ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 157 ศิลา
บทที่ 157 ศิลา
บทที่ 157 ศิลา
ลู่หยวนไม่เก็บคำพูดของไฉเจี้ยมาใส่ใจ เขาเพียงชำเลืองมอง “แล้วอย่างไร?”
รองเจ้าสำนักกลืนคำพูดทั้งหมด ก่อนร่างที่เพิ่งลุกขึ้นเมื่อครู่จะถอยกลับไปนั่งบนเก้าอี้หินและเริ่มโยกตัวไปมาอีกครั้ง
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วก็เอาตามนั้น”
ทันทีที่ไฉเจี้ยยื่นมือออกไป ยันต์ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เพียงออกแรงกดนิ้ว อักขระบนยันต์ก็ถูกเผยออกมา
เปลวเพลิงถูกจุดขึ้นใต้แผ่นยันต์ช้า ๆ ก่อนจะเผาไหม้กระดาษทั้งแผ่นในเวลาอันสั้น ชั่วเวลานั้นเอง แสงสว่างสีทองพลันพุ่งออกมาจากยอดเขาศิษย์ มุ่งสู่ศิลาขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางหมู่ยอดเขาจำนวนมากของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ทันที
ศิลาตั้งตระหง่านระหว่างหมู่เมฆ โดยมีสัตว์เทพรูปทรงคล้ายเต่าตัวใหญ่แบกไว้บนหลัง
ครึ่งหนึ่งของศิลาเกลี้ยงเกลา ส่วนอีกครึ่งถูกสลักชื่อไว้อย่างประณีต
ตอนนี้ ผู้คนมากมายกำลังห้อมล้อมศิลายักษ์ เพื่อมองดูรายชื่อที่ปรากฏบนนั้น
“ยอดเขากระบี่รอบนี้ มีคนที่ลงชื่อเข้าร่วมการแข่งขันภายในมากกว่าสามสิบคนหรือ?! ปีที่แล้วมีแค่ไม่กี่สิบคนเอง?”
“นี่มันอะไรกัน ดูศิษย์ของบรรพชนเสวียนสิ พวกเขาแทบทุกคนลงชื่อกันหมด! แม้กระทั่งผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นเทียมเซียนยังมีชื่อปรากฏอยู่บนนั้นเลย!”
“ส่วนสำนักดาบน่าจะเป็น…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ เสียงตะโกนก็ดังขึ้นจากด้านข้าง
“นี่ ๆๆ ศิษย์ของสำนักบรรพชนเสวียนมาที่นี่แล้ว!”
เสียงสนทนาของฝูงชนหยุดลง คนกลุ่มหนึ่งสาวเท้าเข้ามา ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าศิลา
คนแรกเป็นบุรุษนั่งรถเข็นผู้สวมชุดหรูหรา มีสีหน้าอบอุ่น ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับได้สัมผัสสายลมวสันตฤดู
ขาของชายคนนี้คลุมไว้ด้วยผ้าผืนหนา ปักลายกลุ่มดาวเจ็ดสิบสองดวง แต่ละดวงมีแสงดาราระยับ เต็มไปด้วยพลังแข็งแกร่ง
หากตาพอจะมีแววอยู่บ้างก็คงทราบได้ว่านั่นไม่ใช่แค่เครื่องประดับดูเล่น!
เมื่อศิษย์ที่อยู่รอบข้างเห็นคนผู้นี้ พวกเขาต่างกระซิบ “ทำไมพี่ใหญ่ของสำนักบรรพชนเสวียนอย่างเสวียนเทียนชวนถึงมาอยู่ที่นี่?! เขาถอนตัวจากยอดเขาเร้นลับไปนานแล้วไม่ใช่หรือ? ปกติแล้วพวกเขาจะไม่ออกมา หรือว่าเขาก็สนใจการแข่งขันภายในครั้งนี้เหมือนกัน?”
“บางทีรางวัลของผู้ชนะการแข่งขันภายในรอบนี้ อาจไม่ใช่แค่การเข้าถึงศาลาสวรรค์ประทานของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว แต่อาจเข้าสู่ศาลาสวรรค์ประทานในตำหนักบรรพชนเสวียนได้ด้วย หากเข้าถึงสองที่นี้ได้ เพียงก้าวเดียวก็ถือว่าแตะถึงขอบฟ้าแล้ว!”
