ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 267 ฉู่เชิ่งหลบหนี (รีไรท์)
บทที่ 267 ฉู่เชิ่งหลบหนี (รีไรท์)
บทที่ 267 ฉู่เชิ่งหลบหนี (รีไรท์)
บงกชเพลิงพุ่งมาตรงหน้ามู่พ่านซาน ยามกลีบบัวบานสะพรั่ง กลิ่นอายแห่งความตายก็แผ่ซ่านออกมา
เขาหันมองรอบข้างพร้อมก้าวถอยหลัง ก่อนจะขยับมือเพื่อควบคุมกระบี่สามเล่ม
ปราณกระบี่ เจตจำนงกระบี่ อำนาจกระบี่และพลังกระบี่ต่างควบแน่นแล้วหลอมรวมอยู่ภายใน
ขณะบงกชเคลื่อนเข้าหา มู่พ่านซานก็ส่งกระบี่สามเล่มออกไปรับมือ
ปลายกระบี่ทั้งสามเข้าปะทะบงกช ทำให้แสงวูบไหว
เพียงชั่วอึดใจ พวกมันก็จมเข้าสู่บงกชเพลิง
มู่พ่านซานประสานนิ้วเข้าด้วยกัน ทำให้กลิ่นอายซึ่งถูกยับยั้งไว้เริ่มสั่นไหวอีกครา
ลำแสงสีขาวเคลื่อนตัวอยู่ที่ใจกลางของบงกช
บงกชเพลิงสั่นไหวอยู่กลางอากาศ ใจกลางของมันบังเกิดแสงสว่าง เพียงชั่วพริบตา ทั่วหล้าก็ตกอยู่ในความมืด
แสงสีขาวเริ่มสว่างวาบ ทำให้ปราณวิญญาณรอบข้างหายไป จนโลกตกอยู่ในความเงียบอันน่าขนลุก
แสงดังกล่าวประหนึ่งบงกชซึ่งบานสะพรั่งทีละน้อย
ฮ่วนซิงไป๋ผู้อยู่ด้านล่างสังเวยจี้หยกพิทักษ์ชีพ ก่อนที่ค่ายกลจะปกป้องเขากับจักรพรรดินีเอาไว้
เหนือห้วงอากาศ สือจิ่วพลันปรากฏขึ้นข้างกายลู่หยวนพร้อมพลังแก่กล้าที่เข้าปกคลุมรอบข้าง กลิ่นอายมารซึ่งกำลังพลุ่งพล่านถูกยันต์ปกปิดเอาไว้ จึงไม่เผยร่องรอยออกมา
สือจิ่วยังคงไม่แสดงสีหน้าขณะพยายามปกปิดพลังมารของอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ
บงกชพิโรธเพลิงสวรรค์ซึ่งอยู่กลางอากาศบานสะพรั่งอย่างเงียบงัน
ลำแสงสาดส่องก่อนจะกลืนกินพื้นที่จากทั่วทุกทิศทาง
เพียงหนึ่งอึดใจ แสงสว่างที่กระจัดกระจายพลันหยุดนิ่ง
ไม่ช้า ก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วหล้า
ตูม!
