ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 294 ม่านกำบังดินแดนลับ
บทที่ 294 ม่านกำบังดินแดนลับ
บทที่ 294 ม่านกำบังดินแดนลับ
“กุ่ยซู่?”
ชิวชิงหลีขมวดคิ้วและครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยได้ยินนามนี้มาก่อน
กุ่ยซู่ชำเลืองมองชิวชิงหลี จากนั้นหมุนกาย เอื้อมมือเล็ก ๆ ออกไป ทันใดนั้นลมก็ฉีกอากาศเป็นรอยแยกอันมืดมิดในชั่วพริบตา
ชิวชิงหลีตกตะลึง พลังในการสร้างรอยแยกอากาศในชั่วพริบตานั้นไม่ใช่สิ่งที่ระดับพลังยุทธ์ทั่วไปจะทำได้!
แม้แต่ผู้ที่อยู่ขั้นจ้าวยุทธ์ยังต้องรู้แจ้งในโชคชะตาก่อนที่พวกเขาจะฉีกมุมหนึ่งของความว่างเปล่า ก่อเป็นรอยแยกเล็ก ๆ และเคลื่อนย้ายตัวเอง
ทว่ารอยแยกดำมืดที่อยู่ตรงหน้ากว้างพอที่คนสามหรือสี่คนผ่านเข้าไปพร้อมกันได้!
หรือว่ากุ่ยซู่ได้ก้าวผ่านขั้นจ้าวยุทธ์เข้าสู่ขั้นอมตยุทธ์แล้ว?!
ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้บ่มเพาะขั้นอมตยุทธ์บนแผ่นดินใหญ่ แค่ตระกูลชิวก็มีอยู่หลายคน
แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นอมตยุทธ์จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งคือ พวกเขาส่วนใหญ่จะซ่อนตัวและค้นหาวิธีฝ่าขอบเขต เพื่อเข้าสู่ขั้นเทียมเซียนด้วยตัวเอง และจะไม่ปรากฏตัวง่ายๆ!
นอกจากนี้ ยังมีกฎที่ไม่ได้ระบุไว้ในแผ่นดินหยวนหง ผู้บ่มเพาะขั้นอมตยุทธ์จะไม่ปรากฏตัวในโลกมนุษย์ ไม่ว่าการต่อสู้จะรุนแรงเพียงใด ก็ถือเป็นการทะเลาะวิวาทระหว่างชนรุ่นหลังเท่านั้น
แต่เมื่อมีขั้นอมตยุทธ์ปรากฏกาย เช่นนั้นหากไม่ตายก็ไม่เลิกรา!
ชิวชิงหลียกมือคารวะกุ่ยซู่อย่างเคร่งขรึม “ผู้น้อยขอคารวะผู้อาวุโสกุ่ยซู่ ขอบังอาจถาม ผู้อาวุโสมาหาผู้น้อยมีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือเจ้าคะ?”
หลังจากชิวชิงหลีถาม ในใจก็คิดถึงชื่อที่กุ่ยซู่กล่าวถึงตอนที่ปรากฏตัว
ผู้ใต้บังคับบัญชาของบุตรศักดิ์สิทธิ์?!
บุตรศักดิ์สิทธิ์คนใดกัน?!
แวบแรกที่ชิวชิงหลีคิดคือบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ แต่หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ปฏิเสธความคิดนั้น
นางเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ดี แต่ว่าจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นหรือไม่ ชิวชิงหลีก็ไม่แน่ใจ
กุ่ยซู่ชำเลืองมองไปด้านข้าง “ข้ามารับเจ้าตามคำสั่งของบุตรศักดิ์สิทธิ์ เจ้าแค่ตามมาก็พอ”
ชิวชิงหลีตกตะลึง “ขอบังอาจถามผู้อาวุโส บุตรศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวถึงคือ?”
“ย่อมเป็นลู่หยวนจากแดนเหนือ!”
