ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 162 ผู้คุมโชคชะตาแห่งวิถีเร้นลับ
บทที่ 162 ผู้คุมโชคชะตาแห่งวิถีเร้นลับ
บทที่ 162 ผู้คุมโชคชะตาแห่งวิถีเร้นลับ
หลังจากลู่หยวนลุกขึ้น เขาพบว่าบนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลนักมียันต์จำนวนมากถูกจัดเรียงไว้อยู่มุมหนึ่ง
ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้า ยันต์พวกนั้นก็พลันขยับ อักขระแปลกประหลาดที่อยู่บนนั้นถูกจัดเรียงในลักษณะโกลาหลยิ่งนัก
บุตรศักดิ์สิทธิ์ทราบทันทีว่าไป๋ชิวเอ๋อร์ส่งยันต์เหล่านี้มาให้ ส่วนอักขระที่วุ่นวายนั้น เป็นสิ่งที่เขาสอนนางเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นเปิดยันต์
ลู่หยวนจัดเรียงอักขระเข้าด้วยกัน จากนั้นก็เกิดแสงสีขาวสว่างวาบ ก่อนที่อักษรจำนวนมากจะปรากฏขึ้นตรงหน้า ทั้งหมดล้วนเป็นข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มอวิ๋น บางส่วนข้องเกี่ยวกับความลับภายใน
เขากวาดตามองไม่กี่ครั้งก่อนถอนหายใจออกมา พลันรู้สึกว่าไป๋ชิวเอ๋อร์เหมาะสมกับหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลยิ่งนัก มีเรื่องส่วนตัวมากมายอยู่ในนี้ แม้กระทั่งผู้ที่เป็นแกนหลักของกลุ่มอวิ๋นก็มีด้วย
นางไม่เพียงบรรจุข้อมูลของแต่ละบุคคลแยกตามแผ่นยันต์เท่านั้น แต่ยังแยกข้อมูลที่แน่นอนออกจากข้อมูลที่ไม่แน่นอนให้อีก ถือว่าทำงานได้ละเอียดยิ่ง
ชายหนุ่มกำลังจะเก็บพวกมัน ทว่าหางตาก็สะดุดเข้ากับคำพูดจำนวนหนึ่งเสียก่อน เป็นข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับหยางอวิ๋น หนึ่งในนั้นระบุว่า หยางอวิ๋นตอนยังเด็กมีความสัมพันธ์กับบุรุษแปลกประหลาดนามว่าจวี้ตู๋เซีย แถมยังอยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนานอีกด้วย
กล่าวได้ว่าคนผู้นี้คืออาจารย์คนแรกของหยางอวิ๋น
แต่กลับไม่มีการกล่าวถึงอย่างชัดเจนว่าจวี้ตู๋เซียคือใคร
ไป๋ชิวเอ๋อร์เขียนกำกับไว้ด้านข้างด้วยพู่กันสีชาดว่า “คำกล่าวนี้เกิดขึ้นช่วงปีแรกที่หยางอวิ๋นเข้ามาในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่เขาไปดื่มกับศิษย์พี่จำนวนมาก แต่ไม่มีการกล่าวถึงว่าจวี้ตู๋เซียผู้นี้คือใคร!”
ลู่หยวนไม่เคยได้ยินฉายานี้มาก่อน แต่ว่าหากบุตรแห่งโชคชะตาหยางอวิ๋นมีอาจารย์อยู่จริง ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายใช้เคล็ดวิชาสร้างจุดติดตามสีดำเอาไว้ได้อย่างไร
ถึงอย่างไร ข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ เด็กคนนี้น่าจะไม่สามารถรู้เรื่องวิชาการสะกดรอยได้ ทว่าเมื่อชื่อของจวี้ตู๋เซียปรากฏขึ้น ทุกสิ่งจึงเริ่มมีเหตุผล
ชายหนุ่มบังเกิดความสงสัยขึ้นมา อาจารย์ของบุตรแห่งโชคชะตาย่อมไม่ใช่คนเลว อย่างน้อยก็เป็นตัวตนที่สั่นสะท้านทั้งแผ่นดิน
คนผู้นี้อาจจะเป็นยอดฝีมือที่ซุกซ่อนอยู่!