เสียงระเบิดครั้งใหญ่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งดินแดนลับ
ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงระเบิดยังคงดำเนินต่อไป แสงสีขาวแผ่ออกไปทั่วทุกสารทิศประหนึ่งคลื่นยักษ์
เพียงหนึ่งอึดใจ แสงสว่างก็กลืนกินดินแดนลับเข้าไป
ฮ่วนซิงไป๋ถ่ายเทปราณวิญญาณทั้งหมดเข้าสู่จี้หยกพิทักษ์ชีพ เพียงไม่กี่อึดใจ ค่ายกลก็ปรากฏรอยร้าวทันทีที่สัมผัสแสงสีขาว ส่วนสรรพสิ่งซึ่งอยู่รอบนอกสูญสลายไป
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป แสงสว่างจึงหายไป
ปราณวิญญาณในทะเลลมปราณของฮ่วนซิงไป๋ถูกใช้เกือบหมด ยามแสงสีขาวจางหาย เสียง ‘เปรี๊ยะ’ ดังขึ้น ก่อนที่ค่ายกลตรงหน้าซึ่งใกล้บุบสลายจะมลายหายไป
จี้หยกพิทักษ์ชีพแตกสลาย
ภายในใจของฮ่วนซิงไป๋ยังคงหวาดกลัวขณะหอบหายใจ
หากค่ายกลสูญสลายเร็วกว่านี้ เขาคงถูกแสงสีขาวกวาดล้างไปแล้ว
กลิ่นอายมารของสือจิ่วผู้อยู่กลางอากาศเลือนหายไปทีละน้อย
แม้สีหน้าของนางยังคงไม่แปรเปลี่ยน แต่เห็นได้ชัดว่าใบหน้าซึ่งขาวประหนึ่งหยกซีดเซียว ปราศจากร่องรอยของโลหิต
ส่วนลู่หยวนผู้ได้รับการปกป้องจากสือจิ่วยืนเอามือไพล่หลัง สายตาของเขาไร้ซึ่งความผันผวนขณะยกยิ้มที่มุมปาก
ชุดสีขาวไร้ฝุ่นผงเกาะราวกับพลังทำลายล้างฟ้าดินเมื่อครู่หาได้มีค่าในสายตาของเขาไม่
สือจิ่วประสานมือทำความเคารพลู่หยวน เพียงพริบตาจึงกลับเข้าหอคอยอสูรสวรรค์
สายตาของเขาจับจ้องไปทางบริเวณที่ฉู่เชิ่งอยู่
ในเวลานี้ ร่องรอยของอีกฝ่ายหายไปไหน?!
เด็กคนนั้นคงอาศัยจังหวะตอนที่ส่งบงกชพิโรธเพลิงสวรรค์ออกไป ระดมกำลังทั้งหมดในการหลบหนีออกนอกดินแดนลับ
ยามนี้ เสียงระบบได้ดังขึ้นในใจของลู่หยวน
[ระบบแจ้งเตือน ฉู่เชิ่งผู้เป็นบุตรแห่งโชคชะตากำลังถึงแก่ความตาย! หากเขาสิ้นชีพ ท่านจะไม่สามารถยึดแต้มชะตามาจากอีกฝ่ายได้!]
ลู่หยวนถอนสายตา พลางครุ่นคิดเกี่ยวกับวิชาเพลิงสวรรค์ผลาญภพอยู่ในใจ
ขนาดหลอมรวมเปลวเพลิงเข้าด้วยกันเพียงสองดวงยังมีพลังมากถึงเพียงนี้
หากเปลวเพลิงทั้งหมดในรายชื่อเพลิงวิญญาณถูกนำมาหลอมรวม เช่นนั้นแผ่นดินหยวนหงอาจถูกทำลายสิ้น!
หากจักรพรรดิเพลิงจะใช้วิชาเพลิงสวรรค์ผลาญภพ เพื่อข้ามผ่านห้วงอากาศแล้วปลิดชีพเซียนสามคน ก่อนจะทะลวงขั้นสู่เทพเซียนคงไม่ใช่เรื่องแปลก
“วิชาเพลิงสวรรค์ผลาญภพ”
ลู่หยวนคลี่ยิ้มพลางกางฝ่ามือ ทำให้ค่ายกลหมุนวนไปมา ก่อนแสงสีขาวจะปรากฏแล้วชี้ไปยังสถานที่หนึ่ง
แสงดังกล่าวชี้ไปยังบริเวณที่ฉู่เชิ่งอยู่!
เหอะ! เคล็ดวิชาอัคคีนี้จะต้องเป็นของข้าในไม่ช้า!
ลู่หยวนลดฝ่ามือลง ก่อนจะมองไปทางมู่พ่านซาน
ยามนี้อีกฝ่ายสูญเสียอำนาจในอดีตไป ใบหน้าจึงซีดเซียว ทั่วทั้งร่างปรากฏบาดแผลหลายแห่งจนอาภรณ์เต็มไปด้วยคราบโลหิต ก่อนจะกระอักโลหิตออกมาเป็นจำนวนมาก
ลู่หยวนเห็นเช่นนั้น คิ้วจึงขมวดเข้าหากัน
แม้มู่พ่านซานจะอยู่กลางแรงระเบิดของบงกชพิโรธเพลิงสวรรค์ แต่เขาก็ต้านทานพลังส่วนใหญ่เอาไว้ได้
ถึงอย่างไร ขั้นพลังของฉู่เชิ่งกับมู่พ่านซานก็แตกต่างกันเกินไป ต่อให้เขาใช้บงกชก็ทำร้ายอีกฝ่ายได้ไม่มาก
มันไม่ควรเป็นเช่นนี้!
