ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 248 ซากปรักหักพังวิหคเพลิง
บทที่ 248 ซากปรักหักพังวิหคเพลิง
บทที่ 248 ซากปรักหักพังวิหคเพลิง
“นายท่าน”
ชิวชิงหลียกยิ้มประจบสอพลอ “หากเข้าไปในตระกูลชิวยามนี้ ข้าเกรงว่าจะมีปัญหาเล็กน้อย”
ลู่หยวนคิ้วขมวด “ทำไมหรือ?”
นางอธิบายว่า “นายท่านอาจจะไม่ทราบ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ตระกูลชิวหันมาสงสัยชิวชิงหลี และได้จัดคนมาตรวจสอบนางอย่างละเอียด”
“ตอนนี้คนข้างกายนางถูกสับเปลี่ยนหมดแล้ว หากพวกเขาพบบางอย่างจริง เกรงว่านางไม่เพียงแต่จะเสียตำแหน่งนายน้อยแห่งตระกูลชิวเท่านั้น แม้กระทั่งชีวิตก็ยังตกอยู่ในอันตราย!”
บุตรศักดิ์สิทธิ์เงียบงันยามชำเลืองมองนาง ก่อนจะพยักหน้า “ข้าพอจะทราบอยู่”
เขาเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย เหตุที่หญิงสาวประจบสอพลออยู่หลายครั้งเป็นเพราะยามนี้ตระกูลชิวส่งคนมาตรวจสอบ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และต่อให้เป็นนางก็ไม่สามารถจัดการได้
การเล่าให้ลู่หยวนฟังตอนนี้ ย่อมหมายถึงการขอความช่วยเหลือจากเขา
เรื่องตระกูลชิวไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ยามนี้เขาควรออกจากที่นี่เพื่อไปซากปรักหักพังที่ฮ่วนซิงไป๋เคยกล่าวถึง
ชายหนุ่มยกมือขึ้น กระบี่ใหญ่สีทองสะเทือนสวรรค์พลันสั่นสะท้าน ก่อนจะสลายไป
ท้องฟ้าที่เคยมืดมิดจางหายไปในบัดดล พร้อมแสงอาทิตย์กระจ่างกลับคืนสู่โลก
แต่สิ่งที่ถูกทำลายไปแล้ว ไม่อาจกลับเป็นดังเดิมได้
ลู่หยวนชำเลืองมองชิวชิงหลี “เจ้าไปจัดการเรื่องของตัวเองเสีย ส่วนข้ามีที่อื่นต้องไป”
นางประสานมืออย่างเชื่อฟัง “น้อมรับคำสั่ง!”
ชายหนุ่มกำลังจะออกจากเขตแดนลับ แต่ขยับได้เพียงหนึ่งก้าว เสียง ‘เปรี้ยะ ๆ’ พลันดังขึ้นสองครา ก่อนที่ประตูเข้าสู่เขตแดนจะเริ่มแตกสลาย
แสงสว่างสีขาวสาดส่องพร้อมกับกลิ่นอายนุ่มนวลที่กระจายสู่ภายในเขตแดน พวกมันเข้าปกคลุมร่างลู่หยวนกับชิวชิงหลี เพื่อดึงทั้งสองออกมา
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าเป็นกลิ่นอายของมู่พ่านซานจึงไม่ขัดขืน เขาปล่อยให้อีกฝ่ายพาตัวออกจากเขตแดนลับ
ทันทีที่ทั้งสองยืนอย่างมั่นคง เสียงขององครักษ์คนสนิทของจักรพรรดินีดังขึ้น “พวกเจ้าสองคนทำได้ไม่เลว”
สิ้นคำของเขา เสียง ‘เปรี้ยง!’ สนั่นหวั่นไหวดังขึ้น ค่ายกลเหนือหอคอยก็พังทลาย อักขระมากมายกระจัดกระจายไปโดยรอบ
ก่อนกลิ่นอายของมู่พ่านซาจะหายไปจากค่ายกล
เขาเหลือบมองด้านข้างด้วยดวงตามืดหม่น สายตาที่มองลู่หยวนไม่ต่างจากกำลังมองสัตว์ประหลาด
เมื่อครู่ ค่ายกลได้รับการซ่อมแซมโดยองครักษ์ใหญ่ผู้นี้ หากว่ากันตามหลักแล้ว ต่อให้มีจ้าวยุทธ์มาก็ยังยากที่จะทะลวงได้
ทว่า… ค่ายกลนี้กลับแตกสลายเพราะลู่หยวนกับชิวชิงหลี!
