ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 193 ซุนอวิ๋นถิงกลายเป็นมาร!
บทที่ 193 ซุนอวิ๋นถิงกลายเป็นมาร!
บทที่ 193 ซุนอวิ๋นถิงกลายเป็นมาร!
ซุนอวิ๋นถิงร่างแข็งทื่อ ก่อนพบว่าซุนซิงเหอผู้อยู่ตรงหน้ายังคงมีลมหายใจเฮือกสุดท้ายเก็บไว้ แม้จะตายไปแล้วครึ่งหนึ่งก็ตามที โครงกระดูกอันน่าสยดสยองขยับขากรรไกร ดวงตาถูกเผาไปนานแล้ว ดังนั้นมันจึงทำได้เพียงส่งเสียงออกมาเป็นครั้งสุดท้ายผ่านการใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีเพื่ออ้าปาก “ท่านปู่”
พริบตาต่อมา พลังวิญญาณทั้งหมดรอบร่างที่เหลืออยู่ของซุนซิงเหอสลายไป พลังชีวิตทั้งหมดสูญสิ้น
โครงกระดูกที่มีเศษเนื้อล้มลง มีเพียงเสียง ‘ตึง’ ดังขึ้น มันกระแทกกับแท่นอย่างรุนแรง ก่อนจะกระจายออก ขณะที่เศษซากที่ยังเหลือป่นสลายกลายเป็นฝุ่น
ทั่วทั้งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนมองลู่หยวนด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
เมื่อครู่พวกเขาเห็นว่าดาบเพลิงสีม่วงฟาดฟันไปที่ร่างของลู่หยวนชัด ๆ!
แล้วเหตุใดซุนซิงเหอถึงถูกเผาจนตายด้วยเพลิงม่วงคราม?!
ลู่หยวนยืนตัวตรง อักขระสีทองที่เหลืออยู่บนร่างจางหาย สายตาของเขาจับจ้องซุนอวิ๋นถิงผู้มีร่างกายแข็งทื่อ ก่อนจะมีน้ำเสียงเย็นชาดังมาจากก้นบึ้งภายใน
[ระบบแจ้งเตือน ความสามารถสลับที่ตัวละครได้ถูกใช้เรียบร้อย! ค่าชะตาวายร้ายของท่านลดลง 5,000 แต้ม!]
ร่างสูงโปร่งของซุนอวิ๋นถิงที่อยู่ไม่ไกลนักโน้มตัวลงมา ดวงตาเกรี้ยวกราดของเขาหมองหม่นไร้ประกายใด
“หลานข้า หลานข้า”
บรรพชนดาบพึมพำ หยาดน้ำตาไหลรินออกจากดวงตา ความเศร้าโศกทั้งหลายถาโถมเข้ามาราวคลื่นซัด
ยามทุกคนบนยอดเขาได้เห็นดังนี้ พลันอดไม่ได้ที่จะเกิดความโศกเศร้า
บรรพชนดาบซุนอวิ๋นถิงผู้นี้ สูญเสียครอบครัวที่เหลืออยู่ไปนานแล้ว ซุนซิงเหอคือญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ทว่าตอนนี้ดันมาตายไปอีกคน จึงนับได้ว่าเป็นจุดจบอย่างแท้จริง
ขณะทุกคนกำลังคร่ำครวญ ทันใดนั้นน้ำเสียงที่ผิดแปลกโดดเด่นก็ดังขึ้น “เฮ้อ คนผมขาวกลับสวดส่งคนผมดำ ช่างน่าเจ็บปวดเหลือเกิน”
“ซุนอวิ๋นถิง วางใจเถิด ข้าจะส่งเจ้าไปพบเขาในไม่ช้า!”
เมื่อได้ยินดังนี้ บรรพชนดาบพลันหยุดเศร้าโศก ขณะที่โทสะอันไร้พรมแดนก่อเกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
ทั้งหมดเป็นเพราะลู่หยวน!
หากไม่ใช่เพราะลู่หยวน ศิษย์ยอดเขาดาบก็คงไม่ต้องถูกสังหารหมู่!
หลานชายอย่างซุนซิงเหอก็ไม่ต้องตาย!
ทั้งหมดเป็นเพราะลู่หยวนผู้ชั่วช้า!
