ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 237 เขตแดนลับ
บทที่ 237 เขตแดนลับ
บทที่ 237 เขตแดนลับ
ทุกวันนี้ชิวชิงหลีทราบนิสัยของลู่หยวน หากไม่มีผลประโยชน์ที่สำคัญพอย่อมไม่สามารถสร้างความประทับใจให้เขาได้
“เขตแดนลับนี้ถูกตั้งขึ้นโดยบรรพบุรุษตระกูลชิวของข้า มันเป็นที่เก็บงำเพลิงวิญญาณสามดวงกับพลังแห่งวิถีคุณธรรมหนึ่งดวง เพลิงวิญญาณสามดวงนี้อยู่อันดับ 11 อันดับ 73 และอันดับ 91 บนรายชื่อเพลิงวิญญาณ”
“หากต้องการเปิดมัน ต้องมีพลังเพลิงวิญญาณก่อน ข้าทราบว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์สามารถสัมผัสเพลิงวิญญาณได้ ข้าหวังว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์จะให้การช่วยเหลือ”
“ข้าเพียงต้องการพลังวิถีคุณธรรม ส่วนที่เหลือ บุตรศักดิ์สิทธิ์เอาไปได้เลย หากท่านต้องการสิ่งใดที่ข้าครอบครองอยู่ก็สามารถเอาไปได้”
เพลิงวิญญาณนี้นับว่าหายาก แถมยังได้ดวงที่อยู่อันดับ 11 มาครอบครอง
ส่วนอันดับ 73 กับอันดับ 91 พวกมันคือขยะ แต่หากได้ติดมือมา พวกมันสามารถกลายเป็นสารอาหารให้กับหอคอยอสูรสวรรค์ได้
เมื่อลู่หยวนกำลังจะเอ่ยปาก พื้นที่รอบข้างเกิดการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ซึ่งความผันผวนนี้ไม่อาจดึงดูดความสนใจจากผู้ใดได้ แม้กระทั่งชิวชิงหลีก็ไม่สังเกตเห็น
ชายหนุ่มหรี่ตา ก่อนเนตรเทวะจะปรากฏขึ้น เขาพบว่าห่างไปไม่ไกลนัก ฉู่เชิ่งกำลังใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อปกปิดกลิ่นอายกับร่างของตนเอง แล้วเดินมาทางพวกเขาทั้งสองทีละน้อย
สายตาของฉู่เชิ่งจับจ้องลู่หยวนกับชิวชิงหลีด้วยใบหน้าเย็นเยียบประหนึ่งผิวน้ำ ราวกับถูกสวมหมวกเขียว*[1]
เมื่อเห็นว่าผ่านไปเนิ่นนานแล้วบุตรศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เอ่ยปาก ผู้สืบทอดวิถีคุณธรรมจึงถามว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์ต้องการอะไรหรือ?”
ลู่หยวนถอนสายตากลับมา “หากข้าจำไม่ผิด ฉู่เชิ่งก็มีเพลิงวิญญาณ เหตุใดเจ้าไม่ไปหาเขา?”
ตอนชิวชิงหลีมาหาบุตรศักดิ์สิทธิ์ นางทราบว่าอีกฝ่ายจะต้องถามถึงเรื่องนี้ เพียงไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นเพราะนางส่งคนไปตรวจสอบฉู่เชิ่ง จนพบว่าอีกฝ่ายครอบครองวิญญาณพยัคฆ์โลหิตอยู่
หลังเผชิญหน้ากับศิษย์เอกสำนักดาบ ทั้งสองก็ทะเลาะกันครั้งใหญ่จนเกิดความแตกแยกขึ้น
หากไม่ใช่เพราะเรื่องดังกล่าว วันนี้นางคงไม่มาหาลู่หยวน
ยามนี้นางถูกติดตามและตรวจสอบโดยสมาชิกตระกูล ส่วนคนที่ถูกส่งมาต่างเป็นของตระกูลสาขา
แม้ชิวชิงหลีจะบริสุทธิ์ใจ และเชื่อว่าตนไม่ได้ก่อการอันใดที่สร้างความขุ่นเคืองให้ตระกูล แต่ตระกูลสาขากลับไม่คิดเช่นนั้น การมาของคนกลุ่มนี้อาจเพื่อใส่ร้ายป้ายสีนาง
หากต้องการอยู่ยงคงกระพันก็ต้องแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ใดในใต้หล้า เพื่อไม่ให้ใครกล้ามาดูหมิ่นดูแคลนเอาได้
พลังแห่งวิถีคุณธรรมจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนางในช่วงเวลานี้
ชิงชิวหลีหลุบตาลงต่ำ ก่อนเงยหน้าขึ้นจับจ้องลู่หยวน “เพราะบุตรศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งกว่ากระมัง?”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา ลู่หยวนไม่มีการตอบสนองเท่าไหร่ แต่ฉู่เชิ่งผู้ซ่อนร่างอยู่ด้านข้างกลับเต็มไปด้วยโทสะ สายตาประหนึ่งอสรพิษ เขากุมมือแน่นราวกับอยากเข้าไปบีบคอทั้งสองให้ตายเสียตอนนี้
สารเลว!
