ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 417 ฉู่เชิ่งตาย
บทที่ 417 ฉู่เชิ่งตาย
บทที่ 417 ฉู่เชิ่งตาย
เมื่อเห็นเช่นนี้ ศิษย์ของสำนักกระบี่สวรรค์ก็ไม่เข้าใจว่าลู่หยวนกำลังทำอะไร แต่พวกเขาทราบแล้วว่าตอนนี้ชีวิตของฉู่เชิ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย!
พวกเขาต่างมองเยวี่ยอู๋ฉือด้วยสายตาจริงจัง “ท่านประมุข โปรดช่วยศิษย์พี่ฉู่เชิ่งด้วย!”
“ใช่แล้ว ท่านประมุข ฉู่เชิ่งถูกเล่นงานเช่นนี้ก็เพราะสำนักกระบี่สวรรค์! หากทำเป็นไม่ไยดี แล้วภายภาคหน้าตระกูลชั้นสูงจะมองพวกเราอย่างไร?! สำนักจะยังมีที่ยืนอยู่บนแผ่นดินหลักอีกหรือ!”
“ท่านประมุข โปรดให้การช่วยเหลือด้วย!”
ศิษย์แต่ละคนต่างตะโกนเสียงดังเพื่อขอร้องให้เยวี่ยอู๋ฉือช่วยอีกฝ่าย
เยวี่ยอู๋ฉือเม้มปาก ก่อนจะส่งสายตาเย็นชาปรามศิษย์เหล่านี้
นางมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินแห่งนี้มานาน จึงทำให้ทราบถึงเรื่องราวทุกอย่างดี
หากฉู่เชิ่งไม่โลภอยากครอบครองเพลิงวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังสำนักกระบี่สวรรค์ เรื่องราวจะกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?!
ยิ่งกว่านั้น เมื่อฟังจากบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนแล้ว ชะตากรรมของฉู่เชิ่งในวันนี้เป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างเขากับลู่หยวน แล้วมันเกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่สวรรค์ตรงไหน?!
เพียงแต่วันนี้ทั้งสองคนเลือกสะสางความขัดแย้งที่หน้าประตูสำนักของนางเท่านั้น!
ต่อให้เปลี่ยนเป็นที่อื่น สถานการณ์ก็ยังเหมือนเดิม!
นางตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ช่วยฉู่เชิ่งอีก ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ถือว่าเป็นคนตายไปแล้ว!
เยวี่ยอู๋ฉือชำเลืองมองเกี้ยวหยกที่เยวี่ยหนีซางอยู่ขณะครุ่นคิด
หากเข้าไปช่วยนางทั้งอย่างนี้ก็คงทำไม่สำเร็จแน่
ถึงอย่างไร สมาชิกตระกูลชิวเหล่านั้นก็มากพอที่จะหยุดนางได้ นี่ยังไม่รวมถึงลู่หยวนผู้อันตรายยิ่งกว่า!
เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา เปลวเพลิงทั้งหมดในร่างของฉู่เชิ่งก็หายไป
เมื่อหันไปมองร่างของลู่หยวน เขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของเปลวเพลิง
[แจ้งเตือนจากระบบ: การดึงเพลิงวิญญาณและเพลิงสวรรค์เสร็จสิ้นแล้ว! ท่านเสียค่าชะตาวายร้ายไปทั้งสิ้น 10,000 แต้ม!]
[ฉู่เชิ่งผู้เป็นบุตรแห่งโชคชะตาสูญเสียเพลิงวิญญาณและเพลิงสวรรค์ไปแล้ว ทำให้ค่าชะตาของเขาลดลง 7,000 แต้ม! ค่าชะตาที่เหลืออยู่ในตอนนี้คือ 0 แต้ม สามารถสังหารได้!]
[ค่าชะตาวายร้ายของท่านเพิ่มขึ้น 14,000 แต้ม! ค่าชะตาวายร้ายที่เหลืออยู่ในตอนนี้คือ 39,000 แต้ม!]
ลู่หยวนคลายมือขวาก่อนร่างของฉู่เชิ่งจะตกลงมาเล็กน้อย จากนั้นเขาออกแรงคว้าคอของอีกฝ่าย
ทุกคนเพียงได้ยินเสียงกร็อบเบา ๆ คอของฉู่เชิ่งก็ถูกหักในชั่วพริบตา พร้อมกับโลหิตไหลออกจากมุมปาก
เสียงของระบบดังขึ้นอีกครั้งเช่นกัน
[แจ้งเตือนจากระบบ: ขอแสดงความยินดี ท่านได้สังหารฉู่เชิ่งผู้เป็นบุตรแห่งโชคชะตาสำเร็จ!]
