ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 316 ดวงตามืดบอด
บทที่ 316 ดวงตามืดบอด
บทที่ 316 ดวงตามืดบอด
เมื่อพลังสีดำสูญสลาย หอคอยอสูรสวรรค์ก็เงียบสงบลง
ลู่หยวนใจสั่นระรัวขณะที่โลหิตพลุ่งพล่าน เขาคล้ายกับสัมผัสบางอย่างได้ ทำให้พลังมารยังคงโคจรอยู่ภายใน ราวกับอยากทะยานออกมา แต่ก็มีพลังบางอย่างที่ยังคอยสะกดมันไว้อยู่ตลอดเวลา
เขาประกบนิ้วเข้าหากันก่อนยันต์จะพุ่งออกมาจากหัวใจ ทำให้พลังมารระเบิดออกแล้วปกคลุมทั่วหล้า
กระบี่วิถีโลกาซึ่งถูกดูดกลืนอยู่ภายในจิตเทวะของลู่หยวนสัมผัสได้ถึงพลังมารที่มิอาจขัดขืน จึงสั่นไหว จากนั้นแสงสว่างก็หมองหม่นราวกับอยากหลบเลี่ยงความเฉียบคมของเขา
เขาถือยันต์ซึ่งยามนี้มีแสงสีขาวสาดส่องออกมา ขณะสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง
มันคือยันต์ที่อู่หมิงเสวี่ยผู้เป็นแม่ของลู่หยวนสร้างขึ้น
ประการแรกคือสิ่งนี้สะกดพลังมารในร่างเพื่อไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็นได้
ประการสองคือเมื่อเขาเผชิญกับสัตว์ประหลาดหรือสิ่งที่ทรงพลังยิ่งอย่างตอนนี้ เขาสามารถหยุดพลังมารได้สักพักก่อนที่จะเกิดการตอบสนอง การทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พลังพลุ่งพล่านทันทีที่เผชิญหน้ากับอีกฝ่าย จนทำให้ตัวตนของเผ่ามารถูกเปิดเผยออกมา
ยิ่งสัตว์ประหลาดที่ลู่หยวนเผชิญแข็งแกร่งเท่าไหร่ พลังคุกคามของยันต์ใบนี้ก็ยิ่งมากตาม!
เป็นเพราะสิ่งนี้ที่ป้องกันไม่ให้เขาถูกพลังมารของราชันมารสัมผัสได้เมื่อครู่ จึงกลายเป็นว่าหอคอยอสูรสวรรค์มีการตอบสนองแทน
ลู่หยวนมองยันต์ในมือที่แสงสีขาวหม่นไปแล้ว ในขณะที่อักขระเลือนรางส่วนใหญ่พังทลาย แม้กระทั่งมุมหนึ่งยังถูกฉีกขาดด้วยสิ่งใดไม่ทราบ
ยันต์ใบนี้…หมดประโยชน์แล้ว…
ลู่หยวนแย้มยิ้ม ที่นี่ช่างน่าสนใจไม่เบา
เห็นได้ชัดว่าสถานที่นี้คือซากปรักหักพังวิหคเพลิงซึ่งถือเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับมีหลายสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับสัตว์ประหลาด
แค่เห็นพาหนะที่ดูเหมือนของราชันมารในตอนนั้นเพียงอย่างเดียวก็พอจะตัดสินได้แล้ว ถึงกระนั้นยังมีพลังมารของราชันมารแท้จริงรวมกันอยู่อีก
พลังมารเหล่านี้ถึงกับทำลายยันต์ที่ผนึกอยู่ในใจของเขาได้!
อูโจ้วผู้อยู่ไม่ไกลสัมผัสถึงพลังมารมหาศาลบนร่างของลู่หยวนได้เช่นกัน ทำให้ดวงตาของเขาพลันหดลงจนมีขนาดเท่ารูเข็ม
“เผ่ามารหรือ?!”
อูโจ้วลุกขึ้นยืน คาดไม่ถึงว่านายท่านที่เขายอมจำนนจะเป็นถึงมาร!