มู่พ่านซานไม่คิดว่าเป็นฝีมือของคุณหนูตระกูลชิว นางอยู่ในแดนมัชฌิมมาหลายปี รากฐานการบ่มเพาะของอีกฝ่ายอยู่ขั้นไหน มีหรือเขาจะไม่ทราบ
ต่อให้นางแผดเผาเส้นชีพจรสวรรค์ของตน ก็ไม่อาจทรงพลังถึงขั้นนั้น!
สิ่งที่ขัดกับสวรรค์เช่นนี้ เกรงว่ามีแต่ลู่หยวนที่สามารถทำได้
แต่เขาอยู่เพียงครึ่งก้าวสู่ขั้นเทียมเทพ!
การสำแดงพลังที่ขัดต่อสวรรค์ แล้วทะลวงค่ายกลระดับนี้ คือสิ่งที่มู่พ่านซานไม่เคยเห็นมาก่อน
ความยากลำบากเช่นนี้ ต่อให้เป็นจ้าวยุทธ์ที่เหนือกว่าสี่ขั้น ก็ยังยากที่จะทะลวงได้
มนุษย์สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้หรือ?
มู่พ่านซานมีคำพูดนับพันติดอยู่ภายใจ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้
“ช่างเถอะ ลู่หยวน ฮ่วนซิงไป๋ยังรอเจ้าอยู่”
มู่พ่านซานถอนหายใจ ก่อนจะชี้ไปที่เขตแดนลับอีกแห่ง
บุตรศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า “ขอบคุณ”
สิ้นคำ ชายหนุ่มขยับเพียงหนึ่งก้าว ก็ทะยานเข้าสู่เขตแดนลับดังกล่าว
เมื่อร่างของลู่หยวนเข้าสู่เขตแดนลับ ชิวชิงหลีจึงมองค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่โดยรอบ และกำลังจะเลือกเข้าไปจากหนึ่งในนั้น
แต่เสียงของมู่พ่านซานพลันดังขึ้น “ฉู่เชิ่งหายไป”
ชิวชิงหลีนิ่งงัน นางมองกลับมาด้วยสายตาประหลาดใจ อีกฝ่ายคือองครักษ์ผู้อยู่ข้างกายจักรพรรดินี ไม่ใช่คนที่ชอบวุ่นวายเรื่องผู้อื่น เหตุใดถึงมาบอกเรื่องนี้ให้นางทราบ?
ชายวัยกลางคนยืนเอามือไพล่หลัง และจ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชา “ชิวชิงหลี ข้ามีความสัมพันธ์กับตระกูลชิว วันนี้จึงอยากเตือนเจ้า หากเจ้ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับลู่หยวนเพราะฉู่เชิ่ง ไม่เพียงแค่เจ้าเท่านั้น เกรงว่าทั่วทั้งตระกูลชิวจะพลอยประสบหายนะไปด้วย!”
“ข้าพูดจบแล้ว เจ้าอยากทำอะไรก็ทำ!”
สิ้นคำ มู่พ่านซานหลับตาลง
ชิวชิงหลียกยิ้ม ก่อนจะคำนับให้อีกฝ่าย “ข้าจะจำให้ขึ้นใจ ขอบคุณผู้อาวุโส”
อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา “อืม”
ชิวชิงหลีลุกขึ้น พร้อมมุ่งหน้าสู่เขตแดนลับแห่งหนึ่ง
…
หลังลู่หยวนก้าวเข้าสู่ค่ายกล สิ่งที่เขาเห็นคือทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายวสันตฤดู ไม่ไกลกันนั้น ชายในชุดลายปักดอกกำลังเดินไปมาอย่างวิตก อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาเป็นครั้งคราว ก่อนจะก้มหน้าคอตก
คนผู้นั้นคือฮ่วนซิงไป๋…
บุตรศักดิ์สิทธิ์สาวเท้าเข้าหา ผู้เฝ้ารอเงยหน้าขึ้นหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่อพบว่าเป็นลู่หยวน ชายในชุดสีเหลืองทองก็มีท่าทียินดีนัก ร่องรอยหงุดหงิดในแววตาเลือนหายไปจนสิ้น
ฮ่วนซิงไป๋รีบเดินมาอยู่ข้างกายอีกฝ่าย พร้อมใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุดเจ้าก็มา!”
