ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 295 วิหคเพลิงปรากฏตัว
บทที่ 295 วิหคเพลิงปรากฏตัว
บทที่ 295 วิหคเพลิงปรากฏตัว
ลู่หยวนยกหอกพันมังกรเก้าสวรรค์ระเบิดพลังออกมาพร้อมกับเสียงคำรามของมังกร ชั่วพริบตาก็กระจายไปทั่วหล้า
แสงเย็นเยือกปรากฏขึ้นบนปลายหอก ก่อนที่พลังมังกรจะทะยาน
ค่ายกลสั่นไหวเมื่อมีบางสิ่งกำลังจะทะลวงเข้ามา พลังความร้อนพลันทะยานขึ้นจากเหวเบื้องล่าง ก่อนจะรวมตัวกันเป็นลูกแก้ว หลังจากบิดเบี้ยวและหมุนอยู่สองสามครั้ง มันก็กลายเป็นวิหคเพลิงบินโฉบเฉี่ยวไปมา
มันเงยหน้าขึ้นแล้วแผดเสียงร้องดังกึกก้องทั่วฟ้าดิน
ทันทีที่วิหคเพลิงปรากฏขึ้น วั่งไฉที่พันรอบแขนของลู่หยวนก็ส่งเสียงครวญครางอยู่ในลำคอ ราวกับเผชิญกับศัตรูอันทรงพลัง
ลู่หยวนเข้าใจทันที แม้วิหคเพลิงตัวนี้จะเกิดจากการรวมตัวกันของพลังความร้อน แต่ก็เปี่ยมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ร่างของมันอาจเต็มไปด้วยโชคชะตาบางอย่าง!
ลู่หยวนคิดได้ดังนั้น จึงเลียริมฝีปาก เขาสงสัยว่านอกจากขนวิหคเพลิงแท้จริงแล้ว ยังมีโชคชะตาใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับมัน!
ทันทีที่วิหคเพลิงปรากฏตัว โลหิตทั่วร่างของจักรพรรดินีก็เริ่มเดือดพล่าน
นางเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม และหากมองอย่างละเอียดก็จะพบว่าดวงตาของจักรพรรดินีในยามนี้เริ่มทอประกายด้วยแสงสีแดงเข้ม
ลู่หยวนมองวิหคเพลิงบินโฉบเฉี่ยวและส่งเสียงในอากาศ เมื่อเขาสะบัดมือ พลังมังกรพลันทะยานเข้าหามัน
วิหคเพลิงกางปีกขณะที่พลังพุ่งออกมา กลายเป็นพายุกระโชกเข้าปะทะ
พลังทั้งสองเข้าปะทะโดยไม่มีสุ้มเสียง พลังที่แตกต่างกันหักล้างกันจนกระทั่งสลายไป หลงเหลือเพียงความว่างเปล่า
เมื่อกลุ่มพลังทั้งสองจางหาย ลู่หยวนก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา
ทันใดนั้น เขาก็ก้าวถอยหลัง
จักรพรรดินีผู้อยู่ข้างกายเห็นดังนี้ จึงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะล่าถอย
แม้จะไม่เข้ากับนิสัยของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินคาด
การต่อสู้เมื่อครู่เป็นเพียงการลองเชิง จึงไม่มีใครแพ้ชนะ
แต่จักรพรรดินีมองออกว่าวิหคเพลิงไม่มีทางแพ้พ่าย นับประสาอะไรกับการทำให้มันบาดเจ็บ!
บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่อาจจะตระหนักได้เพราะการต่อสู้ว่าไม่อาจเทียบอีกฝ่ายได้ เขาจึงไม่ฝืนดึงดันอีก
จักรพรรดินีครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ วาสนาคือโชคชะตา แต่เห็นได้ชัดว่าวาสนาวิหคเพลิงนี้ไม่ใช่ของเจ้า ถ้าฝืนต่อไปก็มีแต่เสีย”
ลู่หยวนชำเลืองมองจักรพรรดินี “ถ้าไม่ใช่ของข้าแล้วจะเป็นของผู้ใด? เป็นของท่านหรือ?!”
เมื่อจักรพรรดินีกำลังจะเอ่ย ก็พบว่าร่างของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ
ปราณวิญญาณก่อตัวขณะที่แสงสีทองรวมตัวกันที่ใต้เท้าของลู่หยวน พลังของเขาค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ชุดคลุมพลิ้วไหวพร้อมกับพลังมังกรที่โคจรไปมา
เมื่อลู่หยวนเงยหน้าขึ้นมอง ร่างพลันขยับพร้อมกับพลังมหาศาลระเบิดออกมา
ร่างของเขาทะยานราวกับลูกศรแล่นออกจากเกาทัณฑ์ เพียงชั่วพริบตาก็กวาดผ่านเหว
วิหคเพลิงกลางอากาศกระพือปีก แล้วลูกไฟสีแดงขนาดใหญ่ก็ปรากฏในปากของมัน
ตู้ม!
เมื่อวิหคเพลิงสยายปีก ลูกไฟซึ่งก่อตัวขึ้นประหนึ่งขุนเขาก็พุ่งออกไป มุ่งตรงเข้าหาลู่หยวน
วิ้ง!