เขาอ้าปากด้วยอาการตกตะลึง ก่อนถอนหายใจยาว “บัดซบ สุดยอดไปเลย!”
ถึงแม้จะทราบเกี่ยวกับนายท่านเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็พอคาดเดาได้บางส่วน หลังจากเฝ้าสังเกตการณ์มาสองสามวัน
ลู่หยวนเกรงว่าหากเรื่องที่ตนเป็นมารหลุดออกไป ก็จะทำให้สถานการณ์ภายนอกปั่นป่วน!
แบบนี้เท่ากับเป็นการหลอกลวงทั้งแผ่นดิน!
บัดซบ หมอนี่สุดยอดเป็นบ้า!
อูโจ้วมองแผ่นหลังของลู่หยวนด้วยดวงตาเป็นประกาย พร้อมกับแสดงสีหน้าน่าถือออกมา
[แจ้งเตือนจากระบบ: ความจงรักภักดีของผู้ติดตามอูโจ้วที่มีต่อนายท่านเพิ่มขึ้น! ตอนนี้มันอยู่ในสภาพ: เป็นตายร่วมกัน ยอมจำนนตลอดเก้าชั่วอายุคน!]
ลู่หยวนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินระบบแจ้งเตือนเช่นนั้น จึงหันกลับไปมองอูโจ้วผู้มีสีหน้าตื่นเต้น
เขาไม่ใส่ใจขณะอัญเชิญยันต์สองใบออกมา แล้วฝังไว้ในหัวใจอีกครั้ง
ส่วนร่างของคุนเผิงที่เพิ่งเสียเศษเสี้ยววิญญาณก็อยู่ในสภาพนิ่งงันมาได้พักใหญ่ อูโจ้วหรี่ตามองขณะสร้างผนึกขึ้นในมือ อักขระโคจรไปมา ทำให้ซากศพนั้นไม่อาจขัดขืน ก่อนกลับสู่โลกปรภพ
โครงกระดูกสัตว์ประหลาดผู้อยู่ในหมู่เมฆไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้ มันยังคงกระพือปีกไปทางเมฆที่มีรูปทรงเหมือนประตูสวรรค์
ลู่หยวนยังคงจ้องมองไม่ว่างตา เมื่อมันกำลังเข้าใกล้จุดหมาย ประตูสวรรค์เลือนรางก็ขยายขนาดหลายพันเท่าในทันที พร้อมปกคลุมท้องนภาไปกว่าครึ่ง
เพลิงสวรรค์ที่อยู่ภายในปากก็ตรงเข้าหามัน
ก๊อง!
เสียงระฆังดังกึกก้องทั่วสวรรค์ทั้งเก้า ทำให้เมฆซึ่งอยู่ภายในนั้นพองตัวแล้วปราณวิญญาณนับไม่ถ้วนก็ม้วนตัวเข้าหากัน
ทันใดนั้นก็มีร่างประหนึ่งเซียนปรากฏขึ้นท่ามกลางประตูสวรรค์ เงาเหล่านี้พลันวาบผ่านไปมา อีกสักพักก็มีอีกหลายสิบร่างเคลื่อนผ่าน ร่างเหล่านี้มีทั้งชายและหญิง บ้างแต่งตัวหรูหราสมรรถะ บ้างเป็นเทพและวิญญาณร้าย
เมื่อร่างเหล่านี้ปรากฏขึ้น พวกเขาต่างแผ่กลิ่นอายที่แตกต่างกันออกมา ซึ่งพลังของพวกมันมีอำนาจในการกำราบมหาศาล ประหนึ่งทั่วหล้าต้องยอมจำนนอยู่แทบเท้า!
เห็นได้ชัดว่าลู่หยวนไม่รู้จักเงาเหล่านี้
ตอนนี้ นอกจากเขาแล้ว เจิ้งชิงเทียนกับสือจิ่วก็ปรากฏขึ้น
เจิ้งชิงเทียนประสานมือทำความเคารพแก่ลู่หยวนด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นสายตาของนางจับจ้องไปยังร่างที่ลอยอยู่เหนือประตูสวรรค์ ก่อนจะเอ่ยออกมา “นายท่าน คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่เคยทะลวงขั้นสู่สวรรค์จนกลายเป็นเทพเซียน!”
