ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 154 เจิ้งชิงเทียน (ต้น)
บทที่ 154 เจิ้งชิงเทียน (ต้น)
บทที่ 154 เจิ้งชิงเทียน (ต้น)
ลู่หยวนนิ่งไป จากนั้นกล่าวช้า ๆ บอกประโยคสุดท้ายที่นางมารร้ายไม่อยากฟังออกมา
“เจ้าคือผู้พิทักษ์วิถีคุณธรรม เจิ้งชิงเทียน!”
ศีรษะที่ส่ายไปมาของสตรีผู้ถูกจองจำหยุดนิ่งด้วยความประหลาดใจ น้ำตาสองสายไหลออกมาจากดวงตา
เสียงร่ำไห้ดังขึ้นในหอคอยอสูรสวรรค์
ร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างลู่หยวนพลางเอียงศีรษะ ราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมนางมารร้ายถึงร้องไห้ออกมา
ส่วนชายหนุ่มหลุบสายตาลง เผยดวงตาหมองหม่นเช่นกัน ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้อย่างชัดเจน
สงครามสามแสนปีก่อนมีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น เรื่องราวหลายสิ่งไม่อาจจับต้นชนปลายได้อีกต่อไป
ตัวตนมากมายหายลับไปในสายธารประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่อาจคาดเดาจุดจบของชีวิตได้
ในตอนนั้น ว่ากันว่าทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหงยงธงขึ้น เพียงเพื่อสังหารมารร้าย
ทว่าไม่มีใครรู้ว่า เหตุใดสำนักนับไม่ถ้วนถึงถูกกำจัดในการต่อสู้ครั้งนี้ แม้กระทั่งผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสมรภูมิต่างก็ถูกสังหาร
ไม่มีใครรู้ว่า ทำไมผู้พิทักษ์วิถีคุณธรรมถึงถูกกวาดล้าง ไม่มีใครรอดชีวิต
วันนี้ลู่หยวนมองเจิ้งชิงเทียนผู้ไม่มี ‘วิถีคุณธรรม’ อีกต่อไป เส้นทางสว่างบริสุทธิ์เป็นเพียงภาพทรงจำที่หายไปในสายธารประวัติศาสตร์ เหลือเพียงนางมารร้ายปรสิตในหอคอย เขาก็พอเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสามแสนปีก่อน
ทว่า… นี่เป็นเพียงปลายยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
ชายหนุ่มรู้ดีว่า วิธีการที่สามารถสร้างพลังวิญญาณมากกว่าครึ่งทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหงได้ ไม่เพียงทำลาย ‘วิถีคุณธรรม’ เท่านั้น
‘วิถีคุณธรรม’ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง
หรือว่า …เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ
เบื้องหลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนนี้เขาไม่อาจคาดเดาได้
ตอนนี้ลู่หยวนตกตะลึงเช่นกัน ตอนที่เขาขอให้ระบบสำรวจเจิ้งชิงเทียนผู้นี้ ระบบบอกว่าอีกฝ่ายได้สัมผัสวิถีแห่งสวรรค์แล้ว
ถึงแม้โลกในวันนี้จะเป็นช่วงสามแสนปีหลังจากมหาสงคราม แต่หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น ทั่วโลกก็ไม่ได้แปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ยกตัวอย่างเช่น ตระกูลลู่ที่ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในตำหนักธารสุญญะแดนเหนือก็เป็นความจริงที่ไม่มีการสั่นคลอนแม้แต่นิดเดียว อีกตัวอย่างคือดินแดนฉวนจง หลังสิ้นสุดมหาสงครามก็กลายเป็นของราชวงศ์ของจักพรรดินีฉวนจง
โลกหล้าไม่แน่นอน ทุกสิ่งหมุนเวียนเปลี่ยนผัน
อายุ ใบหน้า อุปนิสัย ข้ามผ่านกาลเวลายาวนานย่อมผันแปรไป
แต่ผู้ยืนอยู่จุดสูงสุดของแผ่นดินหลักนั้นยังทรงอำนาจไม่เสื่อมคลาย
โลกในวันนี้ คือมรดกจากมหาสงครามเมื่อสามแสนปีก่อน
เหตุผลที่ทำไมตระกูลลู่ถึงแข็งแกร่ง สาเหตุก็เพราะตระกูลลู่เป็นผู้มีพระคุณของการต่อสู้ครั้งนั้น หรือก็คือ เป็นผู้วางแผนในมหาสงครามครั้งก่อน
มหาสงครามเมื่อสามแสนปีก่อน คือความลับของวิถีแห่งสวรรค์
เจิ้งชิงเทียนคือหนึ่งในผู้ที่ประสบกับการเปลี่ยนแปลงในตอนนั้น แถมยังเป็นส่วนสำคัญมากอีกด้วย
ถึงอย่างไรในตอนนั้น ตัวตนของคนผู้นี้คือเหตุผลที่ทำไมหลายคนในแผ่นดินหลักถึงจับกระบี่ สิ่งที่นางแบกรับไว้ในร่างกายคือชะตาของผู้คนเกือบหนึ่งแสนคน หลายแสนคน หรือถึงขั้นหลายล้านคน
นางเป็นส่วนหนึ่งของวิถีแห่งสวรรค์เช่นกัน!
