ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 374 เจียงเชียนชิวพิชิตเส้นชีพจรจักรพรรดิ!
บทที่ 374 เจียงเชียนชิวพิชิตเส้นชีพจรจักรพรรดิ!
บทที่ 374 เจียงเชียนชิวพิชิตเส้นชีพจรจักรพรรดิ!
วาบ!
แสงสีทองระเบิดออกมาจากเส้นชีพจรจักรพรรดิ!
ก่อนที่ทุกคนจะทันมองออกว่าคนผู้นั้นเป็นใคร น้ำเสียงเกรี้ยวกราดก็ดังมาแต่ไกล
“เจียงเชียนชิว! กลับมาเดี๋ยวนี้!”
ทุกคนหันไปทางต้นเสียงก่อนจะพบกับเจียงสิงอวิ๋น ผู้เป็นประมุขตระกูลเจียงกับคนจำนวนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในอากาศซึ่งอยู่ไม่ไกล สีหน้าของเขาดูแทบไม่ได้
พวกเขาหลายคนมาถึงนอกเมืองหลวงของแดนมัชฌิมตอนที่มังกรสายฟ้าจุติลงมา แต่เนื่องจากมันทรงพลังอย่างมาก จึงทำให้พวกเขาต้องรออยู่ด้านนอกอยู่สักพักใหญ่ หลังจากพลังอันมหาศาลหายไปแล้วจึงกล้าเข้าไป!
เจียงสิงอวิ๋นยิ่งหวาดวิตก เขาเพียงมองปราดเดียวก็เข้าใจว่าการแย่งชิงเส้นชีพจรจักรพรรดิดุเดือดมากแค่ไหน!
เมืองหลวงของแดนมัชฌิมในวันนี้พังทลาย ไม่ต่างจากนรกบนดิน!
อย่าว่าแต่เจียงเชียนชิวเลย ต่อให้ทั้งตระกูลเจียงออกโรงก็ยังไม่ได้รับส่วนแบ่งจากสถานการณ์ในครั้งนี้!
เจียงเชียนชิวคือลูกชายเพียงคนเดียวของเจียงสิงอวิ๋น หากผู้เป็นลูกตายขึ้นมา เขาก็จะไร้ผู้สืบทอด!
แต่หลังจากตรวจสอบรอบข้างก็ไม่พบร่องรอยของเจียงเชียนชิว เจียงสิงอวิ๋นจึงเดือดดาลก่อนจะตะโกนออกมา!
แต่นอกจากสมาชิกตระกูลเหล่านั้นที่หันมามองแล้วก็ไม่มีใครขานรับ!
เจียงสิงอวิ๋นเหลือบมองไปทางเส้นชีพจรจักรพรรดิก่อนจะพบร่างของคนคนหนึ่งสวมชุดหรูหรายืนหันหลังให้พวกเขา มือข้างหนึ่งถือเส้นชีพจรจักรพรรดิ ส่วนมืออีกข้างถืออาวุธคล้ายกับง้าวเอาไว้!
หัวใจของเจียงสิงอวิ๋นเต้นระรัวด้วยความรู้สึกโชคดีที่ตนรอดจนมาถึงช่วงเวลานี้
ยามเส้นชีพจรจักรพรรดิตกอยู่ในมือของคนผู้หนึ่ง แดนมัชฌิมจักบังเกิดความสงบสุข!
เจียงสิงอวิ๋นยังไม่ทันลงมือก็เห็นผู้อาวุโสตระกูลเจียงทั้งหลายก้าวเข้ามาไม่หยุด พวกเขาต่างพากันคำนับไปทางเส้นชีพจรจักรพรรดิจนเอวแทบหัก ก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“ตระกูลเจียงขอแสดงความยินดีที่ท่านพิชิตเส้นชีพจรจักรพรรดิได้! ขอฝ่าบาทมีอายุยิ่งยืนนาน!”
ทุกคนล้วนแสดงสีหน้าประจบสอพลอ
ตระกูลชั้นสูงที่เหลือพลันตกตะลึง ในขณะที่บรรพชนทั้งหลายรู้สึกรังเกียจอยู่ในใจ
แม้พวกเจียงสิงอวิ๋นจะมองไม่เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่พวกเขาเห็นชัดเจน!
