ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 252 ดินแดนเก้าวิหคเพลิง
บทที่ 252 ดินแดนเก้าวิหคเพลิง
บทที่ 252 ดินแดนเก้าวิหคเพลิง
ฮ่วนซิงไป๋ยังคงหลับใหลอยู่ข้างในโล่ข้างกายเขา
ลู่หยวนคิ้วขมวดขณะมองค่ายกล ในใจครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา
เขาทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าอีกฝ่ายเข้าหาเขา โดยมีจักรพรรดินีชักใยอยู่เบื้องหลัง
สมุนไพรวิญญาณที่ฮ่วนซิงไป๋เข้ามาเอา ย่อมต้องเป็นของที่เกี่ยวข้องกับนาง
ตั้งแต่ลู่หยวนก้าวเข้าสู่แดนมัชฌิม แม้น้อยครั้งที่เขาจะออกจากสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ แต่ไป๋ชิวเอ๋อร์สามารถสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับพระนางได้
จักรพรรดินีผู้นี้มีข้อบกพร่องมาตั้งแต่เกิด ทำให้ขาดแคลนเพลิงสวรรค์และทนทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ จนมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
สถานที่นี้คือที่ตั้งของซากปรักหักพังวิหคเพลิง คาดว่าสิ่งของที่จักรพรรดินีขอให้ฮ่วนซิงไป๋มาหาที่นี่ มีความข้องเกี่ยวกับข้อบกพร่องตั้งแต่เกิดของตนเองเป็นแน่
เขตแดนลับแห่งนี้น่าสนใจไม่น้อย ทันทีที่ถูกเปิดก็มีสัตว์อันตรายปรากฏตัวขึ้น แสดงว่าข้างในนั้นจะต้องเต็มไปด้วยหายนะเป็นแน่
หากเป็นผู้อื่น เกรงว่าคงถอยไปนานแล้ว
แต่ว่า…
ลู่หยวนกลับคลี่ยิ้มออกมา
หากที่นี่อันตราย ย่อมเป็นการพิสูจน์ว่ามีโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่!
อีกด้านหนึ่ง สือจิ่วถอนหายใจ พลังมารในร่างของนางหนักอึ้ง
ลู่หยวนมองด้านข้าง พบว่านางกลืนกินพลังมารทั้งหมดเข้าไปทำให้ทั่วร่างเกิดการเปลี่ยนแปลง
นางผู้อยู่ในร่างสาวน้อย บัดนี้เติบโตขึ้น
อาภรณ์ที่เคยหลวมโพรกเหล่านั้นดูสมส่วนขึ้นมา
สีหน้าของสือจิ่วสงบก่อนเอ่ยกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ว่า “นายท่าน ข้าถ่ายทอดพลังมารทั้งหมดให้แล้ว”
สิ้นคำ นางยกมือขึ้นเพื่อแสดงพลังมารแก่กล้าให้ประจักษ์ มันแข็งแกร่งกว่าปกติสองถึงสามเท่า
“ไม่เลว…”
ลู่หยวนเอ่ยอย่างแผ่วเบา ด้วยพลังของสือจิ่วในยามนี้ หากถึงขีดจำกัด นางสามารถขัดขืนยอดฝีมือผู้อยู่ขั้นจ้าวยุทธ์ได้มากถึงสองคน
ในตอนนี้ มีเสียงเคาะดังขึ้นจากค่ายกลโล่ด้านข้าง “บุตรศักดิ์สิทธิ์ บุตรศักดิ์สิทธิ์?”
ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปมอง ก่อนจะเห็นฮ่วนซิงไป๋ผู้ได้สติขึ้นมากำลังเคาะโล่ดัง ‘ป๊อง ๆๆ’ เพราะอยากออกไป
โล่ไม่เพียงป้องกันฮ่วนซิงไป๋เท่านั้น แต่ยังปิดกั้นการมองเห็นของเขา ทำให้ไม่เห็นทุกสิ่งที่อยู่ภายนอก
สือจิ่วหลบเข้าสู่จิตเทวะของเจ้านาย หวนคืนสู่หอคอยอสูรสวรรค์
ลู่หยวนใช้ปลายนิ้วเคาะลงไปบนค่ายกลโล่ ทำให้มันสูญสลาย
เมื่อฮ่วนซิงไป๋พบว่าค่ายกลตรงหน้าหายไป จนเห็นร่างของบุตรศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงถอนหายใจออกมา
ว่าที่น้องเขยของจักรพรรดินีคล้ายกับนึกความทรงจำบางอย่างขึ้นได้ แต่มันไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรนัก
สรุปแล้ว เขาทราบว่าตนเองถูกบุตรศักดิ์สิทธิ์ช่วยเอาไว้
ฮ่วนซิงไป๋รีบก้าวมาข้างหน้า ก่อนประสานมือทำความเคารพอีกฝ่าย “ขอบคุณบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยข้าเอาไว้!”
