ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 292 เพลิงวิญญาณลำดับสามสิบหก เพลิงเร้นลับ!
บทที่ 292 เพลิงวิญญาณลำดับสามสิบหก เพลิงเร้นลับ!
บทที่ 292 เพลิงวิญญาณลำดับสามสิบหก เพลิงเร้นลับ!
“เจ้าพูดอะไร?!”
ใบหน้าที่เคร่งขรึมของชิวเฟิงจู้ในตอนนี้ดูซีดขาว พลังรอบตัวพลันพุ่งสูง
ดาบยาวที่ห้อยอยู่ข้างตัวเริ่มสั่นสะท้าน พลังแห่งวิถีคุณธรรมผสานกับจิตสังหารที่ไม่อาจมองข้ามได้
สมาชิกหลายคนของตระกูลชิวที่ยืนอยู่ตรงข้ามต่างพากันหดคอ โคจรพลังป้องกันตัวเองเงียบ ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไป
มีหนึ่งหรือสองคนที่มีฐานพลังฝึกฝนต่ำซ่อนยันต์รักษาชีวิตไว้ในแขนเสื้อหนึ่งหรือสองแผ่น
ท่านป้าชิวเฟิงจู้มีชื่อเสียงด้านความโหดร้าย แม้ปกติดูจะไม่มีอะไร แต่ถ้านางโกรธขึ้นมาจริง ๆ ทุกคนก็เสียชีวิตได้ในทันที!
เมื่อเห็นชิวเฟิงจู้ที่เต็มไปด้วยความโกรธ ชิวหลิงที่รีบวิ่งมาก็รู้สึกหนักอึ้งในจิตใจ แต่นางยังคงกัดฟันพูดว่า “ท่านป้า ฉู่เชิ่งหนีไปแล้ว! และ…”
เส้นเลือดบนหน้าผากของชิวเฟิงจู้ปูดขึ้น เสียงของนางทุ้มต่ำน่ากลัว “และอะไรอีก พูดมา!”
“และยังตีสมาชิกตระกูลชิวสลบไปสองสามคน พร้อมขโมยทรัพยากรทั้งหมดไป!”
กึก!
เก้าอี้ที่ชิวเฟิงจู้นั่งแตกเป็นเสี่ยง ๆ กลายเป็นผุยผงทันที
ชิวเฟิงจู้นั่งอยู่กลางอากาศ พลังรอบกายลอยกวาดทุกสิ่งรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง
ที่หน้าผากของชิวเฟิงจู้ ลายเส้นแนวตั้งทองคำขาวค่อย ๆ ปรากฏขึ้น แรงกดดันของวิถีธรรมพลันก่อตัวขึ้น
สมาชิกทุกคนในตระกูลชิวที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
สายตาของชิวเฟิงจู้กวาดมองทุกคนที่อยู่ตรงนั้น แรงกดดันพลันพุ่งออกมา
ตึง!
ทุกคนคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกันในทันที พื้นเกิดรอยร้าว ในขณะที่บนไหล่ของหลายคนมีพลังแห่งวิถีคุณธรรมกดลงมาเสมือนภูเขาที่บดขยี้พวกเขาอย่างหนักหน่วง
“เสวียนเทียนชวนหายไป ฉู่เชิ่งก็หนีไปด้วย?!”
“นี่พวกเจ้าทำงานกันอย่างไร!”
ขณะที่ชิวเฟิงจู้พูด หน้าอกยังคงกระเพื่อมขึ้นลง จิตสังหารแผ่ออกมา
“หึ…ถ้าคุณชายใหญ่ทราบเรื่องนี้ พวกเจ้าลองทายดูซิว่าตัวเองจะตายอย่างไร!”
สายตาของชิวเฟิงจู้กวาดมองทุกคนราวกับคมดาบ “พูดสิ ไม่มีใครพูดสักคน แสร้งทำเป็นใบ้หรือไง?!”
หลายคนบ่นในใจ พวกเขาถูกแรงกดดันนี้กดไว้จนพูดไม่ออกต่างหาก!