แพศยา!
ฉู่เชิ่งยังคงสบถในใจ
เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชิวชิงหลีจึงตรวจสอบเขาก่อนมาพบกันในวันนี้ แล้วสอบถามว่ามีวิญญาณพยัคฆ์โลหิตอยู่กับตัวหรือไม่
เรื่องพยัคฆ์โลหิตเป็นความลับ แม้ชิวชิงหลีจะปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี แต่ศิษย์เอกยอดเขาดาบก็ยังต้องระแวดระวัง จึงเป็นธรรมดาที่จะเก็บเป็นความลับและปฏิเสธไป
คาดไม่ถึงว่าหญิงที่ชอบพอกันจะเย็นชาดุจเหมันต์ นางปริปากว่าจะตรวจสอบต่อไป อีกทั้งยังบอกทิ้งท้ายเอาไว้ว่า หากนางพบว่าวิญญาณของเขาถูกพยัคฆ์โลหิตยึดครองไป เขาจะต้องถูกบดขยี้จนตาย
เดิมทีฉู่เชิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดชิวชิงหลีถึงมีพฤติกรรมเช่นนี้ แต่บัดนี้เขาเข้าใจแล้ว
นางหญิงชั่วผู้นี้กำลังหาข้ออ้างเพื่อสลัดเขา แล้วไปประจบสอพลอลู่หยวน!
ใช่แล้ว นี่คือโลกที่ผู้อ่อนแอถูกผู้แข็งแกร่งกลืนกิน!
ช่วงเวลาที่เคยใช้ร่วมกับชิวชิงหลีปรากฏขึ้นในใจของฉู่เชิ่ง
เดิมทีเขาคิดว่าแม้นางเป็นสมาชิกของตระกูลใหญ่ แต่ก็ไม่มีความอวดดีแบบลูกหลานตระกูลชั้นสูง นั่นถือเป็นเรื่องน่าชื่นชมนัก
ชิวชิงหลีไม่เคยพูดถึงต้นกำเนิดอันต่ำต้อยของเขา อีกทั้งยังมอบความอ่อนโยน ทรัพยากร และตำราลับมาให้
ส่วนเรื่องเล็กน้อยที่เหลือ หญิงสาวหาได้เก็บมาใส่ใจไม่ แม้คนจากตระกูลที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์มากกว่าจะมาอยู่ข้างกาย นางก็ไม่เคยเหลียวแล
ฉู่เชิ่งคิดว่าชิวชิงหลีจะต่างจากผู้อื่น!
แต่บัดนี้ เขาเข้าใจแล้ว
อีกฝ่ายเป็นหญิงใจง่ายที่รักการประจบสอพลอบุรุษผู้ยิ่งใหญ่!
ก่อนหน้านี้นางเพียงดูถูกคนเหล่านั้นเพราะอีกฝ่ายไม่แข็งแกร่งพอ!
แต่ยามนี้ ลู่หยวนผู้มีภูมิหลังตระกูลโดดเด่น บิดาคือประมุขของตระกูลอันดับหนึ่งในตำหนักธารสุญญะแดนเหนือ ส่วนมารดาคือเจ้าสำนักยันต์อันดับหนึ่งในแผ่นดินหลัก เขามีวาสนาอยู่กับตัวมากมาย แถมรูปลักษณ์ยังหล่อเหลามีสง่าราศี
ชิวชิงหลีเห็นเช่นนี้ แล้วจะไม่เข้าไปเกาะติดได้อย่างไร?!
นังหญิงชั่ว!