หลังจากผ่านมาเนิ่นนาน เจิ้งชิงเทียนยังคงคุกเข่าด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของลู่หยวนหมองหม่น ไม่คาดคั้นอีกฝ่ายแล้ว
เวลาในจิตเทวะช้ากว่าภายนอก ชายหนุ่มถึงขั้นหยิบขนมขึ้นมา แล้วแบ่งให้สาวน้อยบางส่วน
เพราะรอนานเกินไป ชายหนุ่มจึงมีเวลาถึงขั้นตั้งชื่อให้สาวน้อยว่า ‘สือจิ่ว’
หากจำไม่ผิด วันนี้คือวันที่สิบเก้าแล้วนับตั้งแต่เข้ามาในหอคอย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จนลู่หยวนถึงขั้นนั่งงีบบนเก้าอี้ของปรมาจารย์
ในที่สุด เจิ้งชิงเทียนก็หักห้ามอารมณ์ทั้งหมด เสียงร่ำไห้หยุดลง ก่อนจะกล่าวว่า “ใช่ ข้าคือเจิ้งชิงเทียน”
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน ไม่ได้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากนัก เขากล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “บอกข้ามาว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง”
นางมารร้ายผู้ถูกจองจำบอกเล่าเรื่องราวมากมาย ทั้งเรื่องมหาสงครามเมื่อสามแสนปีก่อน ส่วนใหญ่คล้ายกับที่ลู่หยวนคาดเดาเอาไว้
กองกำลังจำนวนมากเกิดขึ้นจากผลประโยชน์ ในช่วงมหาสงคราม พวกเขาขับไล่ผู้ดำรงอยู่ในวิถีคุณธรรมจนถึงแก่ความตาย
หลังจากเจิ้งชิงเทียนเห็นทุกคนที่อยู่ใต้อาณัติสำนักของเจิ้งชิงเทียนถูกสังหาร คนเหล่านั้นคือผู้เคยเรียกขานกันว่าพี่น้อง ทำให้หัวใจของนางแหลกสลายเช่นกัน
มันเต็มไปด้วยความโกรธ ความไม่เชื่อ ความเกลียดชัง
อารมณ์จำนวนมากพรั่งพรูในใจ จนในตอนนี้ กลิ่นอายสีดำเติบโตขึ้นในใจของนาง
เจิ้งชิงเทียน คนที่เกิดมาพร้อมกับ ‘หัวใจเที่ยงธรรม’ คนที่มีชะตากรรมต้องยืนหยัดต่อสู้กับเผ่ามาร
กลับกลายเป็นมารภายใต้สายตาของคนจำนวนมาก นางสังหารผู้คนจำนวนมาก หลั่งเลือดมหาศาลลงปฐพี ทั้งผู้ที่เคยทักทายนางด้วยความอบอุ่นก็ดี ทั้งผู้ที่เคยสาบานว่าจะติดตามนางก็ดี ทั้งผู้ที่เคยยกมือคารวะนางก็ดี
สตรีผู้นี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองสังหารไปเท่าไหร่ นางรู้เพียงแค่ว่า กระบี่ยาวศักดิ์สิทธิ์ในมือฟาดฟันจนมันหักสะบั้น
จอมมารคนก่อน หรือราชันในหมู่เผ่ามารพรากตัวนางไป ก่อนจะผนึกไว้ในหอคอยอสูรสวรรค์
หลังจากนั้น หญิงสาวก็ถูกขังไว้ในหอคอย ไม่เคยได้ออกมาอีก
เพียงพริบตาก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่ปี นางได้รับการหล่อเลี้ยงจากหอคอยอสูรสวรรค์จนรอดตายมาได้
หลังจากรอมานานแสนนาน นางก็ยังคงรอบุตรศักดิ์สิทธิ์
ผู้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนอายุสิบเจ็ดปี แต่กลับมีทีท่าสุขุมและเหี้ยมโหดยิ่ง
ครั้นเจิ้งชิงเทียนพบชายผู้นี้เป็นครั้งแรก นางรู้ทันทีว่าเด็กคนนี้มีสายเลือดมาร หากสามารถจัดการเขาได้ นางก็จะสามารถออกไปได้ จนได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีกครั้ง!