หนึ่งในบรรพชนตระกูลทั้งหลายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน “รอบนี้ตระกูลเจียงทำได้ดีทีเดียว เจียงสิงอวิ๋น เจ้าร้ายกาจไม่เบา ปล่อยให้ตระกูลอื่นต่อสู้กันแล้วค่อยออกมาเมื่อรู้ผลลัพธ์อย่างนั้นหรือ?”
เจียงสิงอวิ๋นไม่เข้าใจว่าคนผู้นี้หมายถึงอะไร แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีความอาวุโสกว่า เขาจึงประสานมือทำความเคารพ “ผู้อาวุโส ข้าไม่ทราบว่าท่านหมายความว่าอย่างไร ลูกชายของข้าหายตัวไปก็เลยออกมาหาตาม ตระกูลเจียงไม่มีความตั้งใจจะช่วงชิงเส้นชีพจรจักรพรรดิ!”
“งั้นหรือ?”
สีหน้าของบรรพชนของตระกูลทั้งหลายต่างเหยียดหยันแล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไร พวกเขาเพียงสะบัดมือก่อนจะกลับไปเก็บตัว
บัดนี้แดนมัชฌิมสงบลงแล้ว จึงไม่หลงเหลือโอกาสให้พวกเขาลงมืออีกต่อไป และไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก!
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของบรรพชนทั้งหลาย เจียงสิงอวิ๋นก็ยิ่งหวาดวิตก เขารีบประสานมือทำความเคารพอย่างหนักแน่น “ผู้อาวุโสทั้งหลาย ตระกูลเจียงไม่ได้ตั้งใจจะพิชิตเส้นชีพจรจักรพรรดิเลย ข้ากำลังจะถอนตัวแล้ว!”
เขากำลังจะคำนับเพื่อเอ่ยกับผู้ที่เพิ่งพิชิตเส้นชีพจรจักรพรรดิไปได้ แล้วเตรียมจะถอยไปรวมกับสมาชิกในตระกูล
หากหาเจียงเชียนชิวไม่พบก็ต้องหากันต่อไป แต่ถ้าทำให้ตระกูลอื่นไม่พอใจจะกลายเป็นปัญหาร้ายแรงเอาได้!
เสียงอันคุ้นเคยพลันดังมาจากเส้นชีพจรจักรพรรดิในยามนี้
“ท่านพ่อ เหตุใดต้องให้ความเคารพพวกเขา? พวกเขาต่างหากที่ต้องให้ความเคารพพวกเรา!”
“ไม่สิ ให้ความเคารพข้าต่างหาก!”
ทุกคนในตระกูลเจียงรีบหันไปมองทางเส้นชีพจรจักรพรรดิ
คนที่สวมชุดหรูและถือเส้นชีพจรจักรพรรดิเอาไว้คือเจียงเชียนชิว!
“เชียนชิวหรือ?!”
ดวงตาของเจียงสิงอวิ๋นหดลงด้วยความไม่อยากเชื่อ!
“เหอะ ๆ ๆ ๆ…”
เจียงเชียนชิวถือเส้นชีพจรจักรพรรดิเอาไว้ก่อนจะหลอมรวมมันเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นจึงยกยิ้ม
กลิ่นอายสูงสุดพลันระเบิดออกมาจากร่างของเจียงเชียนชิว ระดับการบ่มเพาะก็เพิ่มขึ้นในชั่วพริบตา เขาได้เข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวจ้าวยุทธ์แล้ว!
ครืน!!!
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นในท้องนภาสักพัก จากนั้นจึงตกอยู่ในความเงียบ
เจียงเชียนชิวมองสายฟ้าที่เพิ่งซัดลงมาจากบนท้องนภาก่อนจะหายไปในอึดใจ รอยยิ้มของเขายิ่งกว้างขณะดวงตาเต็มไปด้วยความหลงใหลไม่มีสิ้นสุด!
“ใช่แล้ว! หากมีเส้นชีพจรจักรพรรดิ แม้กระทั่งภัยพิบัติอัสนีก็ไม่อาจย่างกราย!”
ยามที่มันหลอมรวมเข้ากับร่างของเจียงเชียนชิว กลิ่นอายของเขาก็ทะยานสู่จุดสูงสุดในทันที!
หลังจากถอดชุดคลุมหรูออก ชุดคลุมมังกรพลันเผยความมีสง่าราศี!
เจียงเชียนชิวโยนง้าวมังกรครามแปดแดนร้างไปด้านหลังพลางกวาดสายตามองไปทั่วทุกทิศทาง ก่อนตะโกนเสียงดังว่า “ทุกท่าน บัดนี้แดนมัชฌิมสงบสุขแล้ว เหตุใดยังไม่ออกมาแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิองค์ใหม่อีก?!”
