ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 322 เซ่นไหว้วิหคเพลิง… จิ่วเฟิ่ง!
บทที่ 322 เซ่นไหว้วิหคเพลิง… จิ่วเฟิ่ง!
บทที่ 322 เซ่นไหว้วิหคเพลิง… จิ่วเฟิ่ง!
ภายในดินแดนลับแดนมัชฌิม
วังโบราณขนาดใหญ่แผ่อำนาจกดขี่แทบจะปกคลุมทั่วทั้งท้องนภาในความว่างเปล่าอันมืดมิด
โครงกระดูกของสัตว์ประหลาดสั่นไหว ปีกซึ่งเป็นของคุนเผิงขยับอย่างบ้าคลั่ง จนสายลมแรงราวพายุพัดในห้วงอากาศหมองหม่น ทำให้ปราณวิญญาณรอบข้างลอยล่องอย่างผิดปกติ
แสงสีทองทะยานออกมาจากด้านหลังของวังโบราณ
วาบ! วาบ! วาบ!
เสียงทุ้มต่ำดังก้องขณะเส้นอักขระสีทองโคจรรอบวังโบราณ
พริบตาต่อมา เพลิงสวรรค์สีแดงก็ปรากฏรอบอักขระ กลิ่นอายของวิหคเพลิงปรากฏขึ้นในยามนี้เช่นกัน พวกมันยังคงแผ่ขยายออกไป ผ่านไปหนึ่งอึดใจ ค่ายกลอันซับซ้อนได้ก่อตัวขึ้นจากทั่วทุกทิศทางก่อนจะปกคลุมท้องนภา
หลังจากค่ายกลปรากฏ พลังมารซึ่งอยู่รอบบริเวณก็หายไป
ทั่วทั้งพื้นที่ต่างตกอยู่ในสายตาของผู้คนในตอนนี้
ปราณวิญญาณนับไม่ถ้วนม้วนตัวออกห่างจากวังโบราณอันทรุดโทรมแห่งนั้นราวกับหลบเลี่ยงบางสิ่ง
ตู้ม!
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ประตูของวังโบราณพลันเปิดออก
ฟู่!
ลมพายุหมุนวนด้วยความเร็วทั่วทุกพื้นที่ ทำให้อากาศโดยรอบเริ่มพังทลาย
ชุดคลุมของลู่หยวนพลิ้วไหว
แรงลมนี้ประหนึ่งคมดาบฟาดฟันซึ่งพลังมีอยู่เบาบาง ทำให้พวกเขาต้องโคจรการบ่มเพาะเพื่อสร้างม่านป้องกันเอาไว้รอบตัว
ทันใดนั้น!
ประตูทุกบานของวังโบราณบนท้องนภาพลันเปิดออก มีมือสีดำซึ่งบดบังใต้หล้ายื่นออกมาคว้าโครงกระดูกของสัตว์ประหลาดเอาไว้!
ยามที่มือนี้เคลื่อนลงมา ทั่วหล้าก็ตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง
เมื่อมือปรากฏขึ้น พลังมารไร้ที่สิ้นสุดก็กดทับลงมาอีกครั้ง พวกมันไม่เพียงแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยแรงกดดันของราชวงศ์มาร
เจิ้งชิงเทียนกับสือจิ่วต่างยอมจำนนพร้อมคุกเข่าเมื่อตกอยู่ภายใต้พลังนั้น ส่วนอูโจ้วผู้อยู่ข้างกายต้องใช้กำลังในการบ่มเพาะทั้งหมดจึงจะขัดขืนพลังอันมหาศาลที่กวาดผ่านเข้ามาได้
ในใต้หล้ามีเพียงลู่หยวนที่ยังยืนหยัด ชุดคลุมสีชาดห่มดำพัดพลิ้ว คิ้วคมเข้มเหยียดตรง
เขาสัมผัสได้ว่าตอนที่มือสีดำขนาดใหญ่ปรากฏออกมา โลหิตก็เดือดพล่าน ความปรารถนาที่ผุดขึ้นในใจยังคงปั่นป่วน!
เขาต้องการกลืนกินพลังนั้นให้หมดสิ้น!
