีรู้เรื่องจดหมายนั่นแล้วหรือยัง เขาก็ต้องรายงานท่านในทันที
นี่ยังไม่นับว่าตัวแทนของสหรัฐกำลังเข้าประชุมอยู่ที่ปักกิ่งในตอนนี้ด้วยนะ
บางทีเขาน่าจะเตือนคาร์สันแล้วบอกให้เขาทำตัวโหดกว่าเดิมในงาน
ไมก์ไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าพวกเขาเป็นพวก ‘อ่อนด้อย’ …
……………………