กาลเวลาได้กวาดล้างทุกสิ่งในอดีตไปนานแล้ว พวกมันถูกฝังจนหมดสิ้น แม้กระทั่งนางยังจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร เคยทำอะไรบ้าง มีเพียงความคิดเดียวอยู่ในใจคือการออกจากหอคอยอสูรสวรรค์แห่งนี้
ลู่หยวนฟังเจิ้งชิงเทียนเล่าเรื่องทั้งหมดนี้จนจบ เขาพยักหน้า จากนั้นถามต่อว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่านางคือใคร? ทำไมถึงถูกผนึกที่นี่ร่วมกับเจ้า?”
‘นาง’ ที่ชายหนุ่มพูดถึง ย่อมหมายถึง ‘สือจิ่ว’
เจิ้งชิงเทียนเงยหน้าขึ้น ชำเลืองมองมารตัวน้อยจากยอดหอคอย ก่อนตอบว่า “นางเป็นเพียงมรดกที่เกิดจากการเจรจาสงบศึกระหว่างจอมมารคนก่อนกับมนุษย์เพศหญิงในสงครามครั้งก่อน”
แม้น้ำเสียงจะแผ่วเบา ทว่ากลับเต็มไปด้วยร่องรอยเหยียดหยัน ราวกับดูถูกสือจิ่วยิ่งนัก
เจิ้งชิงเทียนกล่าวต่อว่า “สุดท้ายจอมมารก็คือมาร มนุษย์และมารมีเส้นทางที่แตกต่างกัน พวกเขาเจรจาสงบศึก แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องพิเศษยิ่ง สาวน้อยคนนี้คือมารที่ร้ายกาจที่สุด เป็นผู้สืบทอดที่ดีที่สุดของจอมมาร แต่นางกลับมีหัวใจ”
“ไม่เหมือนกับมารตัวอื่น สาวน้อยคนนี้สามารถร้องไห้และเอะอะโวยวายได้ มีความเห็นใจ มีความเมตตา”
“จอมมารจะทนให้ตัวเองมีธิดาเช่นนี้ได้อย่างไร? แต่เขาไม่เต็มใจที่จะฆ่านางจึงขังไว้ที่นี่ เพื่อใช้มันในฐานะหุ่นเชิดมาร”
ลู่หยวนมองสือจิ่ว นางยังคงเอียงศีรษะพร้อมสายตาไร้เดียงสา ราวกับไม่เข้าใจว่าทั้งสองกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ ราวกับเด็กน้อยน่าเอ็นดูคนหนึ่ง
“ลู่หยวน”
เจิ้งชิงเทียนพลันเปิดปากกล่าวว่า “ข้าขออะไรอย่างหนึ่งได้หรือไม่”
บุตรศักดิ์สิทธิ์หันหน้ามาหา สายตาหลุบต่ำ “ว่ามา”
“ฆ่าข้าที”
เจิ้งชิงเทียนหลับตา “ถึงแม้ข้าจะกลายเป็นมารไปแล้ว แต่ท่านน่าจะสัมผัสได้เช่นกันว่าในตัวข้ายังมีวิถีคุณธรรมอยู่ ข้าไม่สามารถจงรักภักดีต่อท่านได้อย่างสมบูรณ์ ฆ่าข้าเสียยังดีกว่า”
“ท่านปล่อยให้สาวน้อยคนนั้นฆ่าข้าเถอะ หรือจะเอาข้าเป็นสารอาหารให้ตัวท่านก็ได้ หลังจดจำเรื่องราวที่เก็บงำไวในใจมากว่าสามแสนปีได้ ขอเพียงได้ตายตอนนี้ …ก็เพียงพอแล้วละ”
น้ำเสียงของอดีตผู้พิทักษ์วิถีคุณธรรมแผ่วเบายิ่ง ราวกับไม่มีความถวิลหาต่อโลกใบนี้อีกแล้ว