ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 332 จักรพรรดินีถึงแก่ความตาย!
บทที่ 332 จักรพรรดินีถึงแก่ความตาย!
บทที่ 332 จักรพรรดินีถึงแก่ความตาย!
แม้ลู่หยวนไม่ตั้งใจจะไล่ตามอีกฝ่าย แต่ชิวเสวียนก็ไม่ยอมปล่อยเขาไป
ร่างส่วนใหญ่ของเขาอยู่ในหลุมดำ ทำให้สามารถจากไปได้ทุกเมื่อ
ชิวเสวียนจ้องมองลู่หยวนในสภาพมีรอยตบขนาดใหญ่อยู่ที่แก้มทั้งสองข้าง
“ข้าจะให้เจ้าได้ชดใช้กับสิ่งที่ทำนับร้อยเท่า!”
“เจ้ากล้าบอกชื่อข้าหรือไม่?!”
ลู่หยวนเดาะลิ้นด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เหตุใดบุตรแห่งโชคชะตาทุกคนถึงมีนิสัยเช่นนี้?
เหตุใดถึงชอบปากดีก่อนจะไปด้วยเล่า?!
ลู่หยวนยิ้มหยันแล้วเอ่ยนามโดยไม่เหลียวหลังกลับมา “ฉู่เชิ่ง”
ชิวเสวียนสลักสองคำนี้เอาไว้ในใจ ก่อนชำเลืองมองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยว่า “ดี ฉู่เชิ่ง ข้าจะจำเอาไว้ เมื่อเจ้ากับข้าพบกันอีกครั้ง วันนั้นจะเป็นวันตายของเจ้า!”
มุมปากของลู่หยวนกระตุก เขายกมือขวาราวกับจะตบปากอีกฝ่าย
เมื่อเห็นท่าไม่ดี ชิวเสวียนก็กระโจนทั้งร่างเข้าไปในหลุมดำ กลิ่นอายพลันมลายก่อนร่างของเขาจะหายไปพร้อมกับหลุมดำ
สายตาของลู่หยวนจับจ้องไปยังช่องว่างบนพื้นที่หินหลอมเหลวทะลักออกมา
ช่องว่างยังคงขยายตัวโดยมีพลังแปลกประหลาดแผ่กระจายออกมา
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ลู่หยวนรู้สึกว่าพลังนั้นคล้ายกับพลังแห่งความตาย
อูโจ้วและวั่งไฉกลับมาอยู่ข้างกาย
วั่งไฉตรงเข้ามาเกาะแขนของลู่หยวนเพื่องีบหลับ
อูโจ้วประสานมือทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “นายท่าน ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด มันน่าจะเป็นจุดที่ขนวิหคเพลิงแท้จริงอยู่!”
“เพียงแต่กลิ่นอายตรงหน้าค่อนข้างแปลกประหลาด!”
หลังจากรออยู่หลายอึดใจ หินหลอมเหลวยิ่งทะลักออกมา กลิ่นอายแห่งความตายยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ก่อนจะมีสายลมพัดพาออกจากช่องว่าง
ทันใดนั้น!
พลังบางอย่างทะยานออกมา คลื่นกระแทกซึ่งเป็นของแปดแดนร้างแผ่กระจายออกมา
เปลวเพลิงนับไม่ถ้วนลุกลามอย่างคลุ้มคลั่ง พร้อมทั้งมุ่งตรงสู่ท้องนภาแล้วเวียนวนอยู่รอบเมฆา
โฮก!
เมื่อวั่งไฉสัมผัสถึงกลิ่นอายโบราณนี้ได้ มันก็เป็นฝ่ายแผดเสียงคำรามออกมาก่อน
ลู่หยวนก้มมองลงไปก่อนจะพบว่าเกล็ดมังกรบนร่างของมันสั่นไหว
แสงสีทองยังคงแผ่ออกมาจากร่างของวั่งไฉราวกับกำลังตอบสนองพลังซึ่งอยู่ไม่ไกล
ทันใดนั้น!
