ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 952 การสุ่มบริษัท
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 952 การสุ่มบริษัท
ลู่โจวเดินผ่านห้องโถงนิทรรศการ
เขายังมีเวลาอีกพอสมควรก่อนที่เขาจะได้ไปเจอกับเฉินยู่ซาน เขาจำจุดเริ่มต้นที่ประธานกงกล่าวถึงได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปที่ห้องประชุม
การพรีเซนต์ถูกจัดขึ้นในห้องบรรยายขนาดปานกลางที่ด้านข้างของศูนย์การประชุม เมื่อเทียบกับห้องโถงนิทรรศการที่มีชีวิตชีวาแล้ว ห้องบรรยายนี้มีความเป็นมืออาชีพและมีบรรยากาศที่จริงจังมากกว่า
เมื่อลู่โจวเดินเข้าไปในห้องประชุม เขาก็เห็นว่าที่นั่งกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ถูกจองไว้หมดแล้ว ที่นั่งส่วนใหญ่มีป้ายวางอยู่ด้านหน้าโต๊ะโดยเขียนชื่อและบริษัทของผู้เข้าร่วมเอาไว้
ลู่โจวมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นวาณิชธนกิจขนาดใหญ่และผู้บริหารร่วมทุน อีกทั้งยังมีนักลงทุนเทวดาบางคนอยู่ที่ด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับอนุญาตให้นำเสนอโปรเจกต์ของพวกเขาที่นี่
โปรเจกต์ที่พรีเซนต์นี้มีความซับซ้อนมากกว่าโปรเจกต์ที่สุ่มให้นักลงทุนสุ่มตัวอย่างในห้องประชุมขนาดเล็ก
ผู้นำเสนอทั้งหมดนั้นมาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ความสำเร็จเช่นการจะได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ระดับประเทศนั้นไม่มีอะไรที่แปลก
โปรเจกต์ทั้งหมดนั้นมีมันสมองและความสามารถที่มากพอแล้ว พวกเขาแค่ต้องการเงินเท่านั้น!
แน่นอนว่าโครงการเหล่านี้เป็นโครงการที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงการเหล่านี้จะประสบความสำเร็จทั้งหมด พวกเขาจะได้รับเงินทุนจากธนาคารระหว่างประเทศขนาดใหญ่ เช่น ซอฟต์แบงก์ แต่ก็ไม่ใช่บริษัทของทุกคนที่จะกลายเป็นอูเบอร์ได้
ลู่โจวไม่สนใจที่จะดูยูนิคอร์นตัวต่อไปได้รับทุน เขามาที่นี่เพื่อความสนุกเท่านั้น
เขานั่งลงและซึมซับบรรยากาศ ทันใดนั้นเขาก็คิดได้ว่าสิ่งนี้คล้ายกับการประชุมวิชาการที่เขาเคยเข้าร่วม คนหนึ่งจะนำเสนอพาวเวอร์พอยต์ของตน ผู้ชมจะวิพากษ์วิจารณ์ จากนั้นคนต่อไปจะเดินขึ้นไปบนเวที อย่างไรก็ตาม มันกลับมีบางอย่างที่รู้สึกแตกต่างออกไปจากที่เดิม
ลู่โจวรู้สึกเหมือนเขาไม่ได้อยู่ที่นี่
ขณะที่เขากำลังสงสัยว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกๆ ผู้ชายในชุดสูทที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็จ้องมองมาที่เขา
ไม่มีอะไรแปลกเลยสักนิด ชายคนนั้นรู้สึกว่าลู่โจวดูคุ้นมาก
จากนั้นลู่โจวก็สังเกตเห็นเขาและยิ้มให้
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”
ชายคนนั้นยิ้มและยื่นมือออกมา
“ผมเซียงหงฉวน หุ้นส่วนกลุ่มทุนจูเจียง แล้วคุณล่ะ?”
