ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 198 เมินคำเตือนศิษย์พี่ใหญ่
บทที่ 198 เมินคำเตือนศิษย์พี่ใหญ่
บทที่ 198 เมินคำเตือนศิษย์พี่ใหญ่
เมื่อเสวียนเทียนชวนผู้อยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขาวิถีเร้นลับได้ยินเสียงนี้ เขาเก็บตัวหมากในมือเข้ากล่องหมาก รูปกระดานที่จะชนะกลับกลายเป็นแพ้ทันที
ชายบนรถเข็นหันมองไกลออกไป ก่อนพบเห็นร่างหนึ่งยืนอยู่เหนือยอดเขา ความว่างเปล่ารอบด้านผันผวน สายชมกระโชก ชวนตกตะลึง
“ฉู่เชิ่งกลับมาแล้วหรือ?”
เสวียนเทียนชวนพึมพำ
ด้านหลังของเขา เสวียนหลีก้าวออกมา นางยืนอยู่ข้างศิษย์พี่ใหญ่ก่อนยกมือเรียวขึ้นเพื่อทำการทำนายผ่านอากาศ
เมื่อลดมือลง มุมปากของนางยกขึ้น “ลู่หยวนกับฉู่เชิ่งจะสู้กัน!”
“ถึงแม้ข้าจะไม่ชอบฉู่เชิ่งสักเท่าไหร่ แต่ขอเพียงเขาฆ่าลู่หยวนได้ ข้าก็จะไม่จงเกลียดจงชังเขาอีกต่อไป”
เสวียนเทียนชวนได้ออกคำสั่งว่าห้ามยุ่งเกี่ยวกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ ทว่าศิษย์น้องผู้นี้ไม่เห็นด้วย นางพยายามโต้แย้งอีกฝ่ายหลายครั้งแล้ว เพื่อพยายามแย่งสิทธิ์ออกเสียงของยอดเขาวิถีเร้นลับ
แต่ทุกอย่างล้วนถูกเสวียนเทียนชวนมองออก เขาเตือนว่าหากเสวียนหลีไปหาเรื่องอีก เขาจะขังนางไว้บนยอดเขาวิถีเร้นลับ ไม่ให้ย่างเท้าออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว ศิษย์น้องผู้นี้จึงเลิกตามราวีลู่หยวน แต่นางยังคงมีความคิดชั่วร้ายเกี่ยวกับศัตรูเหมือนเดิม
เดิมทีนางคิดว่าต่อให้เสวียนเทียนชวนห้ามด้วยตัวเอง แต่ถ้าเสวียนหลีเจอกับลู่หยวนที่การแข่งขันภายใน นางย่อมไม่มีทางปรานีอย่างแน่นอน!
นางจะเด็ดศีรษะของลู่หยวนให้ดู!
เพียงแต่ตอนนี้ฉู่เชิ่งกลับมาแล้ว ความตายของบุตรศักดิ์สิทธิ์อาจจะมาถึงแล้วก็เป็นได้!
ศิษย์เอกบรรพชนดาบผู้นี้ไม่ใช่คนดีเด่อะไร!
ทว่าต่อให้เสวียนหลีไปเผชิญหน้าด้วย ก็คงไม่กล้ากล่าวว่าจะรอดมาครบสามสิบสอง!
“หึ…”
เสวียนเทียนชวนยกมือขึ้น ตัวหมากสีขาวสามตัวลอยออกจากกล่องหมากข้างเขา
พลังงานกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้น ตัวหมากสีขาวลอยอยู่ในอากาศก่อนตกลงมา เสียง ‘ป๊อก’ แจ่มชัดดังขึ้น ตัวหมากสีขาวตกลงบนโต๊ะหิน หลังจากกลิ้งอยู่หลายครั้ง มันจึงหยุดนิ่งอย่างมั่นคง
“ทิศเหนือ”
เสวียนเทียนชวนปัดโต๊ะหิน กล่าวว่า “ฉู่เชิ่งเสียเปรียบ หากเจ้าออกไปจะตาย หากทำตามกฎก็รอด”
ไม่นานกลิ่นอายของเสวียนเทียนชวนสั่นไหวเล็กน้อย ตัวหมากสีขาวสามตัวถูกบดขยี้เป็นผุยผง
ดวงตาของเสวียนหลีเผยร่องรอยความไม่อยากเชื่อออกมา นางถามเรื่องการทำนายว่า “เจ้าแค่ทำนายของฉู่เชิ่ง ทำไมถึงรู้ผลลัพธ์ได้? ทั้งสองฝั่งอาจจะเสียเปรียบจนกลายเป็นสถานการณ์ที่แพ้ทั้งสองฝ่ายก็ได้ไม่ใช่หรือ?”