เมื่อมองไปยังคนไร้ประโยชน์กลุ่มนี้ ชิวเฟิงจู้ก็โกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากอารมณ์แปรปรวนหลายครั้ง จึงได้บังคับให้ความโกรธในใจสงบลง
ตอนนี้นางไม่ได้อยู่ที่จวนตระกูลชิว เรื่องทางฝั่งนี้ยังคงต้องการคนไว้ใช้งาน ถ้าฆ่าคนเหล่านี้ ตัวเองก็ไม่มีใครให้เรียกใช้
หากตระกูลชิวส่งคนอื่นมา อาจไม่ได้ใช้การง่ายเช่นคนเหล่านี้
ถึงอย่างไร ภารกิจของนางในครั้งนี้ก็ไม่ใช่แค่ทำให้ชิวชิงหลีตกต่ำเท่านั้น!
หลังจากสูดหายใจเข้าลึก ๆ ชิวเฟิงจู้ก็ขจัดพลังวิถีคุณธรรมอันกดดันออกไป
หลายคนที่คุกเข่าอยู่ก็ถอนหายใจ
“ยืนขึ้น”
ชิวเฟิงจู้กล่าวเสียงเย็น
หลายคนลุกขึ้นตามคำสั่ง อิฐบนพื้นกลายเป็นฝุ่นผงไปนานแล้ว
ยังมีหลายคนที่หวาดกลัวจริง ๆ เมื่อลุกขึ้น ขาของพวกเขายังคงสั่นเทา มือที่ถือยันต์ช่วยชีวิตก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ชิวเฟิงจู้ยกมือก่ายหน้าผาก อดกลั้นและบังคับตัวเองให้สงบลง
“เกิดอะไรขึ้นกับเสวียนเทียนชวนกันแน่?”
ผู้รับผิดชอบในการไปรับเสวียนเทียนชวนกลืนน้ำลาย เขาก้าวไปข้างหน้า ปรับลมหายใจเล็กน้อยและเอ่ยว่า “กล่าวต่อท่านป้า ตอนที่เราไปที่ฉวนจง เราเห็นเสวียนเทียนชวน แต่เมื่อกำลังจะเคลื่อนไหว ในขณะนั้นเสวียนเทียนชวนก็ถูกพัดพาด้วยพลังที่ผิดปกติรอบตัวเขา และพวกเรา…ไร้หนทางที่จะติดตามมันได้…”
ชิวเฟิงจู้กัดฟัน “เจ้าสัมผัสถึงต้นกำเนิดของพลังนี้ไม่ได้รึ?”
ชายคนนั้นส่ายหัว “ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย…”
ชิวเฟิงจู้เงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกเพียงว่าปวดหัว
ในบรรดาคนรอบตัวลู่หยวน มีเพียงเสวียนเทียนชวนที่จับตัวได้ง่ายที่สุด!
ฉินอี่หานกับไป๋ชิวเอ๋อร์ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ของเฉิงไท่ในตอนนี้ และกำลังปิดด่านฝึกฝนอยู่ที่ยอดเขาของเฉิงไท่
หากต้องการหลีกเลี่ยงเฉิงไท่เพื่อจับตัวฉินอี่หานหรือไป๋ชิวเอ๋อร์นั้นยากกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก!
และเซียวเทียนได้รับการยอมรับจากสำนักกระบี่ให้เป็นทายาทสายตรง ปกติจะอาศัยอยู่ในลานด้านในของสำนักกระบี่
นางสืบได้ความมาว่า สำนักกระบี่พาเซียวเทียนเข้าไปแสวงหาโชคชะตาที่สุสานกระบี่บนยอดเขาเฟิง และเขาคงไม่ได้ออกมาภายในไม่กี่เดือนนี้!
ยิ่งไม่มีทางลงมือ!
ชิวเฟิงจู้เดินช้า ๆ พลางคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป
หลังจากไม่กี่อึดใจ ชิวเฟิงจู้ก็หยุดฝีเท้า มีเพียงชื่อที่ฉู่เชิ่งกล่าวถึงในตอนนั้นที่ยังคงติดอยู่ในสมอง จึงเอ่ยคำพูดออกมาเบา ๆ ว่า “ฮ่วนซิงไป๋…”
คนที่เหลือเข้าใจว่าชิวเฟิงจู้หมายถึงอะไร แต่พวกเขาต่างลังเล
ฮ่วนซิงไป๋ผู้นี้คือคนระดับใด?!
