ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 359 กองกำลังที่สาม… ฉู่เชิ่ง!
บทที่ 359 กองกำลังที่สาม… ฉู่เชิ่ง!
บทที่ 359 กองกำลังที่สาม… ฉู่เชิ่ง!
บรรพชนตระกูลหลิงสบถด้วยความวิตกอย่างยิ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าหยุดได้ บรรพชนผู้นี้ก็ขอฝากหน้าที่นี้ไว้ก็แล้วกัน!”
ลู่เทียนเฟิ่งส่งยิ้มให้แทนคำตอบ
จากนั้นเขามองไปที่คลื่นอากาศสังหาร
ลู่เทียนเฟิ่งหยิบขาไก่ออกมาแล้วกินเนื้อที่เหลือภายในสองสามคำ จากนั้นโยนมันไปทางด้านหน้าจวนตระกูลหลิง
บรรพชนตระกูลหลิงแทบกระอักโลหิตเมื่อเห็นเช่นนี้ นึกแล้วว่าเจ้าเด็กคนนี้มันไว้ใจไม่ได้!
การโยนขาไก่ช่วยอะไรได้หรือไร!
หรือว่าสิ่งนี้สามารถกวาดล้างคลื่นอากาศที่กำลังเข้ามาจนหมดได้จริง?!
หากขาไก่นี้มีประโยชน์ขนาดนั้น วันนี้เขาจะฆ่าตัวตาย…
ก่อนบรรพชนของตระกูลหลิงจะทันเรียบเรียงความคิดเสร็จ ขาไก่ก็เคลื่อนผ่านไปก่อนตกลงในพื้นที่โล่งนอกจวนตระกูลหลิง ทั้งยังกระดอนขึ้นเล็กน้อย
ในตอนนี้เอง!
ขณะคลื่นอากาศกำลังบดทำลายอยู่นั้น บรรพชนของตระกูลหลิงก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ การป้องกันของอีกฝ่ายจะเป็นตัวตัดสินว่าลูกหลานของตระกูลจะมีชีวิตรอดได้หรือไม่!
ทันใดนั้น ปราณกระบี่ก็ทะยานสู่ท้องนภาเหนือขาไก่ ก่อนที่เจตจำนงกระบี่จะฟาดฟันไปมา
ฟิ้ว!
ราวกับเสียงกระบี่ยาวกระแทกลงกับพื้น มันดังก้องไปทั่วหล้า
คลื่นอากาศที่กำลังโจมตีเข้ามายามนี้กลับหยุดนิ่ง จากนั้นเจตจำนงกระบี่อันทรงพลังก็เคลื่อนลงมาสู่โลกก่อนจะปกคลุมทั่วทั้งจวนตระกูลหลิงเอาไว้!
พวกมันพุ่งขึ้นแล้วกระจายไปรอบข้างประหนึ่งโล่ ทำให้กระแสอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังบดขยี้ทุกสิ่งเปลี่ยนทิศทาง!
เพียงชั่วพริบตา ทั่วทั้งจวนตระกูลหลิงตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนมองลู่เทียนเฟิ่งด้วยสายตาเคารพ ชื่นชมและยำเกรงหาใดเปรียบ!
บรรพชนตระกูลหลิงมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
ลู่เทียนเฟิ่งยืนเอามือไพล่หลัง แม้จะปราศจากสายลม แต่ชุดคลุมของเขากลับพลิ้วไหว เขาเชิดหน้าขึ้นแล้วแสร้งปั้นสีหน้าสบายอารมณ์ออกมา
ถ้าไม่ใช่เพราะเวลากระชั้นชิด เขาคงเหลือบมองใบหน้าของคนจากตระกูลหลิงผู้อยู่เบื้องล่างด้วยท่วงท่าของผู้แข็งแกร่งไปแล้ว
“ก็แค่เสแสร้งเท่านั้น…”
ลู่หยวนส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ
ไม่แปลกใจเลยที่เขามักได้ยินพ่อผู้ไม่เอาไหนบอกว่าอาคนนี้ชอบทำตัวโอ้อวด!
ในที่สุดวันนี้ก็ได้เห็นกับตาแล้ว!
