ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 299 ฝ่าบาทเสด็จ ตระกูลชิวประสบปัญหา
บทที่ 299 ฝ่าบาทเสด็จ ตระกูลชิวประสบปัญหา
บทที่ 299 ฝ่าบาทเสด็จ ตระกูลชิวประสบปัญหา
สัตว์ประหลาดเก้าตัวที่มีร่องรอยของโลหิตสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ลากรถม้าหยกผ่านน่านฟ้าแดนมัชฌิม
“โฮก! โฮก! โฮก!”
พวกมันแผดเสียงคำราม ขณะแผ่พลังอันน่าตกตะลึงดึงดูดผู้คนที่อยู่ไกลออกไป
ทุกคนต่างเห็นรถม้าหยกหรูหรากับสัตว์ประหลาดทั้งเก้าที่แข็งแกร่งอยู่บนอากาศ
ส่วนรอบข้างมีทหารรักษาการณ์พระราชวังในชุดเกราะสีดำถือง้าวกำลังคุ้มกันอยู่ พวกเขาเปี่ยมด้วยจิตสังหารจนไม่มีใครกล้ามอง
รถม้าหยกทะยานผ่านท้องนภามุ่งหน้าสู่เมืองแดนมัชฌิม
ผู้คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในเมืองต่างเริ่มสนทนาในสิ่งที่เห็น
คนผู้หนึ่งเดาะลิ้นแล้วเอ่ยว่า “รถม้าคันนั้นเป็นของใคร? เหตุใดจึงมีทหารรักษาการณ์พระราชวังมาคุ้มกัน?! หรือว่าจะเป็นจักรพรรดินี?!”
ชายชราอีกคนในชุดสีเขียวส่ายหน้า “จักรพรรดินีเสด็จด้วยรถม้ามังกร แม้คันนี้จะหรูหราไม่แพ้กัน แต่ก็ไม่อาจเอามาเทียบกันได้”
คนที่เหลือมองตามเช่นกัน “เป็นผู้ใดกัน?”
ชายชราชุดสีเขียวลูบเครา “ยามนี้ผู้เดียวที่ได้รับการปกป้องจากทหารรักษาการณ์ในพระราชวังในแดนมัชฌิม… ก็คือท่านฮ่วนซิงไป๋!”
ผู้ชายในชุดสีดำถามด้วยความสงสัย “ท่านฮ่วนซิงไป๋แทบไม่เคยนั่งรถม้ามาก่อน! การที่ออกเดินทางเต็มยศเช่นนี้ หรือว่าจะมีเรื่องสำคัญ?”
ชายชรายิ้มแล้วส่ายหน้า “ใครจะล่วงรู้? เขาจะต้องไปพบคนใหญ่คนโตเป็นแน่”
ผู้พูดไม่ได้คิดมากแต่ผู้ฟังใส่ใจ ส่วนข้ารับใช้ในตระกูลชั้นสูงทั้งหลายที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น ต่างหยุดสิ่งที่ทำแล้วมุ่งหน้าไปที่บ้านเจ้านายตน
ผู้ที่ทำให้ท่านฮ่วนซิงไป๋ต้องนั่งรถม้าไปพบจะต้องเป็นคนดังในแผ่นดินหลัก!
ตอนที่พวกเขาเข้าแดนมัชฌิม ยังไม่มีข่าวสำคัญแจ้งกลับไปรายงาน!
หากนำข่าวนี้กลับไป พวกเขาย่อมได้รับการตบรางวัลอย่างงาม!
เมื่อคิดได้ดังนี้ ข้ารับใช้จึงพากันวิ่งไปที่บ้านเจ้านายของตน
……
…
ภายในบริเวณลานบ้านที่ไม่สะดุดตาในแดนมัชฌิม ชิวเฟิงจู้นั่งอยู่ในห้องโถงหลักขณะรอการมาถึงของฮ่วนซิงไป๋อย่างเงียบงัน
เมื่อพวกเขาส่งคำเชิญให้กับตระกูลของฮ่วนซิงไป๋ ไม่นานหลังจากนั้นก็มีข้ารับใช้คนหนึ่งตอบกลับมาว่าเขาตกลงที่จะมาตามนัด ส่วนกำหนดเวลาก็คือเช้าวันนี้
ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวคราวการมาถึงของฮ่วนซิงไป๋
ชิวเฟิงจู้ส่งคนไปตรวจสอบข่าวคราวหลายครั้ง แต่พวกเขาต่างบอกว่าอีกฝ่ายกำลังพักผ่อน ยังไม่ตื่น
แม้นางจะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่ก็ต้องกลั้นมันไว้
ถึงอย่างไร… ต้องขอบคุณฮ่วนซิงไป๋ที่ทำให้เรื่องทั้งหลายพลิกผัน!