หอคอยอสูรสวรรค์ซึ่งอยู่ในจิตเทวะไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนก่อนหน้านี้ พลังมารซึ่งอยู่ใกล้กับหอคอยกลับแน่นิ่ง ซึ่งเป็นการแสดงท่าทียอมจำนน
บนท้องนภา!
เมื่อมือสีดำคว้าโครงกระดูกของสัตว์ประหลาดเอาไว้ พลังมารพลันกลายเป็นโซ่นับไม่ถ้วนผนึกมันเอาไว้
ฝ่ามือกำมันไว้แล้วดึงกลับเข้าไปในวังโบราณ
ลู่หยวนหรี่ตาลง พร้อมจะหมายตามมันไป
ทันใดนั้น!
มือสีดำบนท้องนภาแน่นิ่ง ทำให้โซ่สีดำที่พันธนาการโครงกระดูกของสัตว์ประหลาดเอาไว้เริ่มสลายไป
แกว้ก!
วิหคเพลิงส่งเสียงร้องดังก้องทั่วฟ้าดิน
ชั้นเพลิงสวรรค์กวาดผ่านโครงกระดูกของสัตว์ประหลาดไป เพียงชั่วพริบตา พลังมารรอบข้างก็ถูกแผดเผา!
“ราชันมาร เจ้าตายไปแล้ว เช่นนั้นก็จงตายแต่โดยดี เหตุใดต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องทางโลกด้วย?!”
เสียงผู้หญิงอันแจ่มชัดดังขึ้นบนท้องนภา เพลิงสวรรค์ทะยานขึ้นไปเริ่มถอยกลับมารวมตัวกัน ก่อนร่างมายาจะปรากฏ
ร่างนั้นเลือนราง ทำให้มองออกแค่ว่าเป็นผู้หญิง
ในมือของนางมีกระบี่หนักซึ่งถูกอาบไล้ด้วยเพลิงสวรรค์ ทั้งดูสะดุดตายิ่งนัก
ลวดลายวิหคเพลิงปกคลุมไปทั่วกระบี่เล่มนั้น ที่ใดที่มันเคลื่อนผ่าน เพลิงสวรรค์จะสั่นไหว
“เหอะ…”
เสียงดูถูกเหยียดหยามดังมาจากในวังโบราณ “จิ่วเฟิ่ง ข้าอยากทำอะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า?! เผ่าวิหคเพลิงในตอนนั้นต่างล้มหายตายจาก เกรงว่าคงมีแต่เศษเสี้ยววิญญาณกับจิตสำนึกของเจ้าที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลก”
“ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่ามายุ่งเรื่องในวันนี้จะดีกว่า ไม่อย่างนั้น เศษเสี้ยววิญญาณสุดท้ายของเจ้าจะถูกทำลายไปจากโลก!”
หากจักรพรรดินีทรงสดับบทสนทนานี้ นางอาจคารวะร่างผู้หญิง ซึ่งอยู่บนท้องนภาก็เป็นได้
จิ่วเฟิ่งผู้นี้คืออดีตมหาปุโรหิตของเผ่าวิหคเพลิง สถานะของนางจึงสูงส่งยิ่ง!
ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดสายเลือดวิหคเพลิง จักรพรรดินีจึงควรแสดงความเคารพต่อนางผู้นี้!
จิ่วเฟิ่งหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ราชันมาร เจ้าพยายามจะทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวด้วยคำพูดนี้งั้นหรือ?! หากมีความมั่นใจสักห้าสิบส่วนก็คงลงมือไปแล้ว ไยต้องเสียเวลาพูดจากดดันเช่นนี้ด้วยเล่า?!”
“หากไม่มีปัญญาก็จงหลับใหลไปเสียแต่โดยดี อย่าออกมารนหาที่ตายให้มากนัก!”
“ถึงอย่างไรข้าก็ตายแล้ว หากทำให้จิตสำนึกของเจ้าถูกทำลายได้ ก็ถือเป็นการกระทำที่ดีสำหรับข้า!”
สิ้นคำของจิ่วเฟิ่ง ทั่วหล้าพลันเงียบสงัด
หลังจากนั้น พลังมารในอากาศก็ถอยกลับไป แล้วมือสีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก่อนเคลื่อนเข้าหาหญิงสาว
“ดีเลย!”