ลู่เทียนเฟิ่งพึงพอใจกับสีหน้านับถือเหล่านั้นก่อนจะร่อนลงมา เขาเดินมาหาลู่หยวนพร้อมเงยหน้าขึ้นสูง จากนั้นจึงนั่งพิงเก้าอี้หินพร้อมไออย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ใช้พลังกระบี่มานานก็เลยรู้สึกว่าฝีมือตกไปหน่อย”
สมาชิกตระกูลหลิงต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้
ฝีมือตกยังขนาดนี้ ถ้ายามปกติจะร้ายกาจแค่ไหน?!
แค่ปราณกระบี่เดียวจะสามารถสังหารต้วนเวิ่นเทียนกับมู่พ่านซานได้กระมัง?!
ลู่หยวนเอียงศีรษะขณะโน้มกายมาหาลู่เทียนเฟิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่มีเพียงพวกเขาได้ยิน “อาเฟิ่ง เลิกโอ้อวดได้แล้ว เดี๋ยวฟ้าก็ผ่าเอาหรอก!”
ลู่เทียนเฟิ่งชำเลืองมองลู่หยวนอย่างไม่พอใจแล้วกำลังจะเอ่ย
แต่ลู่หยวนชิงกลับเอ่ยต่อว่า “ต่อให้พยายามปกปิดอย่างสุดความสามารถ ข้าก็ยังสัมผัสได้ว่าท่านกินโอสถระดับสามจำนวนสิบเม็ดเข้าไปถึงจะใช้กระบี่เล่มนี้ได้”
ลู่เทียนเฟิ่งอับอายยิ่งเมื่อถูกเปิดโปง ก่อนจะโต้แย้ง “ถ้าเจ้ากล้าแพร่งพราย ข้าจะแทงด้วยกระบี่ให้พรุน เชื่อหรือไม่?!”
ลู่หยวนยิ้มแล้วนั่งตัวตรง พร้อมมองเข้าไปในอากาศ
คลื่นอากาศถล่มเมืองไปกว่าสามสิบแห่งในแดนมัชฌิม สิ่งปลูกสร้างและผู้คนนับไม่ถ้วนถูกทำลายหายไปสิ้น มีเพียงไม่กี่ตระกูลที่บรรพชนออกโรงขัดขืนด้วยตนเองเท่านั้นจึงช่วยชีวิตลูกหลานจนรอดมาได้!
ต้วนเวิ่นเทียนกับมู่พ่านซานผู้อยู่เหนือท้องนภายังคงตั้งท่าต่อสู้ แม้พลังของกระแสอากาศขนาดใหญ่ได้หายไปแล้วก็ตาม
มุมปากของพวกเขาพลันมีโลหิตไหลลงมา
ด้านข้าง โล่อันที่ห้าปรากฏเบื้องหน้าสวีชู่กับสวี่หลิวอวิ๋น หลังจากนั้นพวกเขาจึงมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
สวี่หลิวอวิ๋นสบถเสียงต่ำ “สองคนนั้นกะเอาถึงตายเลยหรือไร! ประมือเพียงครั้งเดียว แต่ทำลายอาวุธวิเศษของพวกเราไปถึงสี่ชิ้น!”
“ใช่ ๆ!”
สวีชู่ขานรับจากข้างกายขณะกุมดาบตัดกระดูกไว้มั่น ภายในใจรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง
หากเมื่อครู่สวี่หลิวอวิ๋นยกโล่ขึ้นไม่ทัน เขาอาจจะได้รับผลกระทบจากคลื่นอากาศนี้ก็เป็นได้!
“เกรงว่าจะหาผู้ชนะได้ไม่ง่ายเสียแล้ว!”
สวี่หลิวอวิ๋นหรี่ตาก่อนจะสรุปเช่นนี้
สวีชู่ผู้อยู่ข้างกายไม่ตอบ เขาไม่สนว่าใครจะชนะ ขอเพียงสถานการณ์จบลงไว ๆ ก็พอแล้ว!
หากมีการต่อสู้แบบนี้เกิดขึ้นอีก เขาอาจจะไม่รอดชีวิตก็เป็นได้!
สายตาของต้วนเวิ่นเทียนผู้อยู่เหนือท้องนภามั่นคงขณะจับจ้องมู่พ่านซานประหนึ่งพยัคฆ์
มู่พ่านซานมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกตึงเครียด
เขารู้สึกว่าเรี่ยวแรงเริ่มหดหาย!