เจียงสิงอวิ๋นพลันตอบสนองด้วยการยืดตัวตรง “ฮ่า ๆ ๆ ๆ นึกอยู่แล้วว่าลูกชายข้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นจักรพรรดิ!”
สีหน้าของผู้อาวุโสตระกูลเจียงเปลี่ยนไปสักพัก
หากเจียงเชียนชิวกลายเป็นจักรพรรดิ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขา!
หลังจากการหมั้นหมายของเจียงเชียนชิวกับหลิงอวิ๋นถูกยกเลิก คนเหล่านี้ต่างก็ทำเรื่องเสียมารยาทต่ออีกฝ่ายไปมากมาย!
คนแรกเริ่มตอบสนองด้วยการคุกเข่าต่อหน้าเจียงเชียนชิวทันที ก่อนจะทำท่าคำนับ “คารวะฝ่าบาท! ขอฝ่าบาทมีอายุยิ่งยืนนาน!”
คนอื่นก็คุกเข่าลงเช่นกันโดยที่ไม่เอ่ยแสดงความยินดี พวกเขารู้สึกถึงแสงเย็นเยือกวาบผ่านก่อนสายธารอุ่นร้อนจะสาดกระเซ็นมาทางด้านหน้า
ผู้อาวุโสของตระกูลเจียงผู้คุกเข่าแสดงความยินดีเป็นคนแรกถูกเจียงเชียนชิวสังหารในกระบวนท่าเดียว!
น้ำเสียงของเจียงเชียนชิวเนิบช้า “นามของข้าคือสิ่งที่ขยะเช่นเจ้าคู่ควรจะเอื้อนเอ่ยหรือ?!”
ผู้อาวุโสคนอื่นยิ่งก้มศีรษะต่ำแล้วไม่กล้าเอ่ยอะไร พวกเขาเพียงทำท่าคำนับแล้วตะโกนเรียกฝ่าบาท
เจียงเชียนชิวชำเลืองมองไปทางตระกูลชั้นสูงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “แล้วพวกเจ้าเล่า?”
ตระกูลเหล่านี้ต่างก็ไม่พอใจเจียงเชียนชิวมากที่สุด!
ปกติเขาไม่ใช่คนที่โดดเด่นอะไรอยู่แล้ว ถึงแม้เส้นชีพจรจักรพรรดิจะอยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครได้มันไปก็จะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ แต่วิธีการของอีกฝ่ายมันออกจะ…
แต่สถานการณ์ได้ถูกตัดสินแล้วในยามนี้ ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ของตระกูลชั้นสูงเหล่านี้ต่างก็อยู่ในแดนมัชฌิม ทำให้ครั้งนี้พวกเขาต้องยอมกลั้นใจก้มหัวแต่โดยดี!
ตระกูลชั้นสูงทั้งหลายต่างก้มศีรษะ “คารวะฝ่าบาท”
เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้ที่เคยดูถูกยอมก้มหัวแล้วตะโกนเช่นนั้น เจียงเชียนชิวก็ยิ่งรู้สึกพอใจ!
เขาหันไปแล้วเห็นคนผู้หนึ่งเดินมาแต่ไกล
ทุกคนหันตามก่อนจะพบกับชายหนุ่มในชุดสีขาวกำลังเดินมาทางเจียงเชียนชิวผ่านอากาศทีละก้าว
ชุดของคนผู้หนึ่งไม่มีแม้แต่คราบฝุ่นธุลี เส้นผมถูกหวีแล้วมัดเป็นมงกุฎหยก ฝีเท้าของเขาไม่ช้าไม่เร็วขณะเยื้องย่างอย่างมั่นคง
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลี่เจียงหนาน!
หลี่เจียงหนานอยู่ห่างจากเจียงเชียนชิวเพียงเก้าก้าวก่อนจะประสานมือทำความเคารพ “คารวะฝ่าบาท!”
เจียงเชียนชิวพยุงหลี่เจียงหนานขึ้นพลางแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พี่หลี่สุภาพเกินไปแล้ว เจ้ากับข้าควรปฏิบัติต่อกันในฐานะพี่น้องจึงจะถูก!”
“ฝ่าบาทช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง”
หลี่เจียงหนานยืนขึ้นโดยไม่มีความเปลี่ยนแปลงในดวงตา