[ท่านได้รับวิชาเพลิงสวรรค์ผลาญภพ!]
สิ้นเสียงของระบบ ลู่หยวนก็สัมผัสได้ว่าวิชาเพลิงโบราณปรากฏขึ้นในใจ เขาหลับตา ก่อนวิชาดังกล่าวจะกลายเป็นหน้ากระดาษอยู่ในห้วงจิต
เพียงชั่วพริบตา เปลวเพลิงทั้งหลายที่ระริกไหวอยู่ในร่างของเขาเริ่มผสานเข้าด้วยกัน และพลังอันแกร่งกล้าก็กดทับลงมา
ยามสายลมพัดแผ่ว ปราณวิญญาณพลันหมุนวน
ดวงอาทิตย์ร้อนแรงปรากฏขึ้นจากอากาศด้านหลังลู่หยวน อุณหภูมิที่แทบจะหลอมละลายทั่วโลกก็รุนแรงขึ้นเช่นกัน
ดวงตาของทาสอารักขาและผู้อาวุโสของตระกูลชิวหรี่ลง พวกเขายกเกี้ยวหยกขึ้น จากนั้นสะบัดมือและพาสมาชิกตระกูลชิวทั้งหลบหนีออกไปไกล
ส่วนเยวี่ยอู๋ฉือหันหลังแล้วกลับเข้าสู่ค่ายพิทักษ์ตน!
ครืน!
พลังมหาศาลระเบิดออกมาในชั่วพริบตาขณะปกคลุมโลกทั้งใบ!
ความร้อนทลายทุกสิ่ง ขณะที่ลู่หยวนยืนอยู่บนท้องนภาประหนึ่งบุตรแห่งทวยเทพ แม้กระนั้นเปลวเพลิงทั้งหลายก็ไม่อาจแผดเผาชุดคลุมของเขาได้แม้แต่น้อย!
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในที่สุดดวงอาทิตย์ร้อนแรงก็สงบลง ป่าที่เดิมงดงามกลับกลายเป็นเถ้าถ่าน
ส่วนสัตว์ร้ายที่ใช้ชีวิตอยู่ในนั้นล้วนถูกแผดเผาจนตกตายโดยที่ไม่ทันได้ส่งเสียงกรีดร้องด้วยซ้ำ!
ลู่หยวนลืมตาขึ้น แล้วกลิ่นอายไร้เทียมทานก็เล็ดลอดออกมาจากร่างของเขา ทำให้ทั่วทุกสารทิศสั่นสะท้าน!
“วิชาเพลิงสวรรค์ผลาญภพ”
ลู่หยวนเอ่ยคำเหล่านี้อย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ยื่นมือขวาออกไปก่อนเปลวเพลิงจะก่อตัวขึ้นจากฝ่ามือ
แม้เปลวเพลิงนี้จะเป็นสีม่วง แต่มันกลับถูกปกคลุมไปด้วยชั้นสายฟ้า
มันกลืนกินปราณฟ้าดินด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ทันทีที่ปรากฏขึ้น!
นี่คือเปลวเพลิงซึ่งเกิดจากการหลอมรวมเพลิงวิญญาณทั้งหลายที่อยู่ในร่างของลู่หยวน!
เปลวเพลิงนี้ไม่ได้อยู่ในรายชื่อเพลิงวิญญาณแล้ว พลังของมันจึงไม่อาจนำมาเทียบเคียงกับเพลิงสวรรค์ธรรมดาได้!
“เรียกเจ้าว่า… เพลิงขุนพลสวรรค์แล้วกัน”
สิ้นคำของลู่หยวน เปลวเพลิงในฝ่ามือของเขาก็ไหวระริกราวกับถูกใจชื่อนี้เป็นอย่างยิ่ง
วั่งไฉซึ่งพันอยู่ที่แขนของเขาขยับเปลือกตาพลางฟังคำพูดดังกล่าว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
แต่อีกหลายร้อยปีต่อมา มันได้ต่อสู้กับเพลิงขุนพลสวรรค์อยู่หลายครั้งเพราะเหตุการณ์ในวันนี้
เพลิงขุนพลสวรรค์ยั่วยุวั่งไฉอยู่หลายหน โดยบอกว่าชื่อของมันยังไม่ยิ่งใหญ่พอ
วั่งไฉเดือดดาลจนอดไม่ได้ที่จะเปิดฉากสู้กับเพลิงขุนพลสวรรค์
ทว่ามันไม่กล้าไปหาลู่หยวนแม้แต่ครั้งเดียว ถึงอย่างไรหากเขาโกรธขึ้นมา มันคงไม่จบที่การสู้กันเด็ดขาด!