ลู่โจวจับมือเขา
“อาจารย์มหาวิทยาลัยครับ”
นี่เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ
ลู่โจวสังเกตได้ว่าหลังจากที่บอกชายคนนั้นว่าเขาเป็นแค่อาจารย์มหาวิทยาลัย รอยยิ้มของชายคนนั้นก็หายไปทันที ชายคนนั้นได้พูดคุยเล็กน้อยๆ และจบการสนทนาลง
จากมุมมองของผู้ชายคนนั้น ลู่โจวเป็นเพียงศาสตราจารย์ที่มาที่นี่เพื่อสนับสนุนการเสนอขายของนักเรียนก็เท่านั้น
ลู่โจวดีใจที่ผู้ชายคนนี้จะไม่รบกวนเขาอีกต่อไป จากนั้นเขาก็เริ่มดูการแสดงบนเวที
ถูกต้อง นี่เป็นเพียงความบันเทิงสำหรับลู่โจว
นักเรียนเหล่านี้ค่อนข้างน่าประทับใจอย่างที่ประธานกงกล่าวว่า สนามนี้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว
ผู้ชายบางคนนำโดรนบนเวที และเขาพูดอย่างตรงไปตรงมามาก ในขณะที่เขาพูดถึงโอกาสทางการตลาดในอนาคตของเหล่าโดรน และคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดของเขาก็คือดีเจไอ
เป็นเรื่องยากสำหรับพวกสตาร์ทอัพที่จะมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถพิสูจน์ได้จริงๆ แต่มันน่าเสียดายที่เขาไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าเขาวางแผนรับส่วนแบ่งการตลาดจากดีเจไออย่างไร จึงไม่สร้างความประทับใจที่ดีให้กับเหล่าผู้บริหารที่จะร่วมทุนด้วย
หลังจากการนำเสนอผ่านไปห้านาที นักลงทุนก็เริ่มถามคำถาม ซึ่งผู้นำเสนอก็ไม่สามารถตอบได้ชัดเจน
ลู่โจวมองดูชายหนุ่มที่ดูหดหู่และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงการเริ่มต้นของแคมปัสแอสซิสแทนท์ที่เขาสร้างขึ้นเมื่อสมัยเขาอยู่ในมหาวิทยาลัย
จนถึงทุกวันนี้ นักศึกษาส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยจินหลิงก็ยังคงใช้ซอฟต์แวร์ตารางเวลาที่เขาสร้างขึ้นเหมือนเดิม
ฉันควรสนับสนุนความฝันของผู้ประกอบการรุ่นใหม่นี้ดีไหมนะ?
แต่อย่างไรก็ตามนักศึกษามหาวิทยาลัยบนเวทีนั้น ไม่ได้ให้โอกาสลู่โจวเลยสักนิด เพราะเขาทนเขินอายบนเวทีไม่ได้ เขาจึงรีบเดินจากไปเสียก่อน
…
ยี่สิบนาทีผ่านไป
นี่คือพาวเวอร์พอยต์ที่ห้าของลู่โจว
เขามองดูชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบปีเดินขึ้นไปบนเวทีโดยฉายพาวเวอร์พอยต์ที่ม่านด้านหลังไว้
“ขออนุญาตแนะนำตัวเองครับ ผมชื่อหลี่ถิงหุย สำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจากมหาวิทยาลัยออโรร่า และเรียนปริญญาโทด้านการออกแบบสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ไอเดียคือการออกแบบสถานีชาร์จที่สะดวกและรวดเร็ว จากนั้นก็ได้รับแรงบันดาลใจเมื่อผมฝึกงานที่…”
เขามีเวลานำเสนอเพียงห้านาที แต่เขากลับใช้เวลาหนึ่งนาทีพูดถึงแต่เรื่องของตัวเอง นักลงทุนเริ่มหมดความอดทน
ในที่สุดชายที่อยู่บนเวทีก็เริ่มพูดถึงแนวคิดของเขา ‘แท่นชาร์จไร้สาย’
น่าเสียดายที่เขาพลาดโอกาสไปแล้ว
เมื่อพูดถึงโลกของเงินลงทุน พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับที่มาของผู้ประกอบการเลยสักนิด พวกเขาสนใจเฉพาะโอกาสทางการตลาด และคู่แข่งที่มีศักยภาพของผลิตภัณฑ์เท่านั้น… ที่สำคัญกว่านั้นคือความสามารถในการทำกำไร
แต่ผู้ชายคนนั้นกลับใช้เวลาหนึ่งนาทีพูดถึงเรื่องไร้สาระ ดังนั้นโปรเจกต์ของเขาจึงพังตั้งแต่ต้น
เห็นได้ชัดว่าหลี่ถิงหุยเป็นผู้ประกอบการฝึกหัดมากๆ
และเป็นไปตามที่คาดไว้ เพราะเขาใช้เวลาในการแนะนำตัวเองมากเกินไป เขาจึงไม่มีเวลาอธิบายรายละเอียดโปรเจกต์ของเขาได้ทัน เขาอ่านพาวเวอร์พอยต์ผ่านไปสี่สิบหน้าแบบผ่านๆ
และแล้วก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะการที่เขาทำพาวเวอร์พอยต์ที่ยาวขนาดนี้ไม่เหมาะกับเวลาที่มีให้
นักลงทุนไม่ได้สนใจภาพวาดการออกแบบสถานีชาร์จเท่าไหร่ เพราะเมื่อเขาได้รับทุน พวกเขาจะจ้างทีมวิศวกรมืออาชีพเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์แทน โดยไม่ต้องพูดถึงนักเรียนปริญญาโทคนนี้ด้วยซ้ำ
เป็นไปได้ไหมที่ผู้ประกอบการจะได้รับเงินทุนเพียงเพราะเทคโนโลยีของพวกเขา ไม่ใช่แผนธุรกิจของพวกเขา?