แสงสีแดงอันร้อนแรงทะยานออกมาจากช่องว่างนั้นอีกครั้ง ก่อนเสียงร้องวิหคเพลิงจะเปล่งออกมา
เมื่อสิ้นเสียงนั้น ร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากช่องว่างแล้วมุ่งตรงสู่ท้องนภา
วิ้ง!
เสียงคำรามดังขึ้นระหว่างฟ้าดิน
เปลวเพลิงหลอมละลายหมู่เมฆจนสิ้น ร่างซึ่งยืนตระหง่านในอากาศปรากฏแก่สายตาของลู่หยวน
เขามีสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อเห็นเจ้าของร่างอย่างแจ่มชัด
“จักรพรรดินีหรือ?”
เขาสนใจแต่ชิวเสวียนจนลืมไปว่าจักรพรรดินียังนอนแน่นิ่งกับพื้น โดยปราศจากร่องรอยแห่งชีวิต
ตอนนี้นางลอยอยู่ในอากาศ ใบหน้าซีดเผือด ปากคล้ำ หน้าอกไม่มีการกระเพื่อมขึ้นลง
ราวกับสิ้นลมหายใจไปแล้ว
เมื่อครู่จิ่วเฟิ่งควบคุมร่างของจักรพรรดินีเพื่อต่อสู้กับเศษเสี้ยววิญญาณของราชันมาร ซึ่งนางได้ใช้เศษเสี้ยววิญญาณและร่างกายของจักรพรรดินีจนหมดสิ้น
นางเติมเต็มส่วนที่สูญเสียในร่างของอีกฝ่ายจนกลับมาอยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้ที่สุด
แต่ร่างของจักรพรรดินีไม่สามารถแบกรับทั้งหมดนี้ได้ไหว ตอนถูกโครงกระดูกสัตว์ประหลาดควบคุม นางก็ใช้พละกำลังไปมาก
บัดนี้ร่างยังมาอยู่ในสภาพนี้อีก หลังจากส่วนที่ได้เติมเต็มหายไป ย่อมก่อความเสียหายกับร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จักรพรรดินีไร้ซึ่งชีวิต ราวกับเป็นบุคคลที่ตายไปแล้ว!
…
แดนมัชฌิม
ผู้บ่มเพาะวิถีลึกลับนับไม่ถ้วนเริ่มทำนายเหมือนทุกที แต่หลังจากผลของการทำนายปรากฏขึ้น สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปมากราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้เห็น
แทบทุกคนเริ่มทำนายอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะพยายามอีกกี่ครั้ง ผลลัพธ์ก็ยังแปลกประหลาดเหมือนเดิม
“ไม่มีกว้า (ทำนายไม่ได้) หรือ?”
“เป็นไม่มีกว้าได้อย่างไร?!”
“ตั้งแต่แผ่นดินหยวนหงถือกำเนิดขึ้นมา ไม่เคยมีผู้ใดพบกับปรากฏการณ์การทำนายได้ไม่มีกว้ามาก่อน!”
คนเหล่านี้ยิ่งสับสนกับคำทำนายที่ได้รับ ดังนั้นจึงพากันทะยานออกมาคนแล้วคนเล่า
สหายแห่งวิถีลึกลับจำนวนมากต่างเดินทางมาพร้อมกันด้วยความอยากแบ่งปันคำทำนายให้ทราบ
ผู้ที่มีความรู้เรื่องการทำนายก็เริ่มลงมือเช่นกัน
“ไม่มีกว้าหรือ?”
“ทำไมยังเป็นไม่มีกว้าอยู่อีก?!”
“เจ้าก็ได้ไม่มีกว้าหรือ? ข้าทำนายมาสามครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!”
“ข้าทำนายมากกว่าเก้าสิบครั้ง แต่ก็ยังได้ไม่มีกว้า!”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ ไม่เคยมีครั้งไหนที่สหายเต๋าทั้งหลายสามารถทำนายออกมาเป็นไม่มีกว้าได้!”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าโลกใบนี้…”
“ชู่ว์ พี่ชายระวังคำพูดหน่อย!”
