ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 287 ผนึกทะลวงสวรรค์
บทที่ 287 ผนึกทะลวงสวรรค์
บทที่ 287 ผนึกทะลวงสวรรค์
เมื่อสิ้นเสียงตะโกนของลู่หยวน ฟ้าดินก็สั่นสะเทือน
อักขระทั้งหลายซึ่งเป็นของผนึกราชันความมืดที่ถูกสลักอยู่ก็เริ่มส่องแสง
แสงสีทองวูบไหวและเกิดความผันผวนบนอักขระซึ่งอยู่ใจกลางผนึก
เสียงคำรามของมังกรดังขึ้นจากใจกลางแสงสว่าง หอกยาว ซึ่งมีมังกรพันอยู่บนด้ามหอกทะลวงผ่านอากาศ ทำให้ปราณวิญญาณรอบข้างเกิดความผันผวน
หอกยาวตั้งตระหง่านบนท้องฟ้า ขณะที่ปลายหอกส่องแสงจ้า ชี้ไปทางอูโจ้ว
อีกฝ่ายที่ยืนอยู่ห่างออกไป สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจขณะที่มองมาที่พื้น
เพียงไม่กี่อึดใจ ก็มีเส้นนับไม่ถ้วนปรากฏบนพื้น คำสาปซึ่งเดิมเป็นของผนึกราชันความมืดถูกคัดลอกก่อนจะแปรเปลี่ยน ทำให้สรรพสิ่งกลายเป็นอักขระที่แตกต่างกัน
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคืออักขระเหล่านี้เป็นสิ่งที่อูโจ้วไม่เคยเห็นมาก่อน!
แม้แต่เขาก็อาจจะคลายผนึกที่เกิดจากอักขระนี้ไม่ได้!
สายตาของเขาจริงจังขึ้นและกำลังจะลงมือ แต่ก็พบว่าอักขระทั้งหลายซึ่งอยู่ข้างใต้พลันหมองหม่น ทำให้พวกมันที่กำลังพังทลายกลับสู่ใจกลางผนึก
อูโจ้วตกตะลึง จากนั้นพลันยิ้มกว้าง “เหอะ… ยังมีคนใช้เคล็ดผนึกกฎเกณฑ์ได้อีกหรือ?!”
“ลู่หยวน ไม่ว่าเจ้าจะเรียนรู้เคล็ดเมื่อครู่มาจากไหน แต่เจ้าก็มีพลังไม่พอจะค้ำจุนมัน ต่อให้มีเคล็ดจักรพรรดิเซียนก็ใช้มันไม่ได้หรอก!”
อูโจ้วร่ายผนึกอย่างรวดเร็ว ทางด้านหลังของเขามีหมู่เมฆสีม่วงเคลื่อนตัวอยู่ในท้องนภา ก่อนจะบดบังรอบข้างจนมืดมิดประหนึ่งน้ำหมึก
ขณะที่ขยับมือไปมา เมฆาด้านหลังยังคงแปรเปลี่ยน ก่อนที่อักขระจะปรากฏขึ้นอีกครา
กลุ่มเมฆกระจายตัวระหว่างอักขระเหล่านั้น ประหนึ่งปีศาจจากขุมนรกที่กำลังดิ้นรน ราวกับกำลังจะทะลวงหมู่เมฆออกมาเพื่อกลืนกินทุกสิ่ง
ทันใดนั้น!!!
ชายหนุ่มสวมชุดสีชาดขลิบดำก็เดินออกมาจากร่องลึกบนพื้นดิน
ฝีก้าวของเขามั่นคงขณะเหยียบย่างบนอากาศ โดยมุ่งหน้าเข้าหาหอกพันมังกรเก้าสวรรค์บนท้องนภา
เป็นลู่หยวน!
พลังมังกรปกคลุมทั่วร่าง ขณะที่หมอกสีแดงโคจรอยู่ใต้เท้าของเขาราวกับกำลังสักการะราชัน!
สิ่งที่ชวนสะดุดตาก็คือลำแสงสีทองที่ลอยอยู่ตรงปลายนิ้วของลู่หยวน มันเต็มไปด้วยพลังอันมหาศาล!