ซุนอวิ๋นถิงสะบัดมือ เปลวเพลิงจากดาบเพลิงสีม่วงพวยพุ่ง ประหนึ่งดาบเพลิงยาวพันจั้งตัดผ่านโลก
เพลิงสีม่วงอันน่าสยดสยองปะทุออกมา เผยความคลุ้มคลั่งอันไร้ขอบเขต และแทบจะปกคลุมครึ่งหนึ่งของท้องนภา
เปลวเพลิงไร้ที่สิ้นสุดนี้ ได้แผดเผาชุดท่อนบนของบรรพชนดาบ ก่อนเข้าปกคลุมทั่วกายของเขาในทันที
ซุนอวิ๋นถิงตกตะลึงเล็กน้อย ทว่าเมื่อเปลวเพลิงจางหาย มันก็ถูกแทนที่ด้วยเกราะสีม่วง ซึ่งมีเปลวเพลิงสีม่วงขนาดเล็กผันผวนไปทั่ว และแผ่แรงกดดันบางเบา
“ซุนอวิ๋นถิงใช้เพลิงม่วงครามจนถึงขั้นนั้นได้เชียวหรือนี่?!”
เฉิงไท่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถหลอมชุดเกราะเพลิงม่วงครามเข้ากับตัวเองได้!
ด้วยชุดเกราะดังกล่าว รวมเข้ากับท่าทีหมดสิ้นความหวังของซุนอวิ๋นถิง ต่อให้เฉิงไท่เป็นผู้ประจันหน้ากับบรรพชนดาบในวันนี้ เขาก็ไม่กล้ากล่าวว่าตนเองจะสามารถรอดพ้นมาครบสามสิบสอง!
เจ้าหนูลู่หยวนนั่น!
อวี๋ฉู่ต่อว่าลู่หยวนนับพันครั้งอยู่ในใจ เขาเพิ่งมาตระหนักในภายหลังได้ว่าเด็กคนนี้เล่นสนุกมากจนเกินงาม!
ครั้งซุนอวิ๋นถิงกวัดแกว่งดาบหมายสะบั้นศีรษะในยามนั้น บุตรศักดิ์สิทธิ์เพียงหันสายตามองมาด้วยความเชื่อที่ว่าอดีตเจ้าสำนักจะลงมือพันธนาการบรรพชนดาบเอาไว้สักเล็กน้อย และเปิดช่องว่างให้ลู่หยวนเปลี่ยนตัวซุนซิงเหอเข้ามาอย่างทันท่วงที!
“เจ้าสารเลวคนนี้รนหาที่ตายแท้ ๆ!”
อวี๋ฉู่ไม่เข้าใจว่าทำไมลู่หยวนถึงต้องยั่วโมโหซุนอวิ๋นถิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
ยอดเขาดาบพังทลาย ซุนซิงเหอตาย เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นการทำลายจิตวิญญาณของบรรพชนดาบแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นการผลักดันให้เขาเข้าสู่ความบ้าคลั่ง!
ซุนอวิ๋นถิงผู้เผชิญหน้ากับลู่หยวน ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่ปรารถนาการต่อสู้จนตัวตาย
ทว่าลู่หยวนได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้!?
หรือว่าเด็กคนนี้เป็นพวกอวดดีจนคิดว่าไม่จำเป็นต้องกลัวเกรงใคร?!
กลิ่นอายในมือของอวี๋ฉู่พุ่งทะยาน พลังมหาศาลปรากฏขึ้นจากด้านหลัง ร่างของเขาขยับก่อนมายืนอยู่หน้าลู่หยวน
“เจ้าหนู เจ้ายืนอยู่หลังข้าไว้ ต่อให้วันนี้มีแค่ข้า ข้าก็จะต้องปกป้องเจ้าให้ได้!”
สีหน้าของอดีตเจ้าสำนักดูเคร่งขรึมยิ่ง เขาค่อนข้างระแวดระวังบรรพชนดาบ
ในตอนแรก การกระทำของซุนอวิ๋นถิงจะเป็นเช่นไร ใช่ว่าเขาจะไม่รู้!
แต่ยามนี้อีกฝ่ายคลุ้มคลั่งไปแล้ว!
หากมีโอกาสโจมตี แม้แต่อวี๋ฉู่ก็อาจจะโดนลูกหลงไปด้วย!