ลู่หยวนพยักหน้า “อื้ม”
สิ้นคำ เขาก็เงยหน้ามองออกไปไกล พบว่ามีค่ายกลสีโลหิตขนาดใหญ่อยู่ตรงสุดขอบของทุ่งหญ้าซึ่งครอบคลุมเกือบทั่วท้องนภา
บนค่ายกลดังกล่าวมีอักขระหน้าตาแปลกประหลาด
อักขระสีโลหิตเหล่านั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิง พวกมันแผ่ขยายออกไปทีละชั้น จนก่อเกิดการแผดเผาอันร้อนแรง
หลังจากอักขระรวมตัว พวกมันมีรูปทรงเหมือนกับวิหคเพลิงที่ส่งเสียงร้องและร่ายรำไปมาบนฟากฟ้า
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือเขตแดนลับที่มีซากปรักหักพังวิหคเพลิง!”
ใบหน้าของฮ่วนซิงไป๋เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แม้ตอนนี้จะเหลือเวลาเพียงสองวันครึ่ง แต่ซากปรักหักพังแห่งนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด มิติและเวลาข้างในแตกต่างจากข้างนอก หากท่านอยู่ข้างในหนึ่งเดือน จะเท่ากับอยู่ข้างนอกหนึ่งวัน”
ลู่หยวนหรี่ตา “ถ้าอย่างนั้น พวกเราสามารถอยู่ข้างในได้สองเดือนครึ่งงั้นหรือ?”
อีกฝ่ายตอบรับ “ใช่!”
ผู้ฟังพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
ทั้งสองหันหน้าไปทางค่ายกลสีโลหิต เพียงชั่วพริบตา พวกเขาก็ทะยานมาอยู่ที่รอบนอกของค่ายกล
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เปลวเพลิงร้อนแรงพลันพุ่งออกมาจากค่ายกลสีโลหิต
ลู่หยวนร่นถอยเพื่อหลบเลี่ยง ยามหันกลับมา เขาพบว่าอักขระบนค่ายกลสีโลหิตกำลังโคจรไปมา พร้อมลวดลายวิหคเพลิงขนาดใหญ่ถูกสลักขึ้น
กรร!
มังกรเจินหลงขนาดเล็กที่พันอยู่รอบแขนของลู่หยวนพลันแผดเสียงคำราม เสียงของมันแผ่ออกไปไกล
วิ้ง!
พลังมหาศาลปรากฏขึ้นระหว่างฟ้าดิน
เหนือค่ายกลสีโลหิต อักขระทั้งหลายพังทลาย ก่อนจะรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
เสียงร้องของวิหคเพลิงเล็ดลอดออกมาจากค่ายกลดังกล่าว
อักขระซึ่งรวมตัวกันพิลึกพิลั่นจนคาดเดาไม่ได้ เพียงพริบตาพวกมันก่อเกิดเป็นวังวนแปลกประหลาด
ในวังวนนั้น ภาพมายาของหัววิหคเพลิงยังคงโบยบินไปมา พร้อมเสียงขับขานใสกังวาน
เมื่อฮ่วนซิงไป๋เห็นดังนี้ เขาบังเกิดความยินดีขึ้นมา มันคือจุดเริ่มต้นของการเปิดเขตแดนลับ!
เขารีบเอ่ยปากเตือนว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ขอโลหิตมังกร!”
ลู่หยวนนำโลหิตมังกรออกมาอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะหยดลงไปบนหัววิหคเพลิงในค่ายกล