ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 305 เปิดม่านป้องกัน
บทที่ 305 เปิดม่านป้องกัน
บทที่ 305 เปิดม่านป้องกัน
“ชิ…”
ลู่หยวนเดาะลิ้นอย่างจนใจแล้วชักมือออก เขากำมือเล็กน้อย
“เหตุใดถึงตะโกนเสียงดังนัก? ทำเหมือนกับข้าจะทำมิดีมิร้ายกับเจ้า”
ลู่หยวนเม้มริมฝีปาก จากนั้นก้มศีรษะ โดยจ้องสายตาไปยังของเหลวที่รวมตัวกันอยู่ในมือ
โลหิตที่มีขนาดเท่ากำปั้นรวมตัวกันและมีภาพวิหคเพลิงโคจรอยู่ภายในนั้น
อีกด้าน มีโลหิตไหลออกมาจากบาดแผลที่แขนขาวดุจหยกของจักรพรรดินี
สิ่งที่แปลกก็คือมีเปลวเพลิงลุกไหม้เล็กน้อยบนโลหิตนั้น
สิ่งนี้คือเพลิงสวรรค์ที่มาพร้อมกับสายเลือดวิหคเพลิง
แต่เปลวเพลิงนี้อ่อนกำลังยิ่ง เห็นได้ชัดว่ายามนี้จักรพรรดินีอ่อนแอมาก!
จักรพรรดินีห้ามโลหิตจากบาดแผลด้วยโทสะ จากนั้นกลืนโอสถเข้าไปสองสามเม็ดเพื่อรักษาการไหลเวียนของสายเลือดเพลิงสวรรค์ในร่างกาย
บาดแผลเริ่มสมานตัว จากนั้นจึงตกสะเก็ด ผ่านไปหลายอึดใจก็กลับสู่สภาพเดิม
แขนขาวประหนึ่งเครื่องลายครามหยก ไม่มีร่องรอยแผลเป็นแม้แต่น้อย
โอสถนี้ค่อนข้างดี ลู่หยวนยิ้มแล้วกำลังจะเอ่ยบางอย่าง
สร้อยข้อมือของจักรพรรดินีเริ่มส่องแสง มันกะพริบอย่างต่อเนื่องด้วยพลังแปลกประหลาดบางอย่าง
ลู่หยวนทราบดีว่ามีพลังแข็งแกร่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังแสงนี้
พลังของมันกล้าแกร่ง ไม่ด้อยไปกว่ามู่พ่านซาน!
“ฝ่าบาท!”
เสียงชราดังมาจากสร้อยข้อมือ
เมื่อจักรพรรดินีได้ยินเสียงนี้ หัวใจของนางพลันเย็นเยือก เป็นเสียงของเนี่ยอิ่ง!
ลู่หยวนเอื้อมมือซ้ายไปคว้าสร้อยข้อมือ ทันทีที่กระชับ พลังมังกรก็เข้าปกคลุมจนแสงสว่างหมองหม่น ก่อนที่เสียงชราจะหายไป
มันคือวิธีตัดการเชื่อมต่อของเนี่ยอิ่งกับจักรพรรดินีผ่านสร้อยข้อมือ!
“ข้าก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดท่านถึงติดตามมาด้วยท่าทางสงบได้ กลายเป็นว่าท่านช่างอาจหาญไม่เบา”
ดวงตาของลู่หยวนทอประกายเย็นเยือก “ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของสร้อยข้อมือจะต้องเป็นผู้มีวิชาหมัดอันดับหนึ่งในแผ่นดินหยวนหง เนี่ยอิ่งไม่ผิดแน่!”
ลู่หยวนเคยได้ยินเรื่องของเนี่ยอิ่งมาบ้าง แต่ไม่ใช่จากแดนมัชฌิม เป็นพ่อผู้เห็นแก่ตัวที่เคยเอ่ยให้ฟังตอนที่เขาออกจากตระกูลลู่
ว่ากันว่าคนผู้นี้คือองครักษ์ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์แดนมัชฌิมมากที่สุด เขารับใช้จักรพรรดินีมาแล้วสองรุ่น รากฐานการบ่มเพาะสุดหยั่ง จากการคาดเดาของลู่เทียนเหอ ระดับการบ่มเพาะของอีกฝ่ายย่อมไม่น้อยกว่าขั้นอมตยุทธ์หรืออาจสูงยิ่งกว่านั้น
ลู่เทียนเหอเพียงเล่าเรื่องราวของเนี่ยอิ่งให้ฟังไม่มาก แต่หนึ่งในเรื่องที่ทำให้ประทับใจมากที่สุดก็คือ “วิชาหมัดบนแผ่นดินหลักมีอยู่มากมาย ปรมาจารย์ด้านฝ่ามือและหมัดมีอยู่ทั่วทุกแห่ง แต่ในบรรดาวิชาหมัดและวิชาฝ่ามือนับไม่ถ้วน ไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงหมัดทะลวงสวรรค์แปดแดนร้างของเนี่ยอิ่งได้!”