ทว่าลู่หยวนกลับดูเฉยชายิ่ง เขาลดมือที่ถือหอกพันมังกรเก้าสวรรค์ลง ปล่อยให้มังกรเจินหลงขนาดเล็กทะยานออกมาจากหอก
หลังจากออกมา มันก็พันรอบแขนของบุตรศักดิ์สิทธิ์ด้วยท่าทางสนิทสนมยิ่ง
“ผู้อาวุโสอวี๋เอ๋ย หากซุนอวิ๋นถิงคนนั้นตาย ข้าขอเพลิงวิญญาณไปก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินดังนี้ คู่สนทนาก็หันมาตะโกนเสียงต่ำใส่ว่า “ในเวลาแบบนี้ เจ้ายังคิดเรื่องเพลิงวิญญาณอยู่อีกหรือ?! เจ้าภาวนาอย่าให้เขาหาโอกาสกระโจนเข้าใส่เพื่อมาฆ่าน่าจะดีกว่า!”
“ไม่หรอก”
มุมปากของลู่หยวนยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม สีหน้าของเขาหนักแน่นยิ่ง “เขาในตอนนี้ฆ่าข้าไม่ได้หรอก!”
“เจ้าหนูตัวเหม็น เขาฆ่าไม่ได้ก็เพราะข้าปกป้องเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ?! เจ้าอย่าประมาทเด็ดขาด ทำตามที่ข้าบอก ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาจะกลายเป็นหายนะ!”
อวี๋ฉู่หันมองกลับไป สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของซุนอวิ๋นถิง
ไม่ว่าจะเกี่ยวกับมิตรภาพที่มีต่อตระกูลลู่ หรือเป็นเพราะใช้เวลาร่วมกับเด็กคนนี้มาหลายวัน แต่อวี๋ฉู่ไม่อยากให้ลู่หยวนตาย!
ซุนอวิ๋นถิงผู้อยู่ในท้องนภาจับจ้องคู่กรณี ดวงตาแทบจะถลนออกมา
ไม่ช้า เขาสัมผัสได้ว่าโทสะในใจรุนแรงยิ่งราวกับบางสิ่งได้เอ่อล้นขึ้นมาในใจ
ในตอนแรกพลังนี้เหมือนกับเส้นด้ายที่เคลื่อนผ่านแขนขาและกระดูกอย่างต่อเนื่อง แต่ผ่านไปสักพัก พลังนี้ก็ทวีความรุนแรงขึ้น
ทั้งพลังวิญญาณ ทะเลลมปราณ และสัมผัสเทวะต่างปนเปื้อนด้วยพลังเหล่านี้ ดวงตาของซุนอวิ๋นถิงจึงเผยร่องรอยความแตกตื่นออกมา
ร่างของเขาคล้ายกับกำลังเสียการควบคุม!
ลู่หยวนผู้ยืนอยู่ด้านหลังอวี๋ฉู่เอามือไพล่หลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเฉยชา
ในจิตสัมผัสของเขา พลังมารที่ห้อมล้อมหอคอยอสูรสวรรค์แยกออก ก่อเกิดเป็นเส้นด้ายก่อนพุ่งเข้าสู่ร่างสีขาวนอกหอคอย
พลังมารเหล่านั้นเข้าพัวพันกับร่างสีขาวราวกับกำลังชักเชิดหุ่นกระบอก
หากมองดี ๆ จะพบว่า ร่างสีขาวช่างเหมือนกับซุนอวิ๋นถิงไม่มีผิด!
ลู่หยวนเปิดปากเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “หุ่นเชิดมาร จงมา!”
เหนือความว่างเปล่า เปลวเพลิงสีม่วงรอบร่างของซุนอวิ๋นถิงพวยพุ่งทันที มันปกคลุมทั่วท้องนภา ค่ายกลดาบสิบเล่มไม่สามารถกักขังบรรพชนดาบเอาไว้ได้ มันแตกสลายในพริบตา
ฟู่!
เปลวเพลิงบ้าคลั่งโหมกระหน่ำ ไม่ต่างจากคนคลั่งอาละวาดโดยไม่สนสี่สนแปด
“นี่มันอะไรกัน?!”
ดวงตาของอวี๋ฉู่จับจ้องกลิ่นอายสีดำอมม่วงที่ปกคลุมทั่วทุกหนแห่ง
“พลังมารหรือ?!”
“ซุนอวิ๋นถิงกลายเป็นมารงั้นหรือ?!”