ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 235 เส้นชีพจรคุณธรรมสวรรค์
บทที่ 235 เส้นชีพจรคุณธรรมสวรรค์
บทที่ 235 เส้นชีพจรคุณธรรมสวรรค์
เหนือยอดเขาหอก ลู่หยวนนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องโถง มันถูกรายล้อมด้วยค่ายกลจำนวนมาก จนมีเพียงชายหนุ่มที่เข้าไปได้
[ระบบแจ้งเตือน สภาวะบ่มเพาะของหอคอยอสูรสวรรค์สิ้นสุดลงแล้ว!]
เสียงเย็นเยือกประหนึ่งน้ำแข็งดังมาจากก้นบึ้งหัวใจของลู่หยวน การโคจรพลังที่กำลังดำเนินอยู่ถูกหยุดลง ก่อนชายหนุ่มจะเข้าสู่จิตเทวะ
กลิ่นอายรอบข้างของหอคอยอสูรสวรรค์ถูกสะกดเอาไว้ที่นี่ เจตจำนงมารเจิดจ้าหาได้รื่นเริงอย่างเริงร่าเหมือนเมื่อก่อนไม่
วิ้ง!
หอคอยอสูรสวรรค์พลันสั่นไหว คลื่นพลังดวงดาวพุ่งขึ้นมาจากรอบข้าง ทั่วทั้งพื้นที่จิตเทวะของลู่หยวนมืดมิดทันที ไม่นานพลันเกิดแสงดาราสาดส่องอย่างเจิดจ้า
รูปลักษณ์ของกลุ่มดาวกระบวยใหญ่คล้ายกับอยู่ในจิตเทวะของเขา ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่เลือนหาย
ทันใดนั้น พลังดวงดาวทั้งหลายต่างถูกยับยั้งเอาไว้ ทุกสิ่งรอบข้างพวกมันถูกดูดกลืนกลับไป พลังมารของหอคอยอสูรสวรรค์เกิดความผันผวน
[ระบบแจ้งเตือน หอคอยอสูรสวรรค์ได้ดูดกลืนพลังดวงดาวแล้ว ความสามารถของหอคอยในการควบคุมมารที่อยู่ข้างในได้รับการพัฒนาอีกครั้ง! ท่านจะสามารถนำมารในหอคอยอสูรสวรรค์ออกมาใช้ได้!]
[ระบบแจ้งเตือน หอคอยอสูรสวรรค์ยังคงไม่มีพลังมากเพียงพอ การดูดกลืนพลังดวงดาวครั้งนี้ยังไม่สามารถเปิดหอคอยชั้นใหม่ได้!]
ลู่หยวนบังเกิดความยินดี ต่อให้ไม่สามารถเปิดหอคอยใหม่เพื่อพบมารตนใหม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
บัดนี้หอคอยอสูรสวรรค์สามารถปลดปล่อยมารที่อยู่ข้างในได้แล้ว สือจิ่วกับเจิ้งชิงเทียนหาใช่ผู้ฝึกยุทธ์ที่อ่อนแอไม่!
ลู่หยวนเข้าสู่หอคอยอสูรสวรรค์ เพียงย่างเท้าเข้าไป เขาก็พบว่าเจิ้งชิงเทียนไม่ได้ขดตัวอยู่ในหอคอยเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป นางจัดระเบียบร่างกายตัวเอง แม้สภาพจะยังดูไม่ได้ แต่ก็ทำให้เห็นดวงหน้าได้อย่างชัดเจน
เจิ้งชิงเทียนมีสีหน้าสงบ ราวกับกำลังรอคอยเขาอยู่ก่อนแล้ว
“นายท่าน!”
สือจิ่วพุ่งมาอยู่ข้างกายชายหนุ่มพร้อมเสียงเรียกเจื้อยแจ้ว ช่างดูว่านอนสอนง่าย
เจิ้งชิงเทียนนั่งตัวตรงพลางมองมาทางเขา
ขณะที่ลู่หยวนมายืนอยู่ตรงหน้าอดีตหญิงสาวแห่งวิถีคุณธรรมด้วยสายตาเคร่งขรึม
“เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่าคนในตอนนั้นคือชิวสิง?”
บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นฝ่ายถามก่อน เขากำลังพูดถึงชายที่ปรากฏในฉากสุดท้ายของลูกแก้วส่องสวรรค์
เจิ้งชิงเทียนพยักหน้าด้วยสายตาแน่วแน่ “เป็นมัน รอยแผลเป็นที่อยู่บนใบหน้านั่นเป็นฝีมือของข้าเอง ส่วนวิถีคุณธรรมที่ซ่อนอยู่ภายใน แม้ไม่อาจถูกผู้อื่นมองเห็นแต่ข้าสามารถสัมผัสได้!”
ลู่หยวนเงียบงัน ผ่านไปหลายอึดใจจึงเอ่ยว่า “หากเขาคือชิวสิง เขาก็มีชีวิตมานานถึงสามแสนปี ต่อให้เขามีรากฐานการบ่มเพาะอยู่ขั้นเทพยุทธ์ แต่ก็ไม่น่าจะมีชีวิตยืนยาวขนาดนั้นได้! และต่อให้เขาจะมีวิธียืดอายุขัยตัวเองจนมาถึงตอนนี้จริง แต่เขาทำไปเพื่ออะไร?”
