ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 451 เผ่าจิ้งจอกสวรรค์หุบเขาบูรพา
บทที่ 451 เผ่าจิ้งจอกสวรรค์หุบเขาบูรพา
บทที่ 451 เผ่าจิ้งจอกสวรรค์หุบเขาบูรพา
ท่ามกลางแดนมัชฌิม
แม้จะผ่านไปไม่กี่วัน ด้วยความช่วยเหลือของเมล็ดพันธุ์เทพโกลาหล สถานที่บางแห่งจึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
วังจักรพรรดิแดนมัชฌิมย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง ส่วนลานสูงสุดแดนมัชฌิมก็ถูกสร้างใหม่จนยิ่งใหญ่ตระการตา
แต่ละยอดเขากลับมาสูงตระหง่านอีกครั้ง หลายแห่งมีศิษย์กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ บ้างถือหิน บ้างถือหนังสือ เพื่อพยายามสร้างยอดเขาสำนักขึ้นมาใหม่
ยอดเขาห่างไกลแห่งหนึ่งต่างจากยอดเขาสำนักอื่นเพราะไม่มีร่องรอยของศิษย์แม้แต่คนเดียว
แต่กลับมีค่ายกลปกคลุมหลายชั้นเหมือนกาลก่อน!
ไม่มีศิษย์คนใดกล้าหาเรื่อง มันคือตำแหน่งที่บรรพชนเม่ยควบคุมอยู่!
ในยามนี้ เทียนเม่ยเอ๋อร์ผู้อยู่ในยอดเขากลับนั่งขัดสมาธิบนหิน สายตาของนางเหม่อลอยและใบหน้าซีดเซียว
บรรพชนเม่ยยืนอยู่ข้างกาย แต่แทนที่จะกระตุ้นให้ฝึกฝนเหมือนก่อนกาล นางกลับเดินมาข้างหน้าแล้วตบบ่าเทียนเม่ยเอ๋อร์ พลางถอนหายใจก่อนจะหันหลังจากไป
ไม่นานมานี้ ขณะเทียนเม่ยเอ๋อร์กำลังฝึกฝนเหมือนทุกครั้ง นางกลับรู้สึกถึงพลังที่ไม่เคยมีมาก่อน!
พลังมหาศาลของมันระเบิดออกมา!
ทั้งเทียนเม่ยเอ๋อร์และบรรพชนเม่ยต่างก็ตระหนักถึงพลังนี้!
พลังของจักรพรรดิจิ้งจอกสวรรค์!
เทียนเม่ยเอ๋อร์ใจสลายทันที การที่พลังของจักรพรรดิจิ้งจอกสวรรค์มาเกาะติดนางย่อมหมายความว่าตนเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในราชวงศ์ตระกูลจักรพรรดิสวรรค์หุบเขาบูรพา!
ครอบครัวและพี่น้องของนางล้วนตายไปแล้ว!
ตอนที่นางออกมา เผ่าจิ้งจอกสวรรค์และเผ่ามังกรเกล็ดกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด!
แม้เผ่าจิ้งจอกสวรรค์จะเสียเปรียบ แต่อาณาเขตที่พวกเขาอยู่นั้นพิเศษเพราะจะไม่ถูกทำลายลงง่าย ๆ!
ขอเพียงเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ไม่เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน เผ่ามังกรเกล็ดก็ไม่สามารถทำอะไรได้ต่อให้กินเวลานานถึงหนึ่งร้อยปีก็ตาม!
การสังหารราชวงศ์ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง!