ลูกไฟเหนือท้องนภาสั่นไหวก่อนจะเริ่มกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง กลายเป็นดาวตกปกคลุมทั่วผืนฟ้าตกลงมาด้านล่าง ทำให้ปฐพีสั่นสะเทือน
ทันใดนั้น ลูกไฟที่กำลังตกลงมาจากฟากฟ้าก็ตรงเข้าหาลู่หยวน
ก่อนที่ลูกไฟจะมาถึง พลังความร้อนแทบจะแผดเผาอากาศรอบข้าง
ลู่หยวนตวัดหอกจากล่างขึ้นบน
วั่งไฉซึ่งพันรอบแขนของเขาพลันเคลื่อนไหว ร่างของมันเคลื่อนไหว เกล็ดมังกรพลันส่องแสงสีทอง
มังกรเจินหลงแปลงสภาพ เพียงหนึ่งอึดใจก็ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีทอง
มันแผดเสียงคำรามขณะที่หอกพันมังกรเก้าสวรรค์ในมือของลู่หยวน คล้ายกับถูกชี้นำด้วยบางสิ่ง ก่อนจะเริ่มสั่นสะเทือน
วิ้ง!
หอกพันมังกรเก้าสวรรค์สั่นไหว มังกรเจินหลงเงยหน้าขึ้นแล้วแผดเสียงคำรามออกมา ทำให้พลังมหาศาลสั่นสะเทือนไปทั่วทุกทิศทาง
คลื่นอากาศกวาดผ่านทั่วหล้า พลันหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า
ตอนนี้เอง!
สัตว์ประหลาดทั้งหลายในอาณาเขตแดนมัชฌิมพลันสั่นสะท้าน ราวกับสัมผัสบางสิ่งที่น่าสะพรึงได้ ทำให้ขาทั้งสี่ข้างไร้เรี่ยวแรงจนต้องคุกเข่า แต่ต่อให้สั่นกลัว พวกมันก็ยังคงฝืนแสดงความเคารพไปทางวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม ไม่กล้าแสดงท่าทางกระด้างกระเดื่อง
เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั่วไปไม่อาจสัมผัสพลังของเสียงคำรามมังกรนี้ได้ พวกเขาจึงสงสัยว่าเหตุใดสัตว์ประหลาดถึงไม่ยอมฟังคำสั่ง
แม้จะใช้วิธีที่รุนแรงอย่างการฟาดด้วยกระบองหรือแส้ ก็ทำให้พวกมันที่คุกเข่าอยู่เคลื่อนไหวไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!
ส่วนปัญญาชนผู้อยู่ในภัตตาคารและโรงชาต่างวางชาม ตะเกียบและถ้วยลง ก่อนจะสะบัดมือแล้วทะยานขึ้นไปมองทั่วทั้งแดนมัชฌิมจากบนท้องฟ้า
พวกเขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นฉากดังกล่าว ก่อนจะพากันคาดเดาอยู่ในใจ
…
ไป๋ชิวเอ๋อร์ผู้อยู่บนยอดเขาของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เก็บตัวเสร็จแล้ว แต่นางยังคงเชื่อฟังคำสั่งของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่เป็นอย่างดี จึงป่าวประกาศต่อโลกภายนอกว่ายังเก็บตัวอยู่ และไม่ก้าวออกจากห้องโถงใหญ่แม้แต่ก้าวเดียว
ตอนนี้นางกำลังคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะ โดยถือยันต์ที่เต็มไปด้วยอักขระไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วกวาดมองรอบข้าง ผ่านไปสักพักจึงหยิบยันต์เปล่าออกมาแล้วเริ่มเขียนอะไรบางอย่างลงไป
ทันใดนั้น ไป๋เจ๋อที่หลับใหลอยู่ในอ้อมแขนไป๋ชิวเอ๋อร์ก็ขยับหูก่อนจะตื่นขึ้นมา มันเหยียดเท้าทั้งสี่ข้าง แล้วกระโจนไปทางหนึ่งด้วยความตื่นเต้น
เพียงชั่วพริบตา ดวงตาของไป๋เจ๋อก็หรี่ลง พลันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณต่อสู้
สัตว์สี่เท้าเดินไปสองสามก้าวก่อนจะคุกเข่าไปทางวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม พร้อมก้มศีรษะหลุบตาเพื่อแสดงท่าทียอมจำนน
ไป๋ชิวเอ๋อร์ลอบประหลาดใจเมื่อเห็นดังนี้
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยอมจำนน… หรือว่าเจ้าแห่งสัตว์ร้ายจะปรากฏตัว?!
ระหว่างที่อยู่ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ นางไม่เพียงพยายามพัฒนารากฐานการบ่มเพาะเท่านั้น แต่ยังศึกษาข้อมูลทั้งหลายเกี่ยวกับสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์จนจดจำได้หกถึงเจ็ดส่วน
นางเคยเห็นบันทึกการยอมจำนนของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำราโบราณ
ว่ากันว่าเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน สัตว์เทวะและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เข้ากันไม่ได้ พวกมันจึงออกคำสั่งให้สัตว์ประหลาดเข้าห้ำหั่นกัน ทำให้การต่อสู้ในครั้งนั้นกินเวลานานถึงหนึ่งแสนปี!
ในที่สุดก็มีราชาถือกำเนิดในหมู่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์และสัตว์เทวะ ช่วยกำราบสัตว์ประหลาดทั้งหลายจนเรื่องราวสงบลง
มีเพียงราชาแห่งสัตว์ร้ายนี้เท่านั้นที่ทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์และสัตว์เทวะ ยอมก้มหัวโดยดุษณี!
ส่วนสัตว์ประหลาดที่เหลือจะต้องคุกเข่าลงเพื่อแสดงความจงรักภักดี!
ไป๋ชิวเอ๋อร์ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง สายตากวาดมองไปทางวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม
บุตรศักดิ์สิทธิ์เข้าไปที่นั่นมาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวคราวอะไร
ผ่านไปสักพัก นางก็หันมาหยิบยันต์เปล่าบนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะเริ่มเขียน
เพียงไม่กี่อึดใจ ยันต์ในมือของไป๋ชิวเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยอักขระ
เมื่อลดมือลง ยันต์ก็กลายเป็นลำแสงสีทองก่อนจะพุ่งฝ่าความมืดออกไป