เมื่อเผชิญกับคำถามนั้น นางพลันสงบคำ ผ่านไปหลายอึดใจจึงเอ่ยออกมาว่า “ไม่รู้เลย”
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบสงัด ทุกสิ่งที่ลูกแก้วส่องสวรรค์เห็นในวันนั้นมันแปลกประหลาดเกินไป
หลังจากเจิ้งชิงเทียนสัมผัสกลิ่นอายของวิถีคุณธรรมได้ นางจึงฝืนเปิดจิตเทวะออกมา เผยให้เห็นฉากในลูกแก้วส่องสวรรค์ โดยพบว่าใบหน้าของชิวสิงปรากฏขึ้นในตอนนั้นพอดี
เมื่อเห็นชายผู้นั้น เจิ้งชิงเทียนก็ไม่อยากเชื่อตาตัวเอง
ถึงอย่างไรนางก็กลายเป็นมารก่อนถูกขังอยู่ในหอคอยอสูรสวรรค์ ทำให้มีชีวิตอมตะ และอยู่รอดมาได้
แต่ชิวสิงผู้นั้น นอกจากจะไม่สามารถตรวจสอบรากฐานการบ่มเพาะได้แล้ว ร่างจริงของอีกฝ่ายยังคงอยู่บนโลกได้อีก!
นี่จะต้องเป็นเคล็ดวิชาลับบางอย่างไม่ผิดแน่ เขาถึงหลบหนีจากภัยพิบัติแห่งความเป็นความตาย รวมถึงทัณฑ์วิถีแห่งสวรรค์ จนอยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้
ส่วนเคล็ดวิชาลับดังกล่าวคืออะไร เจิ้งชิงเทียนยังไม่ทราบ
“นายท่าน ข้าอยากรู้ว่า ลูกแก้วส่องสวรรค์เห็นชิวสิงอยู่ในสถานที่ใดหรือ?”
เจิ้งชิงเทียนพลันเอ่ยถาม นางคิ้วขมวดราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
ลู่หยวนพยักหน้า เขารวมเศษแผนที่บันทึกตำแหน่งกระบี่มารแปดแดนร้าง กับแผนที่ที่ได้รับมาจากหอคอยสวรรค์เข้าด้วยกัน และปล่อยให้พวกมันลอยอยู่ในอากาศธาตุ
“ถึงจะฟังดูเหลวไหลไปหน่อย แต่บุตรแห่งวิถีคุณธรรมเช่นเจ้าเป็นอมตะร่วมกับพลังแห่งเผ่ามารไม่ใช่หรือ? สถานที่ที่ชิวสิงเลือกให้ตระกูลชิวถึงกับเป็นสถานที่ผนึกกระบี่มารแปดแดนร้างเชียวนะ”
ดวงตาของเจิ้งชิงเทียนสั่นไหวยามจับจ้องภาพคูน้ำที่อยู่ระหว่างยอดเขาทั้งสอง
ทันใดนั้นนางก็ยกมือขึ้น กลิ่นอายคุณธรรมที่ปลายนิ้วก่อตัวขึ้นอย่างยากลำบาก พร้อมอักขระแปลกประหลาดที่มารวมตัวกัน
สิบต้นฟ้า และสิบสองกิ่งดิน*[1] ถูกเจิ้งชิงเทียนทำเครื่องหมายเอาไว้ ก่อนบิดเบี้ยวหมุนวนไปมาดั่งกงล้อ ทำให้ต้นฟ้ากิ่งดินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ลู่หยวนมองปราดเดียวก็รู้ในทันทีว่ามันคือเคล็ดวิชาทำนาย ทว่าค่อนข้างคล้ายกับสิ่งที่เสวียนเทียนชวนถนัด
เพียงแต่เสวียนเทียนชวนใช้เส้นชีพจรเร้นลับของตัวเองเพื่อก้าวเข้าสู่วิถีเร้นลับ จึงจะสามารถทำความเข้าใจมหาวิถีจนสอดส่องวิถีแห่งสวรรค์ได้
ทว่าเจิ้งชิงเทียนใช้เส้นชีพจรคุณธรรมทำให้ก้าวเข้าสู่วิถีสวรรค์ จนสามารถสำรวจผลลัพธ์บางอย่างได้
วิถีเร้นลับกับวิถีคุณธรรมนี้มีความแตกต่างกันมาก!