…
ณ สถานที่ในดินแดนลับ
แม้แขนทั้งสองข้างของอูโจ้วจะหัก ใบหน้าก็ไม่แสดงความเจ็บปวดใด ๆ กลับทำตัวราวสุนัขรับใช้ที่นำทางให้แก่ลู่หยวนและจักรพรรดินี
กระทั่งพันผ้าพันแผลให้ตัวเองไปด้วยขณะเดิน
“นายท่าน มีเผ่าอื่นในดินแดนลับนี้อยู่ข้างหน้า แต่ที่นี่ไม่มีอะไร พวกเราเดินตรงไปยังใจกลางเลยดีไหมขอรับ?”
อูโจ้วเดินไปพลางแนะนำไปด้วย ลู่หยวนเพียงกวาดตามองไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็เดินไปอย่างสบายอารมณ์
จักรพรรดินีมึนงงเล็กน้อย อูโจ้วนั้นเปลี่ยนแปลงท่าทีรวดเร็วเกินไป
ก่อนหน้านี้ยังดูเหมือนยอดคนเหนือโลกที่ไม่ยอมศิโรราบ ตอนนี้กลับเป็นสุนัขรับใช้จนผู้คนตั้งตัวไม่ทัน
อูโจ้วนำลู่หยวนไปยังพื้นที่ใจกลาง และระหว่างทางก็ไม่มีของดีเลยจริงๆ
ซากปรักหักพังของชนเผ่ามีมรดกไม่กี่อย่างเหลืออยู่ตามที่อูโจ้วกล่าว สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่อยู่ในสายตาของลู่หยวน
คนทั้งสามจึงตรงไปยังพื้นที่ใจกลาง
ไม่นานทั้งสามคนก็มาถึงคูน้ำแห่งหนึ่ง
คูน้ำนั้นตัดผ่านแผ่นดินเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ ราวกับเซียนที่ถือกระบี่ฟาดฟันปฐพีและแบ่งโลกทั้งใบด้วยความโกรธ
ลู่หยวนกวาดสายตาไป เห็นว่าแผ่นดินถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน ระยะห่างระหว่างสองฝั่งนับหลายสิบลี้
ม่านแสงปรากฏขึ้นมาจากคูน้ำปกคลุมพื้นที่แกนกลาง
ลู่หยวนเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว หยุดยืนมองลงไปตรงริมคูน้ำ สิ่งแรกที่เขารู้สึกคือไอร้อน
ใต้คูน้ำนั้นมีหินหนืดลอยอยู่และมีม่านกำบังก่อตัวขึ้นบนหินหนืด ซึ่งห่อหุ้มบริเวณแกนกลางไว้
ลู่หยวนหยิบอาวุธระดับจักรพรรดิออกมา รวบรวมพลังไว้ในมือ ปราณวิญญาณโคจรบนอาวุธระดับจักรพรรดิ
ทันใดนั้น ลู่หยวนก็ขยับมือ อาวุธระดับจักรพรรดิก็บินออกไป โดยมุ่งไปยังพื้นที่แกนกลาง
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
อาวุธกระแทกกันอย่างรุนแรง พลันบดขยี้สิ่งกีดขวางภายในรัศมีหนึ่งร้อยหมี่
หึ่ง!
อากาศสั่นสะเทือน อาวุธระดับจักรพรรดิดูจะถูกขัดขวางด้วยพลังบางอย่าง ความเร็วจึงเริ่มช้าลงและสั่นเทาอยู่ในอากาศจนขยับไปข้างหน้าไม่ได้
ลู่หยวนชี้ปลายนิ้วขึ้น อาวุธดูจะได้รับพลัง มันถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองและพุ่งไปอีกครั้ง กระบี่ทะลวงม่านกำบังทีละชั้น
อาวุธที่ทรงพลังทิ่มแทงอย่างรุนแรง พุ่งขึ้นไปเหนือม่านกำบัง
หึ่ง!