ลู่หยวนพยักหน้า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เข้าไปในเขตแดนลับกันเถอะ”
“ได้เลย!”
ทั้งสองก้าวเข้าสู่ค่ายกลพร้อมกัน เมื่อพวกเขาเข้าไปข้างในแล้วพลันมีเปลวเพลิงแผ่ออกมาจากค่ายกลก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องนภา เพียงชั่วพริบตา ค่ายกลหมุนวน ในไม่ช้า ทิวทัศน์ตรงหน้าก็เปลี่ยนไป
ยามเปลวเพลิงมอดดับ สถานที่ที่ปรากฏตรงหน้าคือพื้นที่รกร้าง
เขาพบว่าเขตแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยรอยแยกประหนึ่งใต้ภูเขาไฟ มีลาวาถูกพ่นออกมาจากภายในอย่างต่อเนื่อง ไอร้อนอบอวลไปทั่ว นอกจากลู่หยวนและฮ่วนซิงไป๋แล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในสายตา
ฮ่วนซิงไป๋หยิบวัตถุรูปทรงคล้ายเข็มทิศออกมา ก่อนจะปรับแต่งมัน
ผ่านไปหลายอึดใจ เข็มบนวัตถุดังกล่าวขยับชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ ทางนี้!”
สิ้นคำ ฮ่วนซิงไป๋กระทืบเท้าแล้วทะยานตามเครื่องมือนั้น
ลู่หยวนเหาะตามหลังไป ทั้งสองรักษาระยะห่างกันบ่งบอกถึงความแตกต่างทางสถานะ
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ฉากตรงหน้าพวกเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง
พื้นที่รอบข้างไม่ใช่แดนรกร้างอีกต่อไป แต่มีสิ่งปลูกสร้างทรุดโทรมที่กระจัดกระจายอยู่ทุกหนแห่ง
บนยอดเขาไกลออกไป มีเสาสูงเสียดฟ้าเก้าต้นตั้งตระหง่าน
ภาพสลักนูนของสัตว์เทพและสัตว์เทวะปรากฏบนเสายาวเก้าต้น พวกมันยืนประจำเสาแต่ละต้น
ลู่หยวนหรี่ตา ก่อนเนตรเทวะจะปรากฏขึ้น ทำให้ทิวทัศน์ที่อยู่ไกลออกไปถูกขยายเข้ามาใกล้
สูงขึ้นไป… มีรูปปั้นวิหคเพลิงตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเสาแต่ละต้นท่ามกลางหมู่เมฆ
วิหคเพลิงเหล่านี้มีกิริยาแตกต่างกันออกไป บ้างกางปีกโผบิน บ้างยืนนิ่งอย่างเคร่งขรึม
ภายใต้เนตรเทวะของลู่หยวน เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าวิหคเพลิงทั้งเก้าเปล่งแสงสว่างเรืองรอง
บนเสาต้นหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง มีเปลวเพลิงแปลกประหลาดลุกโชนประหนึ่งเพลิงวิญญาณ
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ นี่คือดินแดนเก้าวิหคเพลิง!”
แววตาของฮ่วนซิงไป๋เผยความตื่นเต้นเล็กน้อย “สถานที่ที่เผ่าวิหคเพลิงสักการะฟ้าดิน สมบัติทั้งหมดอยู่ที่นี่!”
ทั้งสองย่างก้าวออกไป ก่อนมุ่งหน้าสู่ดินแดนเก้าวิหคเพลิง
ในไม่ช้า ทั้งสองมาอยู่รอบนอกของเสายาวเก้าต้น
ฮ่วนซิงไป๋หยิบกระบี่ยาวออกมาตวัดฟัน เพื่อให้ปราณกระบี่ทรงพลังจำนวนมากปกป้องเขาเอาไว้
ปราณกระบี่นี้มีจิตสังหารแรงกล้า หากสัตว์เทพธรรมดาผู้อยู่ขั้นเทียมเซียนสัมผัสได้ เกรงว่าพวกมันคงไม่กล้าเข้าใกล้
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ ที่นี่อันตรายมาก! ระวังตัวด้วย!”