ขณะเวลาผ่านไป เจิ้งชิงเทียนก็ทำนายได้มากขึ้น กลิ่นอายคุณธรรมของนางราวกับเส้นด้ายที่หมุนวนไปมา ก่อนยึดครองพื้นที่ขนาดเล็กของชั้นหอคอยในเวลาอันสั้น
ลู่หยวนไม่รีบร้อน เขาจึงหยิบเก้าอี้ไม้โบราณออกมาก่อนนั่งลง เขาถึงขั้นเริ่มโคจรพลังบ่มเพาะระหว่างรอนาง
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อการเคลื่อนไหวจากการทำนายของนางหยุดลง พบว่าการทำนายในคราวนี้ได้ยึดครองพื้นที่หอคอยเอาไว้ พวกมันบางส่วนล้นออกไปนอกหอคอย และตกลงไปในจิตเทวะ
ทั่วร่างของเจิ้งชิงเทียนอ่อนแอลงเช่นกัน นางมารหอบหายใจและมีเหงื่อออกมาไม่น้อย ในดวงตาของนาง มันทอประกายด้วยความไม่อยากเชื่อ
สือจิ่วเรียกนายท่านอยู่หลายครั้ง เพื่อให้เขาออกจากการบ่มเพาะ
“เป็นอย่างไร?”
ลู่หยวนหยุดโคจรพลัง พลางเอ่ยถาม
เจิ้งชิงเทียนตกตะลึงชั่วขณะพร้อมคลี่รอยยิ้มออกมา สายตานางจับจ้องไปที่ลู่หยวน “ภายใต้พื้นที่แห่งนั้น มีกระบี่มารแปดแดนร้างมากกว่าหนึ่งเล่ม”
“หากการทำนายของข้าไม่ผิดพลาด อาวุธประจำตัวของแม่ทัพมารทั้งแปดผู้อยู่ใต้อาณัติจอมมารน่าจะถูกฝังอยู่ที่นั่น! ภูมิประเทศทั้งหมดเต็มไปด้วยพลังมารที่สามารถดึงดูดผู้คน หรือเป็นอุปสรรคขัดขวางบางสิ่งได้มากมาย”
“หากเป็นยามปกติ สถานที่แห่งนั้นคงกลายเป็นซากปรักหักพังไปนานแล้ว เนื่องจากภายใต้การร่วมมือกันผนึกพลังมารของตระกูลยิ่งใหญ่ทั้งหลาย”
“แต่บัดนี้ สถานที่อันร้ายกาจเช่นนั้นกลับอยู่ในเงื้อมมือของชิวสิง ถึงขั้นตั้งตระกูลขึ้นในบริเวณนั้น… มันจะต้องมีแผนการบางอย่างเป็นแน่!”
“ส่วนแผนการที่ว่าคืออะไร พวกเราต้องเข้าไปดูจึงจะรู้!”
ลู่หยวนขมวดคิ้ว พลางตกอยู่ในห้วงความคิด
หากเป็นไปตามที่เจิ้งชิงเทียนว่ามา ชิวสิงผู้นี้ย่อมเป็นคนที่ยากจะหยั่งถึง…
ทั่วทั้งหอคอยขนาดเล็กตกอยู่ในความเงียบอีกครา
มารตัวน้อยสือจิ่วคิ้วขมวดขณะมองดูทั้งสอง นางกะพริบตาอย่างไร้เดียงสาก่อนมายืนอยู่ด้านข้าง เพื่อมองตรงนี้ไปพลาง มองตรงนู้นไปพลาง
“ลู่หยวน” เจิ้งชิงเทียนพลันเอ่ยขึ้น “ข้าอยากทำข้อตกลงกับท่าน”
บุตรศักดิ์สิทธิ์หันหน้ามามอง “ว่ามา”
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการวิถีคุณธรรม ข้าจะช่วยเจ้าเอาเส้นชีพจรคุณธรรมของตระกูลชิวมาให้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าต้องฆ่าชิวสิงเพื่อข้า ตกลงหรือไม่?!”
หากคนธรรมดาได้ยินประโยคนี้ พวกเขาอาจจะปฏิเสธในทันที
ไม่ว่าชิวสิงจะใช้เคล็ดวิชาอะไร แต่การที่เขามีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ทำให้ชื่อเสียงในฐานะผู้อยู่ในวิถีคุณธรรมเมื่อสามแสนปีก่อนไม่อาจลบล้างได้
ใครบ้างไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
ให้ลู่หยวนฆ่าชิวสิงหรือ?
เกรงว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ เขาน่าจะถึงแก่ความตายโดยไม่รู้ตัว!
ทว่า…
ดวงตาของลู่หยวนกลับไร้ร่องรอยความหวาดกลัว ชายหนุ่มตอบอย่างเชื่องช้าว่า “การฆ่าชิวสิงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่า สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่ของเรียบง่ายอย่างพลังแห่งวิถีคุณธรรมและเส้นชีพจรคุณธรรม”
เจิ้งชิงเทียนหันมามองด้วยความสงสัย นางเห็นว่ามุมปากของลู่หยวนยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่า ยามสายเลือดวิถีคุณธรรมต่อสู้กันจนเหลือเพียงคนสุดท้าย เส้นชีพจรคุณธรรมสวรรค์จะปรากฏขึ้น นั่นแหละสิ่งที่ข้าต้องการ!”
[1] ระบบนับเวลาของชาวจีน ใช้ตั้งแต่นับวันในเดือน นับเดือนในปี นับปีในรอบสิบปี และนับปีในรอบหกสิบปี โดยกำหนดราศี คุณสมบัติเชิงหยินหยางและธาตุทั้งห้า มักแสดงในลักษณะกงล้อ