หากรู้จักมากขึ้นได้ก็จะดี
เขาครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็หันกลับมาสู่ความเป็นจริง เมื่อนั่งมองดูเนื้อหาข้างในคร่าว ๆ เขาก็ลุกเดินวนไปมาสองสามรอบ ก่อนจะส่งให้ไป๋ชิวเอ๋อร์เพื่อให้นางตรวจสอบอีกรอบ
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ลู่หยวนก็ออกจากห้อง ตอนนี้สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์อยู่ในยามสายัณห์แล้ว ทั่วทั้งยอดเขาหอกเองก็เงียบสงัดไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียวเช่นกัน
เมื่อตรวจสอบก็รู้ได้ทันทีว่า นอกจากเขา ทั่วทั้งยอดเขาหอกก็ไม่มีคนอื่นอีก ไม่รู้ว่าหลิงอวิ๋นกับหยางอวิ๋นไปอยู่ที่ไหน
เขาก้าวออกไปและมุ่งหน้าสู่ยอดเขา ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ หากต้องการใช้ประโยชน์จากช่วงนี้ ชายหนุ่มย่อมต้องไปที่ยอดเขาเพื่อตามหาพวกฉินอี่หาน
ทว่าออกจากยอดเขาหอกไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น “เจ้าคือลู่หยวนใช่หรือไม่?”
ทันทีที่สิ้นเสียง พื้นที่รอบข้างชายหนุ่มพลันยุบตัว แรงกดดันของพื้นที่รอบข้างบดขยี้เข้าที่ไหล่ของเขา
บุตรศักดิ์สิทธิ์ยืนตระหง่านอยู่กับที่ พร้อมพลังมังกรที่แผ่ออกมากดข่มแรงกดดันทั่วพื้นที่เอาไว้อีกครั้ง
“เจ้าหนู!”
เสียงเย้ยหยันดังขึ้น เขาหันไปมองก่อนจะพบสตรีในชุดคลุมเต๋ากำลังชำเลืองมองตนเองอยู่ไม่ไกล
สตรีคนนี้ถือว่างดงามตามธรรมชาติ รูปลักษณ์ค่อนข้างสบายตา ในบรรดาสตรีที่เขาเคยพบมา นับว่าดูดีไม่น้อย
ทว่าในตอนนี้ สีหน้าของนางกลับโหดเหี้ยมยิ่งนักราวกับเกลียดชังกันมานานหลายปี จนถึงขั้นอยากฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ!
ลู่หยวนมองไปที่ผู้มาใหม่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร?”
หญิงตรงหน้าตอบช้า ๆ “คนที่อยากฆ่าเจ้าอย่างไรล่ะ!”
กล่าวจบ อีกฝ่ายก็พุ่งเข้าหาชายหนุ่ม ก่อนที่ท้องนภารอบข้างจะมืดมิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
นางขยับมือ ก่อนที่ลำแสงกระบี่ดาราที่ทรงพลังราวกับสามารถกลืนกินโลกทั้งใบได้จะปรากฏขึ้น
เสียงที่เป็นของวิถีแห่งสวรรค์ดังแผ่วเบาจากด้านหลังลู่หยวน เขามองไปทางด้านข้าง ก่อนจะพบกระบี่ดาราเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นขวางทาง ป้องกันไม่ให้ตนมีโอกาสถอยหลัง
กระบี่ดาราเต็มไปด้วยพลังมหาวิถี มันหมายจะกลืนกินศัตรูเข้าไปทั้งร่าง
พลังอันแตกต่างกันสองแห่งปรากฏขึ้น กดดันคุณชายลู่แห่งตำหนักธารสุญญะให้อยู่วงแคบ ขณะแรงกดดันเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน!
แต่ผู้ถูกโจมตีไม่สนใจว่าสตรีตรงหน้าเป็นใคร เขากำลังจะลงมือ ทว่าพริบตานั้นเอง สายตากลับเห็นคลื่นกดดันพุ่งมาจากไกล ๆ!
ร่างของหญิงแปลกหน้ากับกระบี่ดาราพลันหยุดนิ่ง แรงกดดันรอบกายลู่หยวนค่อย ๆ พังทลายลง
น้ำเสียงบุรุษอันสงบนิ่งดังขึ้นไม่ไกลนัก “เสวียนหลี อย่าก่อเรื่อง!”