เสวียนเทียนชวนห้ามปรามนางโดยทันที “ก่อนหน้านี้ข้าบอกไปแล้วว่าชะตาของลู่หยวนไม่อาจตัดสินได้ด้วยกฎเกณฑ์สวรรค์ ด้วยรากฐานการบ่มเพาะวิถีลึกลับของเจ้าตอนนี้ หากเริ่มทำนายผลลัพธ์การต่อสู้ เจ้าย่อมได้รับผลสะท้อนกลับอย่างแน่นอน!”
เสวียนหลียอมรามือ แต่ในใจรู้สึกไม่ยินยอม “ฉู่เชิ่งคนนี้อยู่อันดับห้าในทำเนียบสวรรค์! พลังต่อสู้ของเขา เจ้าเองก็เคยเห็นมาแล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะวิถีลึกลับคอยปกป้องข้าจนได้รับโอกาสมากกว่าเขา เพียงแค่ใช้พลังกายอย่างเดียวเขาก็คงเอาชนะข้าได้!”
“ตอนนี้เขาหายไปสองปี รากฐานการบ่มเพาะแข็งแกร่ง เขาอาจจะแซงหน้าข้าจนกลายเป็นอันดับหนึ่งในทำเนียบสวรรค์ไปแล้วก็เป็นได้ ขนาดนี้แล้วก็ยังฆ่าลู่หยวนไม่ได้งั้นหรือ?!”
เสวียนเทียนชวนส่ายหน้า ถึงแม้จะยังไม่ได้ฟันธง แต่เขากังวลว่าการต่อสู้ระหว่างลู่หยวนและฉู่เชิ่งจะมีคำตอบอยู่ก่อนแล้ว
“ลู่หยวนจะต้องชนะแน่นอน เขาไม่ใช่คนที่จะมาถูกควบคุมโดยมหาวิถี ผลลัพธ์ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยชะตา แต่ถูกกำหนดด้วยมือของเขาเอง หากเขาไม่ชนะ แล้วใครจะชนะ?”
“เจ้าเองก็เห็นแล้วนี่ ขนาดยอดเขาดาบยังถูกทำลายด้วยมือของลู่หยวนเลย”
ได้ยินดังนั้น เสวียนหลีจึงพ่นลมออกจมูก “ศิษย์พี่ เจ้าหวาดกลัวเพราะฟังการทำนายมากเกินไปแล้ว และมันอาจจะเป็นเพราะวาสนาของเขาที่ทำให้เจ้าไม่สามารถทำนายถึงเขาได้โดยง่าย”
“ข้ารู้ว่าลู่หยวนมีความข้องเกี่ยวกับความพินาศของยอดเขาดาบ แต่ว่าการโจมตีที่ทำให้ศิษย์ของยอดเขาดาบถึงแก่ความตายล้วนเป็นฝีมือของซุนอวิ๋นถิงทั้งสิ้น ลู่หยวนไม่ได้มีพลังทำได้ขนาดนั้น!”
“สิ่งที่ลู่หยวนทำในวันนั้น คือทำให้ซุนอวิ๋นถิงสับสนจนควบคุมตัวเองไม่ได้!”
“วิธีแบบนั้น บรรพชนเม่ยก็ทำได้!”
จากมุมมองของเสวียนหลี เสวียนเทียนชวนผู้นี้คิดมากเกินไป คิดไปว่าลู่หยวนเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้!
เหอะ!
โลกช่างกว้างใหญ่ ทุกสรรพสิ่งล้วนมีโชคชะตาเกี่ยวพัน
มหาวิถีคือวิถีแห่งสวรรค์… วิถีแห่งสวรรค์คือทุกสรรพสิ่ง
ทุกสรรพสิ่งมีที่ของมัน แล้วจะไม่อยู่ภายใต้มหาวิถีได้อย่างไร?!
นี่คือบทสรุปที่ได้หลังจากผ่านการทำนาย 9,999 ครั้ง ช่างเหลวไหลสิ้นดี!
หากไม่ใช่เพราะเสวียนเทียนชวนรั้งตัวพร้อมกับผนึกการบ่มเพาะเอาไว้ในช่วงสองสามวันมานี้ นางคงเริ่มทำนายชะตาของลู่หยวนไปแล้ว!
เหอะ!