นั่นเป็นไปได้!
แต่อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในโปรเจกต์ โครงการนักวิชาการฉางเจียงหรือเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง
นอกจากนี้ยังต้องมีสิทธิบัตรเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องและนโยบายสนับสนุนพิเศษจากรัฐด้วย
หุ้นส่วนจากกลุ่มทุนจูเจียง ซึ่งนั่งถัดจากลู่โจวส่ายหัวและกระซิบกับเพื่อนร่วมงานของเขา
ลู่โจวเป็นคนเดียวที่สนใจพาวเวอร์พอยต์ด้านบน และเขายังให้ความสนใจกับพิมพ์เขียวการออกแบบบนนั้นอีกด้วย
ความสามารถในการออกแบบผลิตภัณฑ์เช่นนี้ในฐานะนักศึกษาปริญญาโทนั้นค่อนข้างน่าประทับใจ แต่อย่างไรก็ตาม ลู่โจวสามารถเห็นข้อผิดพลาดบางอย่างในพิมพ์เขียวนั้น
การชาร์จแบบไร้สายจะเป็นเทคโนโลยีที่สะดวกนั้นเป็นเรื่องที่ดี
เพราะท้ายที่สุดผู้คนจะสนใจเรื่องที่ไม่ต้องเสียบปลั๊กและถอดสายชาร์จ ถ้าพวกเขาสามารถรวมเทคโนโลยีนี้เข้ากับพื้นที่จอดรถได้ มันจะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
แต่…
เขาวางแผนที่จะโน้มน้าวบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอื่นๆ ให้ใช้แบตเตอรี่ที่รองรับการชาร์จแบบไร้สายได้อย่างไร?
เขาจะทำแบตเตอรี่เองเหรอ?
นั่นมันไร้สาระสิ้นดี…
แต่เดี๋ยวก่อนนะ..
คิ้วของลู่โจวขมวดคิ้วเมื่อจู่ๆ เขาก็ตระหนักว่าบริษัทจ้งซานซินฉายซึ่งเป็นเจ้าของโดย สตาร์สกายเทคโนโลยีได้เริ่มผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-ซัลเฟอร์ด้วยตนเองแล้ว
และเขาจำได้ว่าหลิววั่นซานจากบริษัทจ้งซานซินฉายได้บอกเรื่องนี้กับเขาตอนที่ไปปีนเขาด้วยกัน
พนักงานที่ยืนอยู่ข้างแท่นแจ้งหลี่ ถิงหุยว่าเวลาของเขาหมดลงแล้ว
หลี่ถิงหุยกล่าวปิดท้ายว่า “บริษัทของเราจะใช้เงินทุนเพื่อซื้ออุปกรณ์ทดลอง และเรากำลังรอการพิจารณาเงินจำนวนห้าล้านหยวนจากการลงทุนรอบแรก”
ที่จริงเป้าหมายทางการเงินของเขาคือสิบล้านล้าน
แต่เขารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้
การพรีเซนต์พาวเวอร์พอยต์ได้สิ้นสุดลงแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาสำหรับเซสชันการถามคำถาม
เหมือนกับที่เขาคาดไว้ ไม่มีคำถามแม้แต่คำถามเดียว
หลี่ ถิงหุยเริ่มมีการแสดงออกที่น่าอึดอัดใจ และความขมขื่นบนใบหน้าของเขา
เขารู้ว่าเขากำลังจะล้มเหลว แต่เขาเองก็ไม่คิดว่านักลงทุนจะไม่ถามคำถามแม้แต่คำเดียว
พนักงานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รู้แล้วว่านักลงทุนไม่สนใจ
แต่พนักงานยังคงถามต่อว่า “มีใครสนใจจะลงทุนไหมครับ?”
ตามที่เขาคาดไว้ไม่มีใครตอบ
พนักงานมองให้กำลังใจหลี่ถิงหุย และกำลังจะขอให้เขาลงจากเวที แต่อย่างไรก็ตามก็มีเสียงที่ดังขึ้นมาจากแถวหลัง
“ผมขอลงทุน”
…………………..