บุตรศักดิ์สิทธิ์กวาดสายตามองไป พลันพบคนมาใหม่ผู้นั่งรถเข็น เป็นชายที่ดูค่อนข้างสุขุม ด้านหลังของเขามีคนจำนวนมากในชุดคลุมเต๋าเหมือนกับชุดของหญิงสาวที่จ้องจะเล่นงานเขาเมื่อครู่
ผู้ที่ชื่อ ‘เสวียนหลี’ ถูกห้อมล้อมด้วยแรงกดดัน นางพยายามดิ้นรนหาช่องว่าง เมื่อเห็นชายผู้มาใหม่ จึงแค่นเสียงอันเต็มไปด้วยโทสะ “เสวียนเทียนชวน เจ้าหมายความว่าอย่างไร?!”
“คนที่ทำให้อาจารย์สำนักอับอายอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมให้ข้าลงมือ หรือว่าเจ้าจะกบฏต่ออาจารย์สำนัก?!”
ดวงตาของคนฟังวาวโรจน์ เขาชำเลืองมองลู่หยวน ก่อนจะหันไปหาเสวียนหลี “เจ้าฆ่าเขาไม่ได้หรอก”
“ฆ่าเขาไม่ได้งั้นหรือ?!”
ดวงตาของคนฟังแดงก่ำ ไม่ว่าใครก็มองเห็นพลังดวงดารามหาศาลเอ่อล้นออกจากร่างของนาง ถ้าไม่ใช่เพราะถูกพลังของอีกฝ่ายกักขังเอาไว้ นางอาจจะคลุ้มคลั่งไปนานแล้ว
“ตอนนี้ข้าก้าวเข้าสู่ขั้นเทียมเทพแล้ว! ถึงขั้นสามารถมองทะลุขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ได้ จะบอกว่าข้าฆ่ามันไม่ได้งั้นหรือ เจ้านี่ก็แค่ขยะที่พยายามดิ้นรนอยู่ในขั้นเทียมเซียนเท่านั้น!”
ลู่หยวนฟังทุกคำด้วยแววตาไม่สั่นคลอน ทว่าในใจเผยรอยยิ้มออกมา
มองเห็นถึงขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ จะขนาดไหนกันเชียว?
ขั้นขยะพรรค์นั้นกล้ามาตะโกนต่อหน้าเขาอย่างนั้นหรือ?
แม้กระทั่งเสิ่นฉงผู้เป็นปรมาจารย์ยุทธ์ยังตายต่อหน้าเขา นับประสาอะไรกับขั้นเทียมเทพ
ชายหนุ่มกำลังจะพูด แต่เสียงของระบบก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
[ระบบแจ้งเตือนว่า เสวียนหลีและเสวียนเทียนชวนคือหนึ่งในผู้กุมโชคชะตาแห่งวิถีเร้นลับ!]
[หากท่านชิงความสามารถวิถีเร้นลับทั้งสอง หรือทำให้พวกเขาอยู่ภายใต้อาณัติของท่านได้ ท่านจะได้รับค่าชะตาวายร้ายมหาศาล!]
ผู้กุมโชคชะตาแห่งวิถีเร้นลับหรือ?
สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์นี้เต็มไปด้วยพยัคฆ์หมอบมังกรเร้นเสียจริง ผู้กุมโชคชะตาแห่งศาสตร์วิถีเร้นลับมีไม่มากนัก แต่กลับมีอยู่ที่นี่ แถมมีถึงสองคนในสำนักของบรรพชนเสวียนเสียด้วย
ลู่หยวนมองพวกเขาด้วยสายตาที่ต่างออกไป
เสวียนเทียนชวนสังเกตเห็นสายตาที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายเช่นกัน ทว่าเขาไม่คิดมาก และยังมุ่งความสนใจไปที่เสวียนหลี ก่อนวางมือลงบนผ้าเสี่ยงทายที่ขา
แสงดาราสาดส่องเหนือผ้าเสี่ยงทาย ทำให้ทั่วโลกสว่างวาบในทันที
พื้นที่ไกลออกไปเริ่มผันผวนอย่างรุนแรง
ภาพมายาในรูปทรงมนุษย์เริ่มปรากฏขึ้น