ลู่หยวนยืนอยู่ข้างหอกพันมังกรเก้าสวรรค์ ขณะที่เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางเกียจคร้าน
อูโจ้วขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย
เจ้าเด็กคนนี้ทำได้อย่างไร?!
เมื่อครู่ลู่หยวนยังมีจิตวิญญาณการต่อสู้ แต่บัดนี้กลับหายไปไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว!
สีหน้าเฉยชาของอีกฝ่ายกำลังจ้องมองอูโจ้วประหนึ่งมองมดตัวหนึ่ง!
ทันทีที่พลังของเขาหายไป หมู่เมฆซึ่งอยู่ด้านหลังก็สั่นไหว เส้นสีม่วงไขว้ไปมาจากทุกทิศทาง ก่อนที่ผนึกกฎเกณฑ์จะปรากฏขึ้น เคล็ดอักขระคำสาปอันแปลกประหลาดได้ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ในขณะที่แสงสีม่วงผสานเข้ากับพลังสีเขียวและสีดำ
อูโจ้วออกแรงผลักด้วยสองมือ ก่อนที่ผนึกในท้องนภาจะขยับตาม เพียงชั่วพริบตา ก็เคลื่อนมาอยู่บนศีรษะของลู่หยวน ผนึกที่เกิดจากหมู่เมฆสีม่วงยังคงมีพลังกลืนกิน
“ลู่หยวน ชื่อของผนึกนี้ก็คือทะลวงสวรรค์!”
เสียงของอูโจ้วก้องไปทั่วทุกสารทิศ จักรพรรดินีที่ซ่อนอยู่หลังโล่เผยสายตาแปลกประหลาดหลังจากได้ยิน
ผนึกทะลวงสวรรค์นับเป็นผนึกอันดับหนึ่งในแผ่นดินหยวนหง!
มีข่าวลือว่าหากร่ายผนึกสำเร็จ ก็จะทะยานเมฆาจนทะลวงไปถึงสวรรค์ได้!
ดวงตาของจักรพรรดินีจับจ้องบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่
ตอนที่บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ปลดปล่อย ‘ผนึกวิถีคุณธรรม’ เมื่อครู่ แม้กระทั่งนางก็ยังแทบหยุดหายใจ
แม้นางจะทราบอยู่แล้วว่า ผนึกวิถีคุณธรรมหายไปพร้อมกับเจ้าแห่งวิถีคุณธรรม จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่มันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งในโลก!
แต่ก่อนหน้านี้ลู่หยวนก็สร้างความประหลาดใจไว้มากมาย!
สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้อื่นคือสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับเขา
จักรพรรดินีพลันรู้สึกว่า เมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ตะโกนว่า ‘ผนึกวิถีคุณธรรม’ มันจะปรากฏขึ้นจริง ๆ!
แต่คาดไม่ถึงว่าวี่แววของผนึกกฎเกณฑ์อันทรงพลังจะปรากฏเพียงชั่วครู่ก่อนจะหายไป
ผนึกวิถีคุณธรรมล้มเหลวไปแล้ว ส่วนผนึกทะลวงสวรรค์กำลังเคลื่อนลงมา บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่กำลังจะแพ้พ่าย!
หากเป็นเมื่อก่อน จักรพรรดินีอาจจะมั่นใจว่าเขาต้องตายแน่นอน แต่วันนี้นางกลับลังเล แม้ไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะต้องหาทางหยุดยั้งอูโจ้วได้!
สองมือของอูโจ้วกดลงมาบนอากาศ ทำให้ผนึกทะลวงสวรรค์ตัดผ่านท้องนภาไปกว่าครึ่งเคลื่อนลงมาอย่างรวดเร็ว หมายจะกดทับร่างตรงหน้า
ชั้นแรงกดดันบังเกิดขึ้นก่อนจะเคลื่อนลงมากดทับลู่หยวน ทำให้พื้นถูกผนึกกดลึกลงไปมากขึ้น
อากาศรอบกายของลู่หยวนเริ่มพร่าเลือน แม้กระทั่งหอกพันมังกรเก้าสวรรค์ก็เริ่มโค้งงอ
แต่ลู่หยวนยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางนภาด้วยแผ่นหลังที่เหยียดตรง เขากระตุ้นพลังมังกรกับเนตรเทวะ พวกมันยังคงสำแดงพลังอย่างไม่ลดละขณะที่ต้านทานแรงกดดัน
ผนึกขนาดใหญ่กดทับลงมาโดยมีหมู่เมฆสีม่วงเคลื่อนตาม หากมองจากระยะไกล เหมือนกับฟ้าดินถูกปิดกั้นราววันสิ้นโลกได้มาถึง!
