ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 356 อำนาจอันน่าสะพรึงกลัว
บทที่ 356 อำนาจอันน่าสะพรึงกลัว
บทที่ 356 อำนาจอันน่าสะพรึงกลัว
เมื่อนักพรตปู้เฉินในระฆังกำลังจะลงมือ ร่างกายพลันสั่นสะท้าน พลังรอบข้างเบาบางลงในชั่วพริบตา ทว่าเขากลับดูสุขุมมาก ทั้งที่ปราณวิญญาณยิ่งอ่อนแรง ภาพนี้ดูย้อนแย้งอย่างชัดเจน
มู่พ่านซานถือกระบี่นิ่ง มุมปากยกยิ้มอย่างเห็นได้ชัด
“นักพรตเฒ่า ในที่สุดเจ้าก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ?!”
น้ำเสียงของมู่พ่านซานเปลี่ยนไปราวกับไม่ได้กำลังสนทนากับนักพรตปู้เฉิน
เขาเห็นเพียงดวงตาของนักพรตปู้เฉินทอประกายด้วยแสงสีทอง
“อมิตตาพุทธ!”
นักพรตเอ่ยนามของพระพุทธองค์ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและแผ่วเบา ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสงบราวกับแสงแห่งพุทธคุณกำลังชะล้างจิตใจ
“มู่พ่านซาน เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว เจ้ากับข้ามาตัดสินกันในกระบวนท่าเดียวไปเลย! ถ้าข้าแพ้ วัดของข้าจะถอนตัวจากการแข่งขัน!”
รอยยิ้มของมู่พ่านซานจางหาย แม้ร่างของผู้ชายตรงหน้ายังคงเป็นนักพรตปู้เฉิน แต่เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนครอบงำจิตวิญญาณของอีกฝ่ายก่อนจะยึดครองร่างไป!
ซึ่งผู้ยึดครองร่างก็คืออดีตเจ้าอาวาสของวัดวิถีลึกลับ ไม่มีใครทราบชื่อเสียงเรียงนาม แม้กระทั่งมู่พ่านซานยังเรียกอีกฝ่ายว่านักพรตเฒ่า!
คนผู้นี้เก็บตัวมาช้านานเสียจนผู้คนทั้งหลายต่างลืมเลือนการกระทำของเขาไปแล้ว!
แต่มู่พ่านซานยังจำได้ว่าชายผู้นี้สังหารคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันมากกว่าสามสิบคนได้ในหนึ่งกระบวนท่า ก่อนจะกลายเป็นเจ้าอาวาสของวัดวิถีลึกลับ!
นอกจากพลังของคนผู้นี้จะร้ายกาจแล้ว ความโหดเหี้ยมก็ไม่เป็นสองรองใคร!
นักพรตปู้เฉินประสานมือเข้าหากันขณะก้มศีรษะ ก่อนจะท่องพระสูตรและสวดมนต์อย่างต่อเนื่อง
มีแสงพุทธองค์สาดส่องมาจากด้านหลังตอนนี้ ท่ามกลางแสงพุทธนั้น มีรูปปั้นพระพุทธองค์สีทองขนาดใหญ่สะท้อนไปทั่วท้องนภา!
ร่างสีทองของรูปปั้นนั้นประหนึ่งพระศรีอริยเมตไตรย ซึ่งอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ มือข้างหนึ่งชี้ฟ้า ส่วนมืออีกข้างแบอยู่ในอากาศ
นักพรตปู้เฉินพุ่งลงมาอยู่บนฝ่ามือของร่างสีทอง
ชั่วพริบตาต่อมา พลังของเขาจางหายไป แม้กระทั่งใบหน้าก็แก่ชรา เพียงไม่กี่อึดใจ หนวดเคราก็กลายเป็นสีขาว ผิวพรรณเหี่ยวย่น
“ข้านึกอยู่แล้ว!”
มู่พ่านซานลอบถอนหายใจให้กับความโหดเหี้ยมของนักพรตเฒ่าผู้นี้!
ทุกวันนี้วัดวิถีลึกลับมียอดฝีมือไม่มากนัก ซึ่งนักพรตปู้เฉินคือหนึ่งในนั้น!
ถึงอย่างไรชายผู้นี้ก็อยู่ขั้นจ้าวยุทธ์!