ขอเพียงเด็กคนนี้ยอมพูดบางอย่างก็จะยิ่งมัดตัวชิวชิงหลีแน่นขึ้น!
ยิ่งกว่านั้น ฮ่วนซิงไป๋ไม่ใช่คนที่ทำอะไรอ้อมค้อม จึงสามารถพูดคุยกันได้ง่าย!
ชิวเฟิงจู้หลับตาพักผ่อนขณะแหงนมองท้องนภา
ผ่านไปสักพัก นางก็สัมผัสได้ว่ามีเสียงดังมาจากนอกลานบ้าน ปราศจากความเงียบดังเดิมเหมือนทุกที
นางปกปิดการโคจรพลังก่อนลืมตาขึ้น แล้วเตรียมจะเอ่ยบางอย่าง
ทันใดนั้น ผู้น้อยจากตระกูลชิวคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามา เขาหยุดพักหายใจก่อนประสานมือแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาเฟิงจู้ ท่านฮ่วนซิงไป๋มาแล้ว!”
“แค่มาถึง เหตุใดต้องทำตัวแตกตื่นเล่า? มีเรื่องอะไรถึงต้องร้อนรนขนาดนั้น?”
ชิวเฟิงจู้ขมวดคิ้วขณะต่อว่าไปสองสามคำ จากนั้นจึงยืนขึ้นจัดชุดให้เรียบร้อย ก่อนจะเตรียมเดินออกไปทักทายด้วยสีหน้าสงบ
อีกฝ่ายยังคงรายงานในสภาพเหงื่อเต็มหน้าผาก “ท่านอาเฟิงจู้ ท่านฮ่วนซิงไป๋นั่งรถม้าหยกมา! แถมยังมีทหารรักษาการณ์ในพระราชวังมากกว่าสามสิบคนติดตามมาอย่างยิ่งใหญ่! เขาเดินทางไปทั่วแดนมัชฌิมก่อนจะตรงมาหาพวกเรา!”
“ยามนี้ทุกคนทราบแล้วว่าท่านฮ่วนซิงไป๋กำลังมาหาพวกเรา!”
“บางคนถึงขั้นล้อมอยู่นอกลานบ้านของพวกเรา!”
สีหน้าสงบของชิวเฟิงจู้เมื่อครู่พลันเปลี่ยนไป “เจ้าว่ายังไงนะ?!”
สาเหตุที่พวกเขามาแดนมัชฌิมก็เพราะเรื่องของชิวชิงหลี หากตรวจสอบเรื่องในที่ลับได้ย่อมดีกว่า พวกเขาจึงเลือกที่จะปกปิดตัวตน
ตอนพวกเขาอยู่ที่นี่ น้อยคนนักที่จะทราบว่าตระกูลชิวเดินทางมา อีกทั้งยังมีบางส่วนที่แสร้งทำเป็นไม่รู้
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องแสดงมายาทระหว่างตระกูลชั้นสูงด้วยกัน ทำให้มีเวลาในการสร้างหลักฐาน!
ยิ่งกว่านั้น คนของตระกูลชิวไม่เหมือนกับตระกูลชั้นสูงทั่วไป ส่วนใหญ่ที่พวกเขาออกมาย่อมเป็นเพราะมีเรื่องต้องจัดการ ดังนั้นจึงไม่อาจเพิกเฉยได้
เพราะพวกเขามีวิถีคุณธรรม!
ไม่มีใครไม่ทราบว่าเป็นเพราะเรื่องราวเมื่อสามแสนปีก่อน ถึงทำให้ตระกูลชิวแห่งวิถีคุณธรรมยังคงอยู่ในสภาพกระอักกระอ่วน
ครั้งนี้พวกเขามากันหลายคน หากคนอื่นทราบเรื่องเข้าก็จะเริ่มพากันคาดเดาว่าตระกูลชิวกำลังจะลงมือทำบางอย่าง ถึงตอนนั้น ทุกการเคลื่อนไหวจะไม่มีทางหลุดรอดสายตาไปได้
ทำให้หลายสิ่งยิ่งกระทำการได้ยาก!