ลู่หยวนชำเลืองมอง สองนิ้วที่มือขวาประสานกันก่อนจะวาดแขนขึ้น
จุดแสงสีทองซึ่งเต็มไปด้วยพลังมหาศาลปรากฏบนนิ้ว
อูโจ้วกับจักรพรรดินีต่างตกตะลึงเมื่อเห็นเช่นนั้น
ลู่หยวนผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือ?!
ดูจากการตั้งท่าแล้ว เขาต้องการจะใช้สองนิ้วรับผนึกทะลวงสวรรค์ใช่หรือไม่?!
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือผนึกทะลวงสวรรค์ ซึ่งเป็นผนึกอันดับหนึ่งในแผ่นดินหยวนหงเชียวนะ!
ต่อให้วันนี้จักรพรรดินีจะไปยืนแทนที่ลู่หยวน นางก็อาจจะต้องใช้อาวุธวิเศษช่วยชีวิตสามถึงสี่ชิ้น จึงจะไม่เป็นอันตรายแก่ชีวิต!
แต่ลู่หยวนกลับไม่สังเวยสิ่งใดเพื่อช่วยชีวิต แต่ถึงกับพยายามจะรับผนึกทะลวงสวรรค์ด้วยสองนิ้ว!
เขาคิดว่าตัวเองเป็นร่างจักรพรรดิเซียนหรืออย่างไร!
เจ้าจะรับการโจมตีทั้งหมดได้จริงหรือ?!
อูโจ้วกลับมามีสติ จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้มหยัน แล้วหันหลังด้วยความมั่นใจ
ชีวิตของลู่หยวนจะต้องจบสิ้นในวันนี้!
เขาอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์ เช่นนั้นสู้กลับไปค่ายกลปรภพก่อนไม่ดีกว่าหรือ…
อูโจ้วเดินเข้าหาร่างของคุนเผิงที่คุกเข่าอยู่ไกลออกไป เขาเดินไปเพียงสองก้าวก็รับรู้ถึงพลังอันแก่กล้าทางด้านหลัง
คลื่นพลังที่รุนแรงกระจายตัวอย่างบ้าคลั่ง เขาทราบทันทีว่ามันคือพลังของผนึกทะลวงสวรรค์!
เมื่อกำลังจะยกเท้า เขาก็ตกตะลึง
เขาคาดไม่ถึงว่าพลังที่กำลังจะสำแดงถูกตีกลับ ทำให้ปราณวิญญาณรอบข้างเคลื่อนไปมาอย่างมิอาจระงับ
อูโจ้วขมวดคิ้ว ได้มีแสงสีทองปรากฏเหนือท้องนภาในตอนนี้ ทำให้หมู่เมฆสีม่วงเหนือฟ้าดินหายไปในพริบตา ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเมฆาสีขาว
สรรพสิ่งในพื้นที่กลับมาเด่นชัด!
พลังที่ไม่เคยมีมาก่อนปรากฏขึ้นเหนือเมฆสีขาว
อูโจ้วสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายดังกล่าวช่างคุ้นเคย เมื่อเงยหน้ามองก็พบกับร่างหนึ่งกำลังวูบไหวผ่านหมู่เมฆในท้องนภา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
ร่างนั้นกลับมาปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง!
อูโจ้วรีบหันกลับไป พลันพบกับลู่หยวนผู้ยังยกมือขึ้น โดยมีแสงสีขาวเปล่งอยู่ที่ปลายนิ้ว แต่กลับไร้ร่องรอยของผนึกทะลวงสวรรค์ที่ปกคลุมท้องนภา
เขาไม่สนใจอีกต่อไป สายตายังคงจับจ้องอีกฝ่าย ขณะเอ่ยอย่างเนิบช้า
“กลิ่นอายนี้… เจ้าแห่งวิถีคุณธรรมหรือ?!”