เกรงว่าวัดวิถีลึกลับคงหาคนแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว!
แต่นักพรตเฒ่าผู้นี้ถึงกับกลืนกินชีวิตของนักพรตปู้เฉินเพื่อเตรียมปิดฉากกับมู่พ่านซาน!
เมื่อสิ้นสุดกระบวนท่านี้ ไม่ว่าใครเป็นผู้ชนะ นักพรตปู้เฉินก็ต้องตาย!
“มู่พ่านซาน เตรียมรับมือ!”
เสียงอันแผ่วเบาดังขึ้นอีกครั้งขณะที่ร่างสีทองของรูปปั้นพระพุทธองค์ในอากาศเริ่มขยับ ฝ่ามือซึ่งกำลังชี้ฟ้าพลันพลิกคว่ำ ทำให้พื้นดินส่วนใหญ่ถูกฝ่ามือนี้ปกคลุม!
“พันฝ่ามือ ฟาด!”
เมื่อสิ้นเสียง ฝ่ามือสีทองพลันฟาดเข้าใส่มู่พ่านซานในอากาศ!
กระบี่ของเขาเคลื่อนตัวจากทุกทิศทางแล้วมุ่งสู่หมู่เมฆในสวรรค์ชั้นเก้า ก่อนจะกลายเป็นกระบี่เมฆาแล้วแทงเข้าใส่พระพุทธองค์!
โครม! โครม! โครม!
พลังทั้งสองชนิดทั้งทรงพลังและแตกต่างกัน พวกมันเข้าปะทะกันบนท้องนภาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
เมื่อกระบี่เมฆากำลังจะเผด็จศึกรูปปั้นพระพุทธองค์ อีกฝ่ายกลับไม่ขยับ ก่อนที่พลังทั้งหมดจะถูกโคจรไปที่ทักษะพันฝ่ามือซึ่งกำลังรุกคืบเข้ามา!
กระบวนท่าดังกล่าวมาถึงตรงหน้ามู่พ่านซานอย่างรวดเร็ว แม้แต่เขาก็สัมผัสถึงแรงกดดันจากฝ่ามือขนาดใหญ่ได้เช่นกัน!
เขาขยับกระบี่ในมือไปมา ขนาดของมันพลันขยายเป็นหนึ่งร้อยจั้ง
พลังของมู่พ่านซานลึกล้ำ จากนั้นเขาก็ฟาดฟันกระบี่เข้าใส่ฝ่ามือทันที!
ฟ้าว!
สิ้นเสียงแหวกอากาศ กระบี่ทะยานออกไปอย่างรุนแรง แต่เมื่อกำลังจะปะทะกับเป้าหมาย ฝ่ามือก็หายไปในบัดดล
ตู้ม!
กระบี่ฟาดฟันผ่านอากาศขณะกวาดไปทางพื้นที่ด้านหลัง ทำให้อากาศแตกสลายพร้อมกับปราณวิญญาณนับไม่ถ้วนไหลย้อนกลับ เพื่อเติมเต็มรอยแยกอย่างต่อเนื่อง
ในจังหวะนี้!
ฝ่ามือพระพุทธองค์นับไม่ถ้วนเรียงแถวกันอยู่บนท้องนภา พวกมันปิดล้อมมู่พ่านซานแทบทุกทิศทาง
พวกมันเคลื่อนลงมา ทั้งพละกำลังและความเร็วต่างมากกว่าฝ่ามือก่อนหน้านี้หลายสิบเท่า!
มู่พ่านซานย่อมไม่สามารถเรียกกระบี่กลับมาปัดป้องได้ทันเวลา
ตู้ม!
พันฝ่ามือเคลื่อนลงมาจนเกิดเสียงระเบิดดังอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างของมู่พ่านซานจมหายไปในทันที!
ในเวลาเดียวกัน กระบี่เมฆาซึ่งกวาดผ่านไปทั่วหล้าฟาดเข้าใส่รูปปั้นสีทองจนเกิดรอยแยกตามแนวนอน แล้วสูญสิ้นพลังไปทันควัน!
สวีอวิ๋นมองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยหัวใจกระสับกระส่าย
สถานการณ์เช่นนี้มีแต่เสียกับเสียไม่ใช่หรือ?!