เมื่อท่านหู่เห็นฉากนี้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้ว่ามีสิ่งผิดปกติ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นส่วนไหน เขาจึงทำได้เพียงปลอบฉู่เชิ่งว่า “เจ้าหนู อย่าโกรธให้มากเลย”
“ข้ารู้แล้ว” ฉู่เชิ่งกัดฟัน “พวกเราค่อยจัดการเรื่องนี้ทีหลัง ตอนนี้มาถึงแดนมัชฌิมแล้ว จะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปไม่ได้!”
บุตรแห่งโชคชะตาฉู่สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
ลู่หยวนมองอีกฝ่ายจากไป พลางลอบขบขันเสียงเย็นอยู่ในใจหลายครั้ง หากเป็นยามปกติ เจ้าหนุ่มคนนี้คงพุ่งเข้าใส่เขาแล้ว แต่ยามนี้อีกฝ่ายกลับมีท่าทีสงบนิ่ง แสดงว่าคนที่คอยหนุนหลังคงช่วยปลอบประโลมแล้ว
เผ่าพยัคฆ์โลหิตหุบเขาบูรพา…
ลู่หยวนถอนสายตากลับมา “ข้าจะยอมไปกับเจ้า และข้าขอรับเพลิงวิญญาณสามดวงไว้”
“ขอบคุณบุตรศักดิ์สิทธิ์!” ชิวชิงหลีถอนหายใจ
…
อีกด้านหนึ่ง มีหลายคนอยู่ในลานบริเวณที่ไม่สะดุดตานักของแดนมัชฌิม
ชิวหรันคุกเข่าต่อหน้าคนกลุ่มหนึ่งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้คือสตรีวัยกลางคนที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ รูปโฉมนับว่าโดดเด่น นางสวมชุดสีเขียว มีกระบี่ยาวสีน้ำเงินลอยอยู่ข้างกาย มีกลิ่นอายพลังแห่งวิถีคุณธรรมโคจรอยู่บนกระบี่ยาว
คนผู้นี้คือชิวเฟิงจู้ หัวหอกผู้รับหน้าที่ตรวจสอบชิวชิงหลี
สตรีวัยกลางคนจิบชาอย่างไม่รีบร้อน พลางหัวเราะออกมา “ชิวหรัน มันเป็นความตั้งใจของท่านบรรพชนที่ต้องการตรวจสอบชิวชิงหลี พวกข้าถามอะไร เจ้าก็ตอบมา หากคิดปกปิดคงทราบว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”
เมื่อชิวหรันได้ยินคำว่า ‘บรรพชน’ นางตกตะลึงเล็กน้อย ร่องรอยความหวาดกลัวก่อเกิดขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ
“ข้าน้อยทราบดี”
ชิวเฟิงจู้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดีมาก ถ้าอย่างนั้น ข้าขอถามเจ้าหน่อย หลังจากชิวชิงหลีออกจากการเก็บตัวแล้ว นางทำอะไรบ้าง แล้วไปพบเจอผู้ใด”
แม่เฒ่าชิวหรันไม่ปกปิดสิ่งใด นางตอบทีละคำถาม
ยามอยู่ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ชิวชิงหลีรู้จักคนไม่มาก นางเข้าพบอาจารย์สำนักเพียงไม่กี่ครั้ง นอกนั้นก็มีฉู่เชิ่งกับลู่หยวน
เมื่อทุกคนทราบว่าชิวชิงหลียอมเป็นข้ารับใช้ให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต่างมีสีหน้าประหลาดใจ
สตรีชุดสีชมพูเอ่ยเย้ยหยันว่า “พี่หลีเอ๋อร์ถึงกับยอมรับคำขอเช่นนั้น ช่างเป็นความอับอายแก่ตระกูลชิวแห่งวิถีคุณธรรม! คนเช่นนั้นถึงกับมีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอดของตระกูลชิวได้ ในความเห็นของข้า เรื่องนี้ต้องถูกรายงานให้ท่านประมุขใคร่ครวญเสียใหม่ ว่าตอนบุตรีของท่านอยู่ข้างนอกได้ทำเรื่องน่าอับอายอะไรไว้บ้าง!”
คนที่เหลือต่างเห็นพ้องต้องกัน
ชิวเฟิงจู้ไม่เสริมอะไร เพียงเอ่ยว่า “ว่าต่อไป…”
ชิวหรันอธิบายเรื่องที่เหลือให้ฟัง
[1] สวมหมวกเขียว หมายถึง การสวมเขา หรือ การที่ฝ่ายหญิงมีชู้