ในใจของเสวียนหลีไม่พอใจเสวียนเทียนชวนยิ่ง และเมื่อเห็นว่าเสวียนเทียนชวนคิ้วขมวด ราวกับไม่อยากตอบคำถามของนางเมื่อครู่ เสวียนหลีจึงพ่นลมออกจมูก เตรียมก้าวเท้าจากไป
เสวียนเทียนชวนมองเห็นความคิดทั้งหมดของเสวียนหลี เขาลังเลสักพัก ก่อนเปิดปากกล่าวว่า “เสวียนหลี ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่ ตอนนี้อาจารย์ไม่อยู่ที่นี่ ข้าจึงได้รับคำสั่งเด็ดขาดมา หากกล้าขัดคำสั่ง เจ้าที่เป็นหนึ่งในศิษย์เอกของอาจารย์จะต้องถูกลงโทษ!”
เสียงของเสวียนเทียนชวนราบเรียบประหนึ่งสิ่งที่พูดเมื่อครู่เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่เมื่อเข้าหูของเสวียนหลี มันกลับกลายเป็นประโยคข่มขู่
ร่างของคนฟังแข็งทื่อ สีหน้าเผยแววจริงจัง
นางมองด้านข้าง ดวงตาหรี่ลง พร้อมจิตสังหารลอบทอประกาย “เสวียนเทียนชวน ถึงแม้เจ้าจะเป็นศิษย์พี่ แต่เจ้ากับข้าต่างก็เป็นศิษย์สายอาจารย์คนเดียวกัน! ในเมื่อเจ้าสามารถพลิกยอดเขาวิถีเร้นลับได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน!”
เมื่อกล่าวจบ เสวียนหลีก็ไปจากที่นี่
“แค่ก ๆๆ”
หลังเสวียนหลีเดินจากไปแล้ว เสวียนเทียนชวนพลันไอออกมา ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ
“ศิษย์พี่ใหญ่”
หลายคนพากันวิตกเมื่อเห็นสภาพดังกล่าว ต่างก้าวเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์
เสวียนเทียนชวนยกมือขึ้น “ข้าไม่เป็นไร”
ผ่านไปหลายอึดใจ เสวียนเทียนชวนค่อยเอนหลังลงทีละน้อย
เมื่อครู่ที่คนอื่นได้ฟังบทสนทนาระหว่างเสวียนเทียนชวนและเสวียนหลี ไม่ว่าจะโง่งมเพียงใด พวกเขาต่างทราบว่ามีช่องว่างระหว่างคนทั้งสองอยู่
ทั้งสองคือศิษย์ของบรรพชนเสวียน โดยเสวียนเทียนชวนคือผู้มีปัญญาไหวพริบมากที่สุด ถึงแม้จะพิการจนทำการฝึกฝนได้ยาก แต่เขายังนับว่าเป็นศิษย์เอกแห่งยอดเขาวิถีเร้นลับ
ส่วนเสวียนหลีทรงพลังด้านการต่อสู้ ติดอันดับสามในทำเนียบสวรรค์ นางเองก็เป็นศิษย์ของท่านบรรพชนเสวียนเช่นกัน
ทุกวันนี้ เสวียนหลีฟังคำพูดของเสวียนเทียนชวนมาโดยตลอด ทุกคนนับถือเขาในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ ต่างเชื่อฟังคำพูดแต่โดยดี
เพียงแต่ยามนี้มีรอยแยกเกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง หากทั้งสองต่อสู้กัน ศิษย์เหล่านี้ย่อมลำบากใจที่จะลงมือ
หนึ่งในพวกเขากล่าวอย่างลังเลว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่เสวียนหลีเพียงแค่หงุดหงิด ถึงนางจะพูดจาโผงผาง แต่หาได้หมายความตามที่พูดไม่”
คนที่เหลือพยักหน้าคนแล้วคนเล่า แต่เสวียนเทียนชวนส่ายหน้า “ไม่! ถ้านางยืนกรานที่จะไป หลังจบการแข่งขันภายในแล้ว ข้าเสวียนเทียนชวน จะไม่มองนางเป็นศิษย์ร่วมสายอาจารย์อีกแล้ว พวกเจ้าลงไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว”
คนที่เหลือยกมือขึ้นทำความเคารพก่อนจากไป
เสวียนเทียนชวนพิงอยู่กับรถเข็นเพียงลำพัง ที่ยอดเขาไกลออกไป พลังอันยิ่งใหญ่ยังคงโหมโจมตี น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังไม่หยุด สั่นสะเทือนไปทั่วทุกทิศทาง
เสวียนเทียนชวนพลันยิ้มออกมา ก่อนยกมือขึ้นกุมหน้าผาก “เทียบกับความปลอดภัยทั่วทั้งยอดเขาวิถีเร้นลับแล้ว ชีวิตส่วนตัวและความตายจะไปสำคัญอะไร?”
“เสวียนหลี เจ้ายืนกรานที่จะไปเอง เช่นนั้นก็จงกลายเป็นอิฐให้ข้าใช้เคาะประตูของลู่หยวนก็แล้วกัน!”