เสวียนเทียนชวนหยุดนิ่ง เขาเงยหน้ามองศิลา หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ จึงหันกลับไปถามผู้คนที่อยู่รอบข้าง “แน่ใจนะว่าข่าวที่ได้มาถูกต้อง?”
พวกเขากำลังมองชื่อบนศิลาเช่นกัน ไล่ดูทุกรายชื่อ แต่หลังจากดูซ้ำอีกครั้ง กลับไม่พบชื่อที่พวกเขาคิดไว้
คนถูกถามไม่มั่นใจ “พี่ใหญ่ นั่นคือข่าวจากกลุ่มอวิ๋นเชียวนะ”
เขาลดเสียงลงเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีแค่เสวียนเทียนชวนเท่านั้นที่ได้ยิน “ข้าไปหาหยางอวิ๋นมาแล้ว เขาบอกว่าลู่หยวนจะต้องเข้าร่วมอย่างแน่นอน!”
ชายหนุ่มชำเลืองมอง “เช่นนั้นทำไม…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ ริ้วแสงสว่างสีทองก็พุ่งมาจากยอดเขาศิษย์ ก่อนจะตกกระทบบนศิลาอย่างรวดเร็ว
วิ้ง!
ศิลาพลันสั่นไหว พลังหนึ่งปรากฏขึ้นบริเวณด้านที่มีรายชื่อจำนวนมากสลักไว้
ผ่านไปสักพัก ควันธุลีก็โปรยปรายลงมาบริเวณมุมขวาด้านบนของศิลาที่ก่อนหน้านี้ไม่มีชื่อใด ๆ ทว่าเวลานี้มีร่องรอยหนึ่งปรากฏตรงหน้าทุกคน
แม้มองไม่เห็น แต่ก็รู้สึกราวกับว่ามีคนกำลังทำการสลักตัวอักษรบนศิลาอย่างต่อเนื่อง
เพียงแค่สามอึดใจ แสงสว่างสีทองก็สลายไปสิ้น สายลมพัดพาธุลีทั้งหมดบนชื่อที่เพิ่งถูกสลักออกไป
สายตาทุกคู่กวาดมองตัวอักษรขนาดใหญ่สองตัว ลู่หยวน!
ทันใดนั้น ทั่วทั้งศิลาก็มีเสียงดังขึ้น
บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่เข้าร่วมการแข่งขันภายในจริง!
สายตาของเสวียนเทียนชวนจับจ้องชื่อนั้นเช่นกัน เขายกมุมปากขึ้น ศีรษะก้มมองผ้าที่ปกคลุมอยู่ในที่ที่ไม่มีใครมองเห็น จิตสังหารวูบไหวผ่านดวงตา
เขาชี้มือไปด้านหลัง ศิษย์ที่ยืนรออยู่ตอบสนองทันที พวกเขาเข็นเสวียนเทียนชวนออกจากบริเวณดังกล่าว
ส่วนศิษย์ที่เหลือ แม้จะทราบข่าวลือมามากบ้างน้อยบ้าง แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่าจะมีเหตุการณ์ครั้งใหญ่เกิดขึ้นในการแข่งขันภายในแน่นอน!
“ข้าจำได้ว่านางปีศาจที่อยู่กับสำนักบรรพชนเสวียนอย่างเสวียนหลีน่าจะออกมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า!”
“การแข่งขันครั้งนี้ มีอะไรสนุก ๆ ให้ดูแน่นอน!”