หลังจากลู่หยวนเข้าสู่แดนมัชฌิม เขาก็ขอให้ไป๋ชิวเอ๋อร์ค้นหาบันทึกเกี่ยวกับอีกฝ่าย
เนี่ยอิ่งผู้นี้คล้ายกับไม่เคยใช้วิชาอื่นนอกเหนือจากหมัดทะลวงสวรรค์แปดแดนร้าง
ลู่หยวนขบคิดไปมา หรือว่าอีกฝ่ายจะใช้เพียงหนึ่งวิชาก็สามารถพิชิตโลกาได้?!
เขาโยนความคิดดังกล่าวทิ้งทันทีที่มันผุดขึ้นมา ถึงอย่างไรเนี่ยอิ่งผู้นี้ได้เก็บตัวอยู่ในแดนมัชฌิมแล้ว อีกทั้งยังมีข่าวลือจากโลกภายนอกว่าเป็นเพราะเก็บตัวนานเกินไปจนทำให้ถึงแก่ความตาย
แต่คาดไม่ถึงว่าคราวนี้จะได้มาพบกับอีกฝ่าย!
จักรพรรดินีไม่ตอบ แต่สีหน้าเริ่มซีดเซียว
เหตุผลที่นางกล้าเข้ามาที่นี่พร้อมกับลู่หยวนก็เพราะมีไพ่ตายเป็นเนี่ยอิ่งผู้สามารถออกมาปกป้องได้ทุกเมื่อ
แต่ตอนนี้ไพ่ตายกลับถูกเปิดโปง ไม่ทราบว่าลู่หยวนใช้เล่ห์กลอันใดถึงตัดการเชื่อมต่อระหว่างนางกับเนี่ยอิ่งได้!
สร้อยข้อมือระลอกคลื่นคืออาวุธวิเศษที่เนี่ยอิ่งสร้างขึ้นมา!
เมื่อเห็นสีหน้าของจักรพรรดินี ลู่หยวนก็ได้รับคำตอบแล้ว ก่อนจะคลายมือซ้ายด้วยสายตาหมองหม่น
แล้วเนี่ยอิ่งเล่า?
ตอนที่กุมสร้อยข้อมือเอาไว้ เขาใช้พลังมังกรตัดการเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองฝ่าย
ต่อให้อีกฝ่ายจะทราบว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถระบุตำแหน่งของจักรพรรดินีได้อีกต่อไป!
ลู่หยวนหันกลับมา โลหิตที่เป็นของนางยังคงโคจรอยู่ในมือขวา
เขามองม่านป้องกันที่ปกคลุมพื้นที่แกนกลางเอาไว้ก่อนจะยิ้ม
พื้นที่นี้เป็นของวิหคเพลิง ผู้ที่เปิดได้จะต้องมีสายเลือดของวิหคเพลิง
ในนวนิยายก็มีเรื่องราวทำนองนี้ไม่ใช่หรือ? หากผู้ถูกลิขิตได้รับโลหิตบางส่วน ดินแดนลับทั้งหลายก็จะเปิดออก
ถ้างั้น ลองดูก็ได้ไม่เสียหาย!
มือขวาของลู่หยวนสั่นไหวขณะที่โลหิตไหลริน
เขาออกแรงเหวี่ยงสุดกำลัง ทำให้โลหิตทะยานออกไปประหนึ่งวิหคเพลิงที่บินเข้าหาม่านป้องกัน
วิ้ง!