ไม่นานนัก จักรพรรดินีก็ฝืนกระตุ้นปราณวิญญาณจนมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายมู่พ่านซานในพริบตา พร้อมใช้นิ้วเรียวสัมผัสร่างของอีกฝ่ายสองสามครั้ง
นิ้วของนางชี้ไปยังบริเวณหว่างคิ้ว ก่อนเครื่องหมายสีแดงแปลกประหลาดจะส่องแสงออกมา
ผ่านไปหลายอึดใจ เศษเสี้ยวเพลิงสวรรค์ก็ปรากฏบนหน้าผาก
ยามเปลวเพลิงถูกดึงออกมา มู่พ่านซานก็กระอักโลหิตอย่างรุนแรง สีหน้าจึงดูดีขึ้นเล็กน้อย
เขาโค้งทำความเคารพ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
จักรพรรดินีส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ยังเหลือเศษเสี้ยวเพลิงสวรรค์อยู่ในร่างของเจ้าหรือไม่?”
“ไม่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของมู่พ่านซานอ่อนแรง ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง “ฝ่าบาท หลังจากวันนี้ไป กระหม่อมขอเก็บตัวสักพัก”
จักรพรรดินีย่อมทราบว่าคนของตระกูลมู่ต่างหวาดกลัวเพลิงสวรรค์
บงกชพิโรธเพลิงสวรรค์ได้ปลดปล่อยร่องรอยของเพลิงดังกล่าวเข้าสู่ร่างของอีกฝ่ายในยามนี้ ทำให้กลิ่นอายในร่างกายปั่นป่วน
ปราณวิญญาณในทะเลลมปราณยิ่งแปรปรวน ปราณกระบี่และเจตจำนงกระบี่ต่างพังทลายในหนึ่งอึดใจ
บาดแผลที่มู่พ่านซานได้รับในวันนี้อาจทำลายถึงรากเหง้า!
จักรพรรดินีตอบรับ “ไม่ว่าเจ้าต้องการสมุนไพรวิญญาณหรือโอสถใดหลังจากนี้ เชิญใช้ได้ตามสบาย”
“ขอบพระทัย ฝ่าบาท”
มู่พ่านซานทำความเคารพ ก่อนจะรวบรวมปราณเพื่อควบคุมความปั่นป่วนภายในร่างอย่างยากลำบาก
“ฝ่าบาท ภารกิจเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือตามหาลู่หยวนพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินีพยักหน้า
พวกเขาเข้ามาในดินแดนลับเพื่อรับโลหิตมังกรเจินหลงของลู่หยวน พร้อมกับสังเวยสายเลือดอำนาจมังกรส่วนหนึ่งเพื่อชดเชยเพลิงสวรรค์ที่จักรพรรดินีสูญเสียไป!
แต่จากการต่อสู้ระหว่างมู่พ่านซานและฉู่เชิ่ง ทำให้ทุกสิ่งในดินแดนลับถูกกวาดล้าง
แท่นบูชาในดินแดนเก้าวิหคเพลิงหายไป
“แค่ก! แค่ก! แค่ก!”
เมื่อมู่พ่านซานสังเกตเห็นเช่นนั้นก็ไอออกมา “ฝ่าบาทไม่ต้องห่วง ขอเพียงพบลู่หยวน เรื่องแท่นบูชาย่อมไม่ใช่ปัญหา”
“ดี”
จักรพรรดินีพยักหน้าแล้วยกมือขึ้น ก่อนอาวุธวิเศษรูปทรงเข็มทิศจะปรากฏขึ้น
นางสัมผัสบริเวณใจกลางเข็มทิศด้วยปลายนิ้ว ทำให้แสงสว่างสั่นไหว
เข็มบนอาวุธวิเศษเกิดการสั่นไหว เพียงอึดใจก็ชี้ไปด้านหน้าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทั้งสองคน
จักรพรรดินีกับมู่พ่านซานตกตะลึง หากตัดสินจากอาวุธวิเศษตามรอยชิ้นนี้ หมายความว่าลู่หยวนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา!
แต่ในดินแดนลับแห่งนี้ นอกจากมู่พ่านซาน จักรพรรดินี และฮ่วนซิงไป๋ก็มีเพียงความว่างเปล่า แล้วร่องรอยของอีกฝ่ายอยู่ที่ใด?!