กลับมาสู่ปัจจุบัน
ลู่หยวนดึงมือกลับก่อนเพลิงขุนพลสวรรค์จะเข้าสู่ร่างกาย
ทุกคนที่จับจ้องเขาต่างสัมผัสได้ว่าเปลวเพลิงที่เพิ่งปรากฏขึ้นเมื่อครู่ไม่ธรรมดา!
ทาสอารักขาผู้ยืนอยู่ไกลออกไปหรี่ตาแล้วกล่าวอย่างเนิบช้า “ลู่หยวนผู้นี้… เขาไม่ได้เป็นแค่บุตรแห่งสวรรค์! แต่ถึงขั้นสร้างเปลวเพลิงของตัวเองขึ้นมาได้ด้วยหรือ!”
“ไม่แปลกใจเลยที่นายท่านจะให้ค่าเขามากถึงขนาดเต็มใจมอบสิทธิ์ทั้งหมดของตระกูลชิวให้เพียงเพื่อล่ออีกฝ่ายมา”
“หากนายท่านประสบความสำเร็จ การจองจำของโลกใบนี้ย่อมไร้ความหมายอย่างแท้จริง!”
หลังจากลู่หยวนทำทุกอย่างเสร็จ เขาก็โบกมือ แล้วทุกคนในตระกูลชิวก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร ก่อนจะพากันวิ่งกลับมาอย่างสุดกำลัง
ผู้อาวุโสที่ยกเกี้ยวหยกพยายามอย่างหนักเป็นพิเศษด้วยเกรงว่าจะเคลื่อนไหวช้าจนเกินไป
การที่คนเหล่านี้ไม่บ่นสักคำไม่ใช่เพราะตั้งใจประพฤติตัวดี
สาเหตุก็ไม่ใช่อื่นไกล มันเป็นเพราะว่าพวกเขาบางส่วน… กลัวตาย
สิ่งที่ลู่หยวนสำแดงออกมาล้วนประจักษ์แก่สายตาของพวกเขาชัดเจน!
อุบายของคนผู้นี้นับว่าแปลกประหลาดนัก!
ใครกันจะเคยเห็นคนที่สามารถดูดกลืนเพลิงวิญญาณได้?!
ขนาดเพลิงวิญญาณยังถูกขัดเกลาจนเชื่องก่อนจะถูกดูดเข้าไป หากลู่หยวนเผชิญหน้ากับพวกเขา อีกฝ่ายจะไม่กลืนการบ่มเพาะทั้งหมดที่พวกตนสั่งสมมาจนถึงทุกวันนี้หรอกหรือ?!
อำนาจตระกูลของพวกเขาเพียงเอื้อต่อการบ่มเพาะเท่านั้น!
หากลู่หยวนโจมตีขึ้นมา พวกมันจะกลายเป็นแดนเซียนเสมือนหรือเลวร้ายยิ่งกว่า
หมายความว่า… หากพวกเขาไม่ตายก็ต้องถูกขับออกจากตระกูลชิวจนไม่สามารถกลับเข้ามาได้อีก
แม้ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ แต่ชีวิตตนนั้นใหญ่ยิ่งกว่า
พวกเขาต่างแสดงความสัตย์ซื่อออกมาเมื่อคิดถึงขั้นนี้
สีหน้าของทุกคนอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นสายตาของลู่หยวน
ลู่หยวนรู้สึกพึงพอใจมากที่ดึงค่าชะตาทั้งหมดของฉู่เชิ่งมาได้ เมื่อกำลังจะขึ้นเกี้ยวหยก เขาพลันหยุดนิ่งก่อนหันไปมองเยวี่ยอู๋ฉือ
เขาลูบคางตัวเองขณะมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะพึมพำออกมา “นางคือประมุขสำนักกระบี่สวรรค์หรือ?”
ผู้อาวุโสตระกูลชิวคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายรีบกล่าวว่า “ใช่แล้ว ๆ นางคือประมุขสำนักกระบี่สวรรค์ มีนามว่าเยวี่ยอู๋ฉือ!”
ลู่หยวนพยักหน้า จากนั้นก็ชี้ไปที่เยวี่ยอู๋ฉือแล้วเอ่ยว่า “นางงดงามไม่เบา จับนางไปด้วย”