เหนือม่านกำบัง จู่ ๆ ลำแสงก็สว่างวาบด้วยแรงกดดันมหาศาล บดขยี้อาวุธระดับจักรพรรดิ
ด้วยการตรวจสอบนี้ ลู่หยวนจึงได้รู้ว่าม่านกำบังนี้ไม่ธรรมดา
อาวุธระดับจักรพรรดิที่มีพลังของเขาผ่านไปไม่ได้และถูกบดขยี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าม่านกำบังนี้ทรงพลังเพียงใด
แผนที่ถูกกางข้างกายของลู่หยวน มีจุดแสงวูบไหวอยู่ และด้วยสมมติฐานของลู่หยวน ม่านกำบังนี้กำลังปิดกั้นพื้นที่ใจกลาง
ลู่หยวนเหลือบมองและพบว่ามีช่องว่างในม่านกำบังบนแผนที่
ลู่หยวนหรี่ตาลงราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง
อูโจ้วซึ่งอยู่ด้านข้างเดินไปสองสามก้าว เขาหัวเราะแหะ ๆ และดูเขินอายเล็กน้อย “นายท่าน ข้ารู้เพียงว่าทางเดินนี้เข้าไปได้ด้วยความช่วยเหลือจากมังกรเจินหลง แต่…ข้าไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีใดกันแน่”
“จะให้ข้าไปสำรวจดูก่อนรึ? ท่านรออยู่ที่นี่เถิด!”
ลู่หยวนส่ายหัว “ไม่จำเป็น ข้ารู้แล้ว”
อูโจ้วตกใจ แต่ต่อมาเขาก็พยักหน้าและติดตามลู่หยวนไป
เขาไม่ได้ซักไซ้ถามลู่หยวน เพราะสิ่งนายท่านที่ทำต้องมีเหตุผลของตัวเอง
เขาบอกว่ามีก็ต้องมี!
จักรพรรดินีติดตามอยู่ไม่ไกล ย่อมเห็นว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่กำลังใช้อาวุธระดับจักรพรรดิทดสอบ เมื่ออาวุธนั้นพังทลาย จักรพรรดินีย่อมรู้ดีว่าการเข้าไปข้างในนั้นไม่ง่าย
ทว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ไม่เคยมาที่นี่ จู่ ๆ กลับบอกว่าตัวเองมีวิธี
จักรพรรดินีไม่เชื่อ
ลู่หยวนเดินไปเลียบตามคูน้ำทางซ้าย โดยมีอูโจ้วกับจักรพรรดินีเดินตามหลัง
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม คนทั้งสามก็วนรอบคูน้ำ
ภายในใจของจักรพรรดินียิ่งสงสัยมากขึ้นว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ผู้นี้โกหกหรือไม่?!
ในเวลานี้ ลู่หยวนหยุดเดินและมองไปที่สิ่งกีดขวางตรงหน้า
เห็นเพียงม่านกำบังที่ไม่แตกต่างจากที่อื่นและไม่มีมุมใดเสียหาย
ลู่หยวนหรี่ตาลงและเนตรเทวะก็ปรากฏขึ้น
ในสายตาของลู่หยวน สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเริ่มพังทลาย หลงเหลือเพียงม่านกำบังตั้งตรงระหว่างท้องฟ้า
หลายลมหายใจต่อมา เนตรเทวะของลู่หยวนก็ปิดลง
จักรพรรดินีซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยว่า “ม่านกำบังนี้ไม่ใช่ของเรียบง่าย หากเปิดไม่ได้ก็ช่างเถอะ”
มุมปากของลู่หยวนโค้งขึ้น และรอยยิ้มก็อยู่บนใบหน้า “ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ข้าบุตรศักดิ์สิทธิ์จะเปิดไม่ได้!”
“ข้าจะทำลายมันด้วยการโจมตีเดียว!”