สวีอวิ๋นตัดสินใจอย่างเด็ดขาด นางกุมดาบยาวไว้มั่นแล้วตรงเข้าหาเส้นชีพจรจักรพรรดิ
เมื่อนางกำลังจะเข้าใกล้ค่ายกลที่ทำหน้าที่ปกป้องอยู่ ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่าอากาศด้านหลังเริ่มเกิดความผันผวน ทำให้ร่างของนางหยุดนิ่ง ก่อนปราณกระบี่จะฟาดฟันเข้ามาจากทั่วทุกทิศทางพร้อมกับทะลวงทั่วทั้งร่าง!
พรวด!
ดวงตาของสวีอวิ๋นเบิกกว้างขณะโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วทุกหนแห่ง ร่างของนางแน่นิ่งก่อนจะกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง
ดวงตาที่ยังไม่ปิดสนิทของนางเหลือบมองขึ้นไปตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพบมู่พ่านซานยืนอยู่ในอากาศพร้อมถือกระบี่ไว้ในมือ ฝุ่นธุลีตกลงมาจากรอบตัวขณะที่ปราณกระบี่โคจรไปมา ราวกับการโจมตีสะเทือนสวรรค์เมื่อครู่ไม่ส่งผลต่ออีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว!
สำนักและตระกูลชั้นสูงส่วนใหญ่ที่เตรียมจะลงมือถึงกับแข็งทื่อหลังจากเห็นการต่อสู้ของมู่พ่านซาน
นักพรตเฒ่าผู้ควบคุมนักพรตปู้เฉินมีรากฐานการบ่มเพาะขั้นครึ่งก้าวอมตยุทธ์ก่อนจะเข้าสู่การเก็บตัว
คราวนี้ชีวิตของนักพรตปู้เฉินถูกเผาผลาญเพื่ออัญเชิญพันฝ่ามือออกมา แม้กระทั่งผู้อยู่ขั้นอมตยุทธ์ก็ยังต้องชดใช้เช่นกัน แต่มู่พ่านซานยังคงยืนตัวตรง แม้กระทั่งชุดคลุมก็ไม่มีฝุ่นเปรอะเปื้อน!
ส่วนสวีอวิ๋นอยู่ขั้นครึ่งก้าวจ้าวยุทธ์ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย นางกลับต้านทานกระบี่เล่มนั้นไม่ได้ และถึงแก่ความตายทันที!
ต่อหน้าความแข็งแกร่งนี้ พวกเขาที่เดิมประเมินความสามารถตนเองไว้สูงก็เริ่มคิดทบทวนใหม่
เดิมพวกเขาคิดว่าจะฆ่าหรือต้านทานมู่พ่านซานได้ด้วยความช่วยเหลือของคนจำนวนมาก แต่กองซากศพทั้งนอกและในวังจักรพรรดิแดนมัชฌิมกำลังบอกว่าไม่มีทางทำได้!
พวกเขาผ่านมู่พ่านซานยังไม่ได้ นับประสาอะไรกับเส้นชีพจรจักรพรรดิ!
ตระกูลทั้งหลายต่างรีบสนทนากันเกี่ยวกับมาตรการรับมือ ทำให้ทุกคนสงบสติลงได้ก่อนจะรอรับคำสั่ง แล้วความคิดที่จะเริ่มการต่อสู้ก็เลือนหายไป
รอดูก่อนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้อีกหรือไม่ จากนั้นค่อยมองหาโอกาสว่าจะทำอะไรได้บ้าง!
มู่พ่านซานมองทั่ววังจักรพรรดิแดนมัชฌิม เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่ยังคงยืนหยัดอยู่
ไม่ว่าจะสมาชิกของตระกูลชั้นสูงหรือองครักษ์ พวกเขาล้วนกลายเป็นศพกองกับพื้น โลหิตไหลนองเป็นสายธารก่อนจะชะล้างไปทั่วพื้นของวังจักรพรรดิ!
มู่พ่านซานลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในที่สุดเขาก็สยบคนเหล่านี้ลงได้ เพราะหลังจบการต่อสู้เมื่อครู่ เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้า
ส่วนมือของเขาที่ถูกเพลิงสวรรค์แผดเผาก็เริ่มเจ็บแปลบขึ้นมา!