จิตใจเทียนเม่ยเอ๋อร์ปั่นป่วน ความคิดและการคาดเดามากมายปรากฏขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ แล้วก็ถูกสลัดทิ้ง
บรรพชนเม่ยผ่านอะไรมามาก มองปราดเดียวก็เข้าใจเรื่องราว แต่นางใช้คำพูดไม่เก่ง จึงไม่ทราบว่าจะปลอบเทียนเม่ยเอ๋อร์อย่างไร ตนจึงตบบ่าอีกฝ่ายแล้วจากไป
การทิ้งโลกเงียบสงบไว้เบื้องหลัง ทำให้เทียนเม่ยเอ๋อร์คิดได้ว่าอนาคตควรจะดำเนินต่อไปอย่างไร
แต่คาดไม่ถึงว่านางจะนั่งอยู่กับที่เป็นเวลาสามวันเต็ม!
ในสามวัน แม้เทียนเม่ยเอ๋อร์จะไม่ขยับ แต่ดวงตาของนางเริ่มแดงก่ำและล่องลอย
เทียนเม่ยเอ๋อร์ไม่ทราบว่าตนนั่งอยู่ที่นี่มานานเท่าใด นางเพียงรู้สึกว่าจิตใจยิ่งสับสน ทุกสิ่งซึ่งเป็นของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ก็หลั่งไหลออกมา
ความรักของพ่อแม่ รอยยิ้มของพวกพ้อง ปรากฏตรงหน้าฉากแล้วฉากเล่า
ทันใดนั้น เทียนเม่ยเอ๋อร์รู้สึกถึงความมืดสนิท
นางเงยหน้ามองอย่างเหม่อลอยก่อนจะพบร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ผู้นั้นมักมีรอยยิ้มเกียจคร้าน แต่บัดนี้กลับดูหมองหม่นนัก
เขายื่นมือขวาออกมาวางบนศีรษะของเทียนเม่ยเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา “ข้าทราบทุกอย่างแล้ว พวกเราจะไปกันพรุ่งนี้”
“นายท่าน”
เทียนเม่ยเอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
พวกฉินอี่หานปรากฏข้างกายลู่หยวนคนแล้วคนเล่า
หลังจากสิ้นคำ ดวงตาของเทียนเม่ยเอ๋อร์ก็แดงก่ำ หยาดน้ำตาที่ไม่ได้ไหลรินมาสามวันก็พรั่งพรูออกมา
เช้าวันต่อมา ลู่หยวนพาฉินอี่หาน เทียนเม่ยเอ๋อร์ และไป๋ชิวเอ๋อร์มุ่งหน้าสู่หุบบูรพา!
เสวียนเทียนชวนอยู่แดนมัชฌิมเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องตระกูลชิวร่วมกับชิวชิงหลี
ฮ่วนซิงไป๋ไม่ได้ตามพวกเขาไป เขาจะรอให้ลู่หยวนจัดการเรื่องราวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยนัดพบกันอีกครั้ง
กลุ่มสี่คนเดินทางอยู่สามวันก็ถึงดินแดนห่างไกลของหุบเขาบูรพา!
พวกเขาก้าวเข้าด้านใน สิ่งที่เห็นแตกต่างจากที่อื่นมาก
ที่นี่ไม่มีร่องรอยของมนุษย์!
สภาพภูมิประเทศก็ย่ำแย่ มีก้อนหินซ้อนทับกับยอดเขาสุดลูกหูลูกตา บริเวณพื้นผิวรกชัฏไปด้วยวัชพืชและหินเปลือย
บ้างก็เป็นภูมิประเทศราบลุ่มและที่ราบกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด!
พวกลู่หยวนรีบเดินเข้าสู่อาณาเขตของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์!
ผ่านไปสักพัก พวกเขาก็มองเห็นเชิงเขาและเนินเป็นลูกคลื่น
เทียนเม่ยเอ๋อร์ชี้แล้วเอ่ยว่า “อยู่ตรงนั้น!”
ทันทีที่ทั้งสี่เข้าสู่ดินแดน ร่างทั้งหลายก็พุ่งออกจากสถานที่ซ่อนตัวบนเนินเขา
ง้าวทั้งสองไขว้กันเป็นกากบาทเพื่อขวางทางเอาไว้
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
ผู้ถือง้าวทั้งสองคือชายร่างกำยำสองคน
ทว่าพวกเขามีหัวและร่างท่อนบนเป็นจิ้งจอก แม้ร่างท่อนล่างจะไม่แตกต่างจากมนุษย์ แต่กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมากลับแตกต่างจากมนุษย์มาก!