ชิวเฟิงจู้รู้สึกปวดหัวและเป็นกังวล
นางไม่คาดคิดว่าฮ่วนซิงไป๋จะเปิดเผยต่อสาธารณะเช่นนี้!
เท่าที่นางทราบมา แม้เด็กคนนี้จะทำตัวเป็นผู้ดีอยู่บ้าง แต่ก็มักเก็บตัวอยู่ในพระราชวังตั้งแต่ที่หมั้นหมายกับฝ่าบาท
ปกติแล้วเวลาไปไหนมาไหนก็จะไปคนเดียว ไม่เคยเห็นเขานั่งรถม้าหยกมาก่อนเลยสักครั้ง!
ฮ่วนซิงไป๋ทำตัวสะดุดตาเช่นนี้เหมือนเป็นการป่าวประกาศทั่วทั้งแผ่นดินว่ามีตระกูลชิวหลายสิบคนมาที่แดนมัชฌิมโดยไม่บอกกล่าว!
การทำเช่นนี้ ไม่เท่ากับเป็นการบอกตระกูลชั้นสูงทั้งหลายว่าตระกูลชิวมาที่นี่พร้อมแรงจูงใจซ่อนเร้นหรอกหรือ?!
หากเป็นเรื่องอื่น พวกเขาสามารถเอ่ยไปตามตรงเพื่อคลายความสงสัยของอีกฝ่ายจนไม่เกิดการกระทบกระทั่งได้
แต่เรื่องในวันนี้ไม่อาจป่าวประกาศออกไปได้
พวกเขาจำเป็นต้องหาข้ออ้างมารองรับโดยไม่เปิดเผยความเจตนาที่แท้จริงออกมา!
ชิวเฟิงจู้เดินอยู่ในห้องโถงหลัก สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ “เร็ว เรียกทุกคนที่อยู่ข้างนอกกลับมา! โดยเฉพาะคนที่อยู่กับตระกูลชั้นสูง!”
ชายผู้นั้นประสานมือตอบแล้วเตรียมจะออกไป
ชิวเฟิงจู้พลันตะโกน “ช้าก่อน!”
นางลังเลขึ้นมา “ไม่ต้องให้คนในตระกูลหลิงกลับมา ให้ซ่อนตัวไปก่อน! เขายังใช้ประโยชน์ได้!”
“ขอรับ!”
ชายผู้นั้นถอยออกไป
ใบหน้าของชิวเฟิงจู้ซีดเผือดขณะคิดหาข้ออ้าง
อย่าแตกตื่น ขอเพียงหาข้ออ้างที่ดีได้ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
ชิวเฟิงจู้สะบัดแขนเสื้อก่อนเดินไปทางประตูลานบ้าน
ยามนี้มีสัตว์ประหลาดเก้าตัวยืนตระหง่านพร้อมรถม้าหยกอยู่บริเวณทางเข้า หากมองผ่านผ้าโปร่งก็จะเห็นร่างหนึ่งกำลังเอนกายไขว่ห้างอย่างเลือนราง
ทหารรักษาการณ์ในพระราชวังผู้หนึ่งออกมาจากรถม้าหยกก่อนจะคำนับด้วยความเคารพ “ฝ่าบาทเสด็จแล้ว”
น้ำเสียงอันเกียจคร้านดังมาจากภายในรถม้าหยก “อื้ม ข้ารู้แล้ว”
ฮ่วนซิงไป๋ไม่มีความคิดที่จะออกมา เขายังคงเอนกายอยู่ข้างใน
ทหารรักษาการณ์ในพระราชวังย่อมเข้าใจ ก่อนจะคำนับไปทางรถม้าหยกแล้วเดินไปที่ลานบ้าน เขายืนอยู่หน้าองครักษ์หลายสิบคนพลางสะบัดง้าวแล้วเอ่ยเสียงดัง “ท่านฮ่วนซิงไป๋เสด็จแล้ว! ตระกูลชิวยังไม่รีบมาต้อนรับอีก!”