ผู้หญิงหัวเราะคิกคัก พลันชูกระบี่หนักขึ้น เพลิงสวรรค์ไร้ที่สิ้นสุดยังคงอาบไล้ไปทั่ว ขณะที่เสียงร้องของวิหคเพลิงดังก้องทั่วหล้า!
มือยักษ์เคลื่อนลงมา ส่วนกระบี่หนักกวาดไปข้างหน้า
พลังมารอันบ้าคลั่งทำให้ท้องนภาลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
พลังทั้งสองชนิดกระหน่ำเข้าใส่กัน ส่งผลให้สีดำและแดงถาโถมเข้าใส่ทั่วฟ้าดิน
พวกมันผละออกจากกันทันทีที่เข้าปะทะ เสียงหมาป่าโหยหวนแว่วมาจากจุดนั้นก่อนกระจายไปทั่วทุกทิศทาง
ท้องนภาได้รับผลจากพลังอันแก่กล้านี้ ทำให้สรรพสิ่งพังทลายในชั่วพริบตา ฟ้าดินมืดมิดราวกับจุดจบโลกมาเยือน!
ยามคลื่นอากาศเคลื่อนลงมา พวกเจิ้งชิงเทียนก็ไร้พลังที่จะขัดขืน!
ลู่หยวนชำเลืองมองอากาศที่กำลังสั่นไหว แล้วหอคอยอสูรสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นก่อนจะพาเจิ้งชิงเทียนและสือจิ่วกลับเข้าไป
หวังไฉ่ทะยานออกจากแขนของลู่หยวน มันเงยหน้าขึ้นแล้วแผดเสียงคำราม ก่อนจะอันตรธานหายไป พริบตาต่อมา ศีรษะมังกรสีทองขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา พลังมังกรอันมหาศาลและชั่วร้ายปกป้องตัวเองกับอูโจ้วไว้!
ตู้ม!
คลื่นอากาศกวาดผ่านออกไป ทำให้พื้นดินถูกบดขยี้จนเป็นผุยผงในชั่วพริบตา!
พลังของวังไฉ่เริ่มอ่อนกำลังลงเมื่อตกอยู่ภายใต้ผลกระทบของพลังนี้!
หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยชา คลื่นอากาศก็หายไป
พลังมังกรหายไป นอกจากพื้นดินใต้เท้าของลู่หยวนและอูโจ้วแล้ว ทุกสิ่งก็ถูกทำลายสิ้น
จิ่วเฟิ่งผู้อยู่ห้วงอากาศชำเลืองมองอีกฝ่าย
เมื่อกระบี่หนักถูกยกขึ้น ก็ถูกพาดไว้บนบ่าของนาง “โห สมาชิกเผ่ามังกรมาได้ประจวบเหมาะพอดี แบบนี้โอกาสชนะของข้าก็จะเพิ่มขึ้น!”
ทันทีที่สิ้นคำ จิ่วเฟิ่งเอื้อมมือซ้ายออกไป แล้วร่างมายาขนาดใหญ่ก็พังทลายในชั่วพริบตา ก่อนกวาดมาทางจักรพรรดินีผู้นอนอยู่ด้านหลังช่องหัวใจโครงกระดูกสัตว์ประหลาด
ภาพมายาเข้าสู่ร่างของจักรพรรดินี ใบหน้าของนางที่เดิมซีดเซียวก็กลายเป็นสีชมพูอ่อน กระบี่หนักซึ่งเต็มไปด้วยเพลิงสวรรค์ตั้งตระหง่านบนท้องนภา ก่อนเปลวเพลิงจะกวาดผ่านออกไป
ทันใดนั้น!
เมื่อจักรพรรดินีได้สติ ดวงตาสีแดงร้อนแรงก็สั่นไหว ปราศจากความสงบเหมือนอย่างทุกที แต่กลับเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งของสวรรค์อันสูงส่ง!
บนท้องนภา มือสีดำซึ่งเกิดจากพลังมารที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ก็ฟาดลงมาอีกครั้ง