ดวงตาของลู่หยวนหรี่ลง หลังจากมังกรเจินหลงเข้ามาที่นี่ มันเปลี่ยนจากท่าทีเกียจคร้านเป็นยืดตัวตรง แล้วพันรอบแขนของชายหนุ่ม ดวงตามังกรยังคงกลอกไปมา ราวกับกำลังมองทุกสิ่งรอบข้างด้วยความประหลาดใจ
ทั้งสองเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า โดยฮ่วนซิงไป๋เป็นผู้นำทางเข้าไปในดินแดนเก้าวิหคเพลิง
ทันใดนั้นเอง แสงสว่างสีทองพุ่งขึ้นจากพื้นตรงสู่ท้องนภา
บนเสายาวเก้าต้น สัตว์เทพจำนวนมากส่องแสงวาบ ท่าทีของพวกมันที่เดิมเฉื่อยชาคล้ายกับเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ลำแสงกระจายออกไปทีละชั้น แรงกดดันของสัตว์เทพนับไม่ถ้วนเคลื่อนลงมาสู่โลก จนคลื่นพลังซ้อนทับชั้นแล้วชั้นเล่า
ปราณกระบี่รอบกายฮ่วนซิงไป๋พลันสั่นไหว หนึ่งในนั้นพุ่งออกไปต้านทานแรงกดดันที่ถาโถมลงมา
ตูม! ตูม! ตูม!
เสายาวเก้าต้นหมุนอย่างเชื่องช้า ร่างมายาตนหนึ่งพลันเคลื่อนลงมาจากเสายาว
ร่างมายาดังกล่าวคือวิหคเพลิงเก้าปีก มันกระพือปีกจนก่อเกิดพายุหมุนผันผวนอยู่โดยรอบ
“นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคเพลิง มนุษย์ห้ามเข้า!”
เสียงอันน่าเกรงขามดังขึ้น มันเต็มไปด้วยการตำหนิติเตียน
ฮ่วนซิงไป๋มองเปลวเพลิงที่ปกคลุมรอบร่างมายาดังกล่าว ทำให้ทราบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ตัวตนที่จะสามารถต่อกรได้
ทว่าจักรพรรดินีมีรับสั่งให้นำพาลู่หยวนก้าวเข้าสู่ดินแดนเก้าวิหคเพลิง!
ไม่ว่าอย่างไร เขาจะต้องหาทางฟันฝ่าความยากลำบาก เพื่อส่งบุตรศักดิ์สิทธิ์เข้าไปให้ได้!
เมื่อฮ่วนซิงไป๋ตัดสินใจได้ ชายหนุ่มจึงกวัดแกว่งอาวุธ เตรียมปราณกระบี่พุ่งออกไป
ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือ เงาร่างหนึ่งพลันวูบไหวผ่านหางตา
ก่อนจะทันได้มองชัด เขาก็ได้ยินเสียงกู่ร้องทุ้มต่ำของมังกร พร้อมหอกยาวพุ่งผ่านอากาศ
สิ้นเสียง ‘ตูม!’ พลังหอกทั้งหลายแผ่ไปรอบทิศสั่นสะเทือนฟ้าดิน
แม้กระทั่งปราณกระบี่รอบข้างฮ่วนซิงไป๋ยังแยกออกเป็นสองส่วนเพราะโดนลูกหลงจากพลังดังกล่าว
ภาพมายาเงยหน้าขึ้นด้วยความเดือดดาล “โอหัง! เป็นแค่มนุษย์ต่ำต้อย แต่กล้าลงมือในแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคเพลิงงั้นหรือ?!”
เปลวเพลิงโชติช่วงทะยานฟ้าพร้อมสุรเสียงองอาจ!
มันคือร่างวิหคเพลิงที่ตรงเข้าสังหารลู่หยวนผู้อยู่กลางอากาศ
หอกยาวในมือของบุตรศักดิ์สิทธิ์สั่นไหว มังกรเจินหลงซึ่งพันอยู่ที่หอกปลดปล่อยกลิ่นอายมังกรออกมา