ผู้คนซึ่งอยู่ตามเมืองทั้งหลายในแดนมัชฌิมต่างแตกตื่น
ตระกูลชั้นสูงจำนวนมากรีบเรียกสมาชิกตระกูลมารวมกัน
พวกเขารวมตัวรอบกระดานทำนายคนแล้วคนเล่าเพื่อพยายามทำความเข้าใจความจริงตรงหน้า
ต้องทราบก่อนว่าคนที่อยู่ในวิถีลึกลับสามารถไขว่คว้าโชคชะตาได้ไม่มากก็น้อย
ซึ่งทุกวันนี้ไม่มีกว้าเป็นสิ่งที่หาได้ยาก! แต่ตอนนี้พอเริ่มทำนาย ผลกลับออกมาเป็นไม่มีกว้าทั้งหมด!
เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกใบนี้?!
…
วังจักรพรรดิแดนมัชฌิม
เนี่ยอิ่งกำสร้อยข้อมือระลอกคลื่นด้วยสายตาว่างเปล่า ตัวสร้อยแตกร้าว และไม่มีความผันผวนแผ่ออกมาอีก
ปรากฏการณ์เหล่านี้ล้วนบ่งชี้ว่าจักรพรรดินีสิ้นแล้ว!
เขาไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ เขาได้ให้สัญญากับจักรพรรดินีคนก่อนไว้แล้วว่าจะปกป้องกู่จินเจาจนตัวตายให้จงได้
แต่คาดไม่ถึงว่าบัดนี้นางจะถึงแก่ความตาย หากเขาให้การปกป้องได้ จุดจบของอีกฝ่ายคงไม่มาถึงเร็วขนาดนี้!
ผ่านไปสักพัก เนี่ยอิ่งก็ลุกขึ้นเดิน
มือข้างหนึ่งกำสร้อยข้อมือ ส่วนอีกข้างถือดาบ โดยที่เขายังก้าวต่อไป
สายตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารไร้ที่สิ้นสุด!
ถึงแม้ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลักพาตัวจักรพรรดินี แต่เขาพอจะทราบว่าคนที่พาตัวนางไปนั้นเป็นใคร!
เพียงแต่เขาไม่สามารถเข้าดินแดนลับได้ เขาต้องใช้ผู้มีสายเลือดราชวงศ์สักคนในการเปิดค่ายกลก่อนจึงจะเข้าไปได้!
บัดนี้ มีเพียงผู้เดียวที่สามารถเปิดค่ายกลนี้ได้อีกครั้ง!
เนี่ยอิ่งลากดาบยาวตรงไปที่สุสานกระบี่ในแดนมัชฌิม ทันทีที่เข้าใกล้จุดหมาย เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารไร้ที่สิ้นสุดซึ่งอยู่รอบข้าง
สิ่งที่ถูกผนึกอยู่ที่นี่จะต้องเป็นปราณกระบี่หรือเคล็ดกระบี่ที่อันตรายที่สุดในโลกเป็นแน่!
กู่อี้เจี้ยนผู้เป็นน้องสาวของจักรพรรดินีกำลังฝึกฝนอยู่ที่นี่!
เมื่อก้าวไปข้างหน้า เสียงกระบี่นับไม่ถ้วนดังขึ้นรอบข้าง เพียงชั่วพริบตา ปราณกระบี่คมปลาบทั้งหลายก็เล็งมาที่เนี่ยอิ่ง
เจตจำนงกระบี่ทะยานเข้ามาแล้วหยุดนิ่งตรงหน้าเนี่ยอิ่ง แล้วเสียงโบราณก็เอ่ยออกมา “โอหัง!”
“นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์เนินกระบี่ ผู้ปราศจากสายเลือดราชวงศ์ของแดนมัชฌิมย่อมไม่มีสิทธิ์ย่างกรายเข้ามาที่นี่!”
“ผู้ฝ่าฝืนต้องถูกฆ่า!”
เนี่ยอิ่งลากดาบยาวขณะชำเลืองมอง “หลีกไป!”