ลู่หยวนคิ้วขมวดขณะมองร่างที่เคลื่อนผ่านหน้าไป
เจิ้งชิงเทียนเอ่ยต่อ “เมื่อสามแสนปีก่อน พวกเขาทั้งหลายได้หลงเหลืออาวุธวิเศษหรือคัมภีร์โบราณเอาไว้ สิ่งเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังของผู้เป็นเจ้าของ ข้าโชคดีที่ได้มาบางส่วน จึงสัมผัสพลังของคนเหล่านี้ได้ มันไม่แตกต่างจากที่เห็นตรงหน้าเลย!”
นางนิ่งงันขณะจ้องมองด้วยสายตาอันเร่าร้อน “นายท่าน หากข้าเดาไม่ผิด ประตูสวรรค์ที่ปรากฏในวันนี้อาจจะเป็นซากปรักหักพังประตูสวรรค์ที่รอต้อนรับราชาคุนเผิงในตอนนั้น!”
“แม้ประตูสวรรค์แห่งนี้จะเป็นเพียงซากปรักหักพัง แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะพาไปถึงแดนเซียน!”
ความหมายของเจิ้งชิงเทียนชัดเจนและตรงประเด็น
แดนเซียนคือสถานที่ซึ่งทุกคนในแผ่นดินหยวนหงปรารถนาจะได้เข้าไปสักครั้ง!
มีกี่คนที่ใช้ทั้งชีวิตบ่มเพาะเพียงเพื่อจะได้เห็นแดนเซียน
การได้เข้าสู่แดนเซียน ถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้คนทั้งหลาย!
ต่อให้มีโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่น แต่ถ้ามันปรากฏขึ้นในแผ่นดินหยวนหง เกรงว่าพวกเขาย่อมไม่ลังเลที่จะตรงดิ่งเข้าไปโดยที่ไม่ต้องคิด!
ส่วนซากปรักหักพังประตูสวรรค์ตรงหน้าถือเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ในการก้าวเข้าสู่แดนเซียน หากที่นี่ถูกแพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่จนนำไปสู่การนองเลือดไม่ผิดแน่!
แม้กระทั่งเจิ้งชิงเทียนผู้มีอายุมาสามแสนปีก็ไม่อาจสะกดกลั้นความตื่นเต้นไว้ได้ยามที่คาดเดาเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้
หากติดตามลู่หยวนเข้าสู่แดนเซียนได้ เช่นนั้นนางก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว!
หลังจากเห็นสายตาคาดหวังของนาง ลู่หยวนก็มายืนอยู่บนเมฆ สีหน้าที่เดิมอ่อนโยนก็แปรเปลี่ยนไป
มุมปากของเขาคลี่ออกจนกลายเป็นรอยยิ้มหยัน
“ยัยโง่…”
ลู่หยวนผละสายตาจากเมฆาเหนือประตูสวรรค์แล้วหันมาจับจ้องเจิ้งชิงเทียน “เจ้าโง่ไม่พอ ราชาคุนเผิงนั่นก็เป็นหมูโง่อีกตัว!”
เมื่อถูกเขาตำหนิ นางก็หวาดกลัวจนคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความสับสน
ลู่หยวนยืนเอามือไพล่หลังขณะมองโครงกระดูกสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่กำลังมุ่งหน้าเข้าหาประตูสวรรค์ที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆ
แสงสีทองสาดส่องออกมาจากข้างใน ทำให้ร่างใหญ่ของมันถูกกลืนกินเข้าไป จนเกือบเข้าไปข้างในได้
ลู่หยวนเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ทั้งเจ้าและราชาคุนเผิงต่างก็มีชีวิตยืนยาว ถึงกระนั้นกลับดวงตามืดบอดเสียได้”
“การพยายามทะลวงผ่านนภาเพื่อเข้าสู่แดนเซียน ช่างเป็นความฝันอันโง่เขลานัก!”