เมื่อทั้งสองเห็นลู่หยวน พวกเขาต่างระแวดระวังจนถึงขั้นแสดงความมุ่งร้าย
ยามนี้เทียนเม่ยเอ๋อร์เป็นฝ่ายก้าวออกมา ใบหน้าสีขาวราวกับหยกของนางหมองหม่น “เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร?”
ทันทีที่สิ้นคำ ร่างของนางก็ระเบิดพลังซึ่งเป็นของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์อันเกรี้ยวกราด!
เมื่อทั้งสองสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนี้ ขาของพวกเขาก็อ่อนแรงจนต้องคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมใบหน้าที่ซีดเซียว
ร่างของเทียนเม่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านหนึ่ง แม้จะมีพลังของจักรพรรดิแผ่ซ่านออกมา แต่สายตาของนางกลับมองลู่หยวนด้วยความเคารพอย่างยิ่ง!
“นายท่าน เชิญ”
ลู่หยวนกวาดสายตาไปข้างหน้าแล้วเดินไปยังอีกฟากของดินแดนนี้!
ทันทีที่ก้าวเข้ามา เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นอากาศ
บริเวณเท้าของเขาปรากฏยันต์กระจัดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ
ยันต์เหล่านี้แตกต่างจากของมนุษย์ แม้ลู่หยวนเหลือบมองอยู่สักพัก แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
เสียงคร่ำครวญอันแผ่วเบาแว่วมาจากค่ายกลในดินแดน
“องค์หญิง ในที่สุดท่านก็กลับมา!”
จิ้งจอกเฒ่าปรากฏขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากผู้อื่น แม้ร่างกายจะสั่นเทาก็ยังวิ่งออกไป ทำให้ผู้ดูแลต้องคอยระมัดระวังตลอดเวลา
“ข้าคิดถึงองค์หญิงเหลือเกิน!”
จิ้งจอกเฒ่าร่ำไห้และหมอบลงต่อหน้าเทียนเม่ยเอ๋อร์พร้อมน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า “ฝ่าบาท ฝ่าบาท!”
“ลุงเฟิง รีบลุกขึ้นเถิด!”
เทียนเม่ยเอ๋อร์รีบพยุงให้จิ้งจอกเฒ่ายืนขึ้น
จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้มีนามว่าซู่เฟิง เคยเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ เขาได้รับการชื่นชมจากราชันย์ในเผ่าตอนที่ยังหนุ่ม มักถูกพาไปไหนมาไหนและได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญอยู่เสมอ
ซู่เฟิงมีความสามารถควรค่ากับการได้รับความสนใจจากราชวงศ์ เขามีส่วนสนับสนุนเผ่าจิ้งจอกสวรรค์เป็นอย่างมาก!
ยิ่งเขาอายุมาก ชื่อเสียงในเผ่าก็ยิ่งเพิ่มพูน!
เมื่อได้ยินเสียงร่ำไห้ของซู่เฟิง ดวงตาของเทียนเม่ยเอ๋อร์ก็แดงก่ำ นางรู้สึกเศร้าโศกอยู่ภายใน!
หลังจากอาลัยอาวรณ์สักพัก นางก็พยุงอีกฝ่ายขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ลุงเฟิง ข้ากลับมาแล้ว ไม่ต้องห่วง ข้าจะให้เผ่ามังกรเกล็ดชดใช้อย่างสาสม!”
ซู่เฟิงปาดน้ำตาแล้วพยักหน้าอย่างมีความสุข “องค์หญิงกลับมาเช่นนี้ พวกข้าก็วางใจ! เผ่ามังกรเกล็ดจะต้องตาย!”