…
หลังลู่หยวนออกจากยอดเขาศิษย์ ชายหนุ่มก็ไปหาเฉิงไท่พร้อมกับประกาศิตรุ่งอรุณเพียงเพื่อจะเข้าห้องโถงใหญ่ เขาพบว่าเฉิงไท่กำลังอ่านตำราโบราณอยู่
เมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์มาถึง เขาถามตามตรง “เจ้าสำนัก ในฐานะที่ท่านเป็นอาจารย์ของเทียนเม่ยเอ๋อร์ ท่านพบอะไรบ้างหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าคุณชายลู่เข้ามา เฉิงไท่ก็วางตำรา พลางระบายยิ้มแล้วตอบ “ไม่ต้องห่วง สาวน้อยคนนั้นเป็นที่รักของบรรพชนเม่ยจนกลายเป็นศิษย์ของอีกฝ่ายไปแล้ว”
“แต่ว่า เจ้าอาจจะไม่ได้พบนางสักพัก”
ลู่หยวนที่กำลังดื่มชาร้อนอยู่ด้านข้าง ได้ยินแบบนี้เข้าก็อดที่จะเอียงศีรษะมองมาทางเฉิงไท่ไม่ได้ “หมายความว่าอย่างไร?”
“บรรพชนเม่ยมีนิสัยปลีกตัว เข้มงวดยิ่งนัก และมักเคี่ยวเข็ญกับศิษย์เช่นกัน”
“ตอนนี้สาวน้อยถูกบรรพชนเม่ยรับเป็นศิษย์ไปแล้ว นางจะต้องอยู่ที่ยอดเขามนต์เสน่ห์ ดูจากพรสวรรค์แล้ว เกรงว่านางคงไม่สามารถออกมาได้เป็นเวลาหลายปี!”
เฉิงไท่ชำเลืองมองลู่หยวน พลางกล่าวว่า “เป็นวาสนาของเทียนเม่ยเอ๋อร์แล้วที่บรรพชนเม่ยรับไว้ เจ้าต้องทราบก่อนว่า คนสุดท้ายที่นางรับเป็นศิษย์ อยู่ในยอดเขาเม่ยเป็นเวลาห้าปี พอออกมาแล้วก็ติดลำดับห้าบนทำเนียบสวรรค์!”
เพียงแค่ห้าปี จากศิษย์ใหม่สู่ลำดับห้าบนทำเนียบสวรรค์ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ การก้าวกระโดดเช่นนั้น ยากพอ ๆ กับไต่เต้าสู่สวรรค์!
แน่นอนว่าการก้าวกระโดดนี้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และความพยายามของแต่ละบุคคล แต่แน่นอนว่าการพัฒนานั้นบรรพชนเม่ยอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย
ลู่หยวนทราบมาว่าบรรพชนเม่ยผู้นี้ เมื่อหลายร้อยปีก่อน นางงดงามจนทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินตกตะลึง! ยิ้มครั้งเดียวก็ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนตกหลุมรักในบัดดล!
แค่ก ๆๆ แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น
ว่ากันว่า นับตั้งแต่ที่บรรพชนเม่ยผู้นี้ก้าวเข้าสู่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ นางรับศิษย์เพียงสามคนเท่านั้น โดยมีเทียนเม่ยเอ๋อร์เป็นคนที่สี่
ศิษย์สามคนนั้นล้วนเป็นยอดฝีมือที่คอยดูแลทั่วทั้งแผ่นดิน
เหมือนกับที่เฉิงไท่กล่าวเมื่อครู่ พวกเขาอยู่ที่ยอดเขาเม่ยกว่าห้าปี แต่พอก้าวออกมา นั่นหมายถึงช่วงเวลาที่ทำเนียบสวรรค์ของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์จะสั่นคลอน!
แผ่นดินหยวนหงจะมียอดฝีมือสูงสุดเช่นกัน!
ตอนนี้เทียนเม่ยเอ๋อร์เข้ารับการฝึกฝนแล้ว เพียงรอให้สาวน้อยคนนี้ออกมา จากนั้นจิ้งจอกสวรรค์แห่งหุบเขาบูรพาก็จะสามารถต่อสู้ได้ วาสนาของจิ้งจอกสวรรค์แบกอยู่บนบ่าของเทียนเม่ยเอ๋อร์เช่นกัน
ถึงตอนนั้น หนึ่งในผู้ติดตามของลู่หยวนอย่างเทียนเม่ยเอ๋อร์ก็จะสามารถยึดครองเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ได้ในที่สุด พลังที่หนุนหลังชายหนุ่มก็จะเพิ่มขึ้นมหาศาล!