เขาคือราชบุตรเขยของราชวงศ์ฉวนจง!
ไปจับฮ่วนซิงไป๋ตอนนี้ ก็เท่ากับลงมือใต้จมูกราชวงศ์มิใช่หรือ!
หากล้มเหลว วังจักรพรรดิแดนมัชฌิมและเผ่าฮ่วนจะโจมตีพร้อมกัน ถึงตอนนั้น พวกเขาจะยังมีทางรอดหรือไม่?!
หลายคนคิดหาทางถอนตัว
“ท่านป้าเฟิงจู้ แต่องค์ชายฮ่วนไม่ใช่ผู้ที่เราจะลงมือได้นะขอรับ! ที่นี่ไม่ใช่ตระกูลชิว แต่เป็นฉวนจง… ถ้าเราเคลื่อนไหว ข้าเกรงว่าทั้งตระกูลชิวจะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย…”
ชิวเฟิงจู้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางหรี่ตาลง และตัดสินใจว่า “ข้ารู้แล้ว! ข้าบอกตอนไหนกันว่าจะลงมือกับองค์ชายฮ่วน”
“ท่านป้าหมายความว่าอย่างไร?”
ชิวเฟิงจู้ชี้ไปที่ศิษย์ของตระกูลชิว และโยนป้ายคำสั่งให้เขา “เจ้าใช้ป้ายนี้ไปหาองค์ชายฮ่วน บอกว่าข้าชิวเฟิงจู้มีดาบขั้นจักรพรรดินามว่ามังกรทะยาน เชิญองค์ชายมาชม!”
คนผู้นั้นกำแผ่นป้าย พร้อมยกมือขึ้นแสดงความเคารพ และจากไปทันที
เรื่องหนึ่งจัดการได้แล้ว ยังมีเรื่องของฉู่เชิ่งที่ต้องแก้ไข
ชิวเฟิงจู้ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมฉู่เชิ่งถึงได้หนีไป!
ทั้ง ๆ ที่การอยู่กับพวกเขาที่นี่ คือทางเลือกที่ดีที่สุด!
ไม่ต้องพูดถึงทรัพยากรที่มีให้ใช้ หากชิวชิงหลีตกต่ำลง เขายังเข้าไปหาเพลิงวิญญาณที่แดนลับได้!
ชิวเฟิงจู้มองไปที่ชิวหลิง “เจ้าพูดอะไรไป หรือเขาจับสังเกตอะไรได้?!”
ชิวหลิงส่ายหัวทันที “ท่านป้า ข้ารับใช้เขาอย่างสุดความสามารถทุกวันเหมือนเคย! ไม่ได้เปิดเผยอะไร! คนอื่นก็ไม่เคยพูดอะไรกับเขาเช่นกัน!”
“แล้วทำไมจู่ ๆ เขาถึงหนีไป?! ไม่กี่วันมานี้เขามีพฤติกรรมแปลก ๆ หรือไม่?!”
ชิวหลิงคิดอย่างถี่ถ้วน และทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างได้ “ใช่! เมื่อสองสามวันก่อน พวกเราสองสามคนกำลังคุยกันที่ลานบ้าน เราคุยกันถึงปรากฏการณ์ประหลาดที่อยู่ไม่ไกล ที่ดูเหมือนจะมีสมบัติปรากฏออกมา!”
“แต่หลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าของฉู่เชิ่งก็ดูเคร่งขรึม จากนั้นเขาก็ต้องการจะออกจากลานบ้าน แต่ข้าหยุดเขาไว้ได้หลายครั้ง”
“หลังจากนั้น เขาก็ไม่มีท่าทีว่าต้องการจะจากไป ข้าคิดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะจากไปจริง ๆ ดังนั้นจึงลดความระวังลง”
ชิวเฟิงจู้ขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้าตรวจสอบปรากฏการณ์นั้นหรือไม่”
อีกคนยกมือขึ้นและตอบว่า “เพิ่งตรวจสอบวันนี้ มีเพลิงวิญญาณอีกดวงหนึ่งถือกำเนิดขึ้นขอรับ!”
“ตามข้อมูลที่เราพบ เพลิงวิญญาณนี้น่าจะเป็นเพลิงเร้นลับอันดับที่สามสิบหกในตารางเพลิงวิญญาณ!”