โลหิตพลันทะยานเข้าหาม่านป้องกัน จากนั้นเวียนวนไปมา ก่อนเพลิงสวรรค์จะปรากฏขึ้น
ม่านป้องกันพลันสาดแสงแรงกล้าเมื่อสัมผัสกับโลหิต
แสงจางหายภายในหนึ่งอึดใจ ผ่านไปชั่วขณะ โลหิตของจักรพรรดินีก็เริ่มหายไป แต่เพลิงสวรรค์ยังคงอยู่
เพลิงเหล่านั้นเริ่มกระจายไปรอบข้าง เพียงไม่กี่อึดใจ พวกมันก็ปกคลุมม่านป้องกันจนสิ้น
เพลิงสวรรค์กัดกร่อนทีละน้อย ไม่ช้าม่านป้องกันก็ถูกกลืนกินอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ม่านป้องกันหายไป พื้นที่แกนกลางนั้นก็สะท้อนให้เห็นในดวงตาของทั้งสามคน
เมื่อพื้นที่ดังกล่าวปรากฏขึ้น กลิ่นอายรกร้างโบราณก็กระจายออกมาในคราวเดียว
กลิ่นอายนั้นผสานเข้ากับพลังโดยรอบ แต่มีบางสิ่งที่ลู่หยวนคุ้นเคย นั่นคือร่องรอยของกลิ่นอายราชามังกรที่อยู่ภายในพลังนี้!
เมื่อกลิ่นอายนี้เข้ามา หวังไฉ่ผู้อยู่ในอ้อมแขนของเขาพลันสั่นไหวและลืมตาขึ้นด้วยความสับสน ก่อนจะก้มศีรษะไปทางพื้นที่แกนกลาง
มันคือวิธีสักการะของเผ่ามังกร
ยามกลิ่นอายนั้นหายไป หวังไฉ่ก็ไม่อาจต้านทานความง่วงได้ ก่อนจะผล็อยหลับอยู่ในอ้อมแขนของลู่หยวนอีกครา
ส่วนจักรพรรดินีผู้อยู่ข้างกายก็สัมผัสได้ถึงพลังของราชาวิหคเพลิงที่แท้จริงจากภายในกลิ่นอายนี้เช่นกัน!
อูโจ้วก็จับจ้องไปยังวิหคเพลิงที่แท้จริงซึ่งอยู่ด้านหน้า!
ลู่หยวนกวาดมองแผนที่ข้างกายซึ่งมีเพียงเขามองเห็น แสงสีแดงบนแผนที่กะพริบอยู่สอดคล้องกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
“ท่านจักรพรรดินี เชิญ”
ลู่หยวนเหลือบมองด้านข้างพร้อมเผยรอยยิ้ม
จักรพรรดินีย่อมทราบดีว่าอีกฝ่ายต้องการให้นางเข้าไปสำรวจก่อน หมายความว่าหากมีอันตราย นางจะเป็นคนแรกที่ต้องรับกรรม!
สายตาของจักรพรรดินีหมองหม่นก่อนจะลอบกระตุ้นอาวุธวิเศษสองสามชิ้นในมือ จากนั้นทะยานเข้าสู่พื้นที่แกนกลาง
ลู่หยวนกับอูโจ้วตามติดอย่างใกล้ชิด
…
ภายในแดนมัชฌิมยามนี้ ลานบ้านที่ตระกูลชิวอยู่อาศัยถูกรายล้อมอย่างหนาแน่น
ชิวเฟิงจู้นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
ชิวหลิงผู้อยู่ข้างกายกำลังรวบรวมบัตรเชิญที่ได้รับมา
พวกมันล้วนเป็นคำเชิญจากสำนักและตระกูลทรงอำนาจในแดนมัชฌิม ภายในนั้นต่างบอกว่าต้องการเชิญคนจากตระกูลชิวมาเข้าร่วมงานเลี้ยง
ชิวหลิงกวาดมองอย่างละเอียด พบว่ามีคำเชิญเช่นนั้นมากกว่าสิบใบ
เดิมที นางคิดว่าการที่พวกเขาจัดงานเลี้ยงในเวลาเดียวกันจะทำให้เวลาเหลื่อมล้ำกัน จึงน่าจะปฏิเสธได้บางส่วน
แต่เมื่อดูอย่างละเอียด นางก็ตระหนักได้ว่าไม่มีการจัดงานชนกันแม้แต่แห่งเดียว!
นางถึงขั้นสงสัยว่าสำนักและตระกูลเหล่านี้ได้เจรจากันมาแล้ว!