มือที่กุมกระบี่เอาไว้เริ่มสั่นเทา ความรู้สึกแสบร้อนจากเพลิงสวรรค์ยิ่งเพิ่มพูน!
มู่พ่านซานทราบว่าการต่อสู้ระยะยาวไม่ใช่ผลดี!
หลังจากตัดสินใจเรียบร้อย ร่างของเขาพลันขยับ ปราณกระบี่คลายตัวจากการต่อสู้อย่างรวดเร็วก่อนจะล่าถอยออกมา ยันต์ซึ่งถูกประทับไว้ถูกส่งไปตรงหน้าต้วนเวิ่นเทียนทันที
แสงสว่างสาดส่องออกมาจากยันต์ ขณะที่อักขระนับไม่ถ้วนโคจรไปมาก่อนจะปิดล้อมต้วนเวิ่นเทียนไว้อย่างสมบูรณ์
กระบี่ร่นถอยก่อนจะรวบรวมพละกำลังอีกครั้ง แล้วฟาดฟันออกไปในทันที
ภายใต้การโจมตีประสานของยันต์และกระบี่ พลังของต้วนเวิ่นเทียนก็โคจรอย่างเต็มที่ ก่อนหอกหนักจะกวาดออกไป
ตู้ม!
ทั้งสองคนประมือกันอีกครั้งขณะพลังนับไม่ถ้วนกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง
แต่คราวนี้พลังอ่อนกำลังลงมาก สวี่หลิวอวิ๋นเพียงยกโล่ขึ้นก็สามารถปัดป้องได้อย่างง่ายดาย
ยามนี้เองที่พวกเขาทราบว่าอีกฝ่ายใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว!
สู้กันต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์!
ความคิดของบางคนตื่นตัวอีกครั้ง แต่พวกเขายังคงเฝ้ามองและรอคอย ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครทราบว่าสองคนนี้มีแผนอะไรหรือไม่ หากลงมือตอนนี้ พวกเขาอาจจะสังหารอีกฝ่ายพร้อมกันไม่ได้!
แม้สายตาของทุกคนจะจับจ้องไปที่อีกฝ่าย แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหนึ่งในพวกเขากำลังเคลื่อนไปทางเส้นชีพจรจักรพรรดิของวังจักรพรรดิแดนมัชฌิมอย่างระแวดระวังและเงียบงัน
ภายในลานบ้านของตระกูลหลิง ดวงตาของเสวียนเทียนชวนปิดลงขณะที่เริ่มทำนาย
ทันทีที่ทำนายเสร็จ เขาก็มีสีหน้าตกตะลึงก่อนจะแจ้งลู่หยวนผ่านยันต์ในใจ
“นายท่าน สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วขอรับ!”
“ในบรรดาสามกองกำลัง มีคนหนึ่งที่เคลื่อนไหวแล้ว! เหตุต้นผลกรรมทั้งหมดกำลังพุ่งเข้าหาเขา!”
สายตาของลู่หยวนมืดมนลง
เสวียนเทียนชวนเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่ามีเพียงสามกองกำลังที่สามารถกำหนดสถานการณ์โดยรวมในแดนมัชฌิมได้
จากการคาดเดาของเขา หนึ่งคือลู่หยวน สองคือตระกูลชิว แต่ยังไม่ทราบว่าคนที่สามคือใคร!
ร่างของลู่หยวนวูบไหวแล้วยืนอยู่ในอากาศ ก่อนจะเฝ้าดูสถานการณ์โดยรวม
เขาพลันสังเกตเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังเดินวนเวียนอยู่รอบนอกวังจักรพรรดิแดนมัชฌิมอย่างระมัดระวัง
บัดนี้สถานที่ดังกล่าวราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว แต่ชายคนนั้นยังคงเคลื่อนไปตามกำแพงที่พังทลาย
ความสนใจของทุกคนจดจ่ออยู่ที่อากาศ ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็น!
ลู่หยวนพบว่าร่างนั้นคุ้นเคยอย่างมาก ก่อนมุมปากจะยกยิ้ม
“กองกำลังที่สาม… ฉู่เชิ่งหรือ?!”