ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 466 เมล็ดพันธุ์มารฉีเจา
บทที่ 466 เมล็ดพันธุ์มารฉีเจา
บทที่ 466 เมล็ดพันธุ์มารฉีเจา
หลังจากฉีเจ๋อจากไป หลงเฉียนอวิ๋นก็ยังจมอยู่กับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
ลู่หยวนดึงความคิดของเขากลับมาโดยไม่ได้สนใจหลงเฉียนอวิ๋นมากนัก
ตอนนี้ ลู่หยวนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณในห้องโถงใหญ่ขณะอุ้มเฝยเฝยไว้ในมือ สายตาของเขาจดจ่ออย่างครุ่นคิด
แต่ในสายตาของกู้ชิงหรัน นางสังเกตเห็นลู่หยวนตกอยู่ในภวังค์ จึงเหลือบสายตามามองอีกฝ่าย
สักพัก ลู่หยวนก็กลับมามีสติ แล้วกู้ชิงหรันก็เอ่ยว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้นหรือ?”
“อื้ม”
ลู่หยวนตอบอย่างราบเรียบแล้วหันกลับมาสนใจกู้ชิงหรัน
“ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ เจ้าสามารถกำราบคนที่มีการบ่มเพาะสูงกว่าตัวเองได้มากแค่ไหน?”
ทันทีที่ลู่หยวนเอ่ย กู้ชิงหรันก็เงียบ
ชั่วขณะหนึ่ง ลู่หยวนก็คิดอะไรบางอย่างออก
ตัวตนที่ผิดพลาดอย่างกู้ชิงหรัน ยิ่งเข้าใกล้นางมากเท่าไหร่ก็ยิ่งตายเร็วมากเท่านั้น!
แบบนี้เท่ากับว่าไม่มีใครสามารถเอาชนะความตายหรอกหรือ?!
ถึงอย่างไร ข้อผิดพลาดดังกล่าวยังจำเป็นต้องมีข้อกำหนดเบื้องต้น ซึ่งลู่หยวนอยากทราบว่าพละกำลังของกู้ชิงหรันอยู่ที่เท่าไหร่เพื่อจะกำจัดนางด้วยการให้ไปสู้กับผู้อื่น
“แรงกดดันของเจ้าพัฒนาขึ้นจากตอนนั้นกี่เท่า?”
ลู่หยวนถามอีก
กู้ชิงหรันครุ่นคิดสักพักแล้วตอบกลับว่า “หากเป็นแรงกดดันเต็มที่ ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้ดินแดนพังทลาย”
ทันทีที่สิ้นคำ แม้แต่ลู่หยวนก็ลอบถอนหายใจ
ต้องทราบก่อนกว่าดินแดนนี้ทอดยาวเป็นระยะทางนับแสนลี้ เต็มไปด้วยอาณาเขตของกลุ่มชาติพันธุ์นับร้อยที่แตกต่างกันออกไป
ลู่หยวนกล้าพูดว่า ‘หากเผยไพ่ตายทั้งหมดก็อาจทำลายทั่วทั้งดินแดนได้ในหมัดเดียว!’
แต่กู้ชิงหรันทำได้ด้วยการใช้เพียงแรงกดดันเท่านั้น
ลู่หยวนมองกู้ชิงหรันด้วยความสงสัย
กู้ชิงหรันไม่มีข้อจำกัดอะไร หากทั้งสองสู้กันอย่างสุดกำลัง ฝ่ายใดจะชนะและฝ่ายใดจะพ่ายแพ้?
กู้ชิงหรันย่อมมองเห็นจิตวิญญาณต่อสู้ในแววตาของลู่หยวน ทำให้ริมฝีปากสีแดงเผยอเล็กน้อย “ดูจากตอนนี้แล้ว เจ้าก็พัฒนาขึ้นไม่น้อย”
ลู่หยวนขมวดคิ้ว
กู้ชิงหรันยังคงเอ่ยต่อ “ข้ามีภูมิคุ้มกันต่อค่ายกลและยันต์ทั้งหลาย ทั้งยังครอบครองแรงกดดันมหาศาล กระบี่ในมือของข้าก็ทรงพลังไม่เบา”
“ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำลายอุบายที่เจ้ามีในตอนนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าสามารถรวมใจผู้คนเป็นหนึ่งจนทำให้ผู้มีพรสวรรค์ทั้งหลายให้การช่วยเหลือได้ ส่วนข้าเป็นเพียงหมาป่าเดียวดาย ไม่ว่าเจ้าอยู่ระดับไหนก็ถือว่าเหนือกว่าข้า”
ลู่หยวนยิ้มแล้วไม่เอ่ยคำใดอีก
เขาไม่ได้กังวล หากสามารถใช้กู้ชิงหรันได้ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะใช้
ถึงอย่างไร ด้วยพละกำลังของกู้ชิงหรัน นางย่อมขัดขืนผู้แข็งแกร่งจำนวนมากได้!
ชั่วพริบตา ลู่หยวนก็มีแผนบางอย่างในใจ จึงส่งต่อให้พวกไป๋ชิวเอ๋อร์จัดการ
ตอนนี้ทุกสิ่งถูกตระเตรียมอย่างเหมาะสมแล้ว ที่ต้องทำก็คือรอให้ดินแดนผู้พิทักษ์ลงมือเท่านั้น!
…
เมื่อฉีเจ๋อกลับดินแดนผู้พิทักษ์ ส่วนหนึ่งของจิตเทวะที่เป็นของหู่เซียวก็หลุดออกมา ทันใดนั้น ฉีเจ๋อก็ล้มลงกับพื้นทันทีราวกับเรี่ยวแรงหดหาย
หู่เซียวไม่แม้แต่เหลียวแลแล้วหันหลังกลับเข้าห้องโถงทันที
หากไม่ใช่เพราะฉีเจ๋อเป็นมนุษย์ที่จงรักภักดีและใช้งานสะดวก หู่เซียวย่อมฆ่าชายผู้นี้ไปนานแล้ว!
หลังจากเรื่องของหลงเฉียนอวิ๋นคลี่คลาย หู่เซียวจึงส่งคนไปแจ้งจักรพรรดินาคาทะยาน!
ส่วนจักรพรรดิจูอั้น หู่เซียวย่อมไม่ส่งคนไปแจ้ง!
หู่เซียวมองแผนที่ของหุบเขาบูรพาบนโต๊ะ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ดินแดนด้วยสายตาละโมบไร้ที่สิ้นสุด
ความจริง หู่เซียวทราบอยู่แล้วว่าจักรพรรดินาคาทะยานกำลังคิดอะไรอยู่
ทว่า สิ่งที่เขาต้องการคือนิสัยเสี่ยงชีวิตและชอบเดิมพันของนาคาทะยาน!
สิ่งที่หู่เซียวทำในตอนนี้จะไม่ส่งผลต่อดินแดนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหุบเขาบูรพาทั้งหมดอีกด้วย!
ในบรรดาเผ่าจักรพรรดิทั้งห้าแห่งหุบเขาบูรพานั้น เผ่าจิ้งจอกสวรรค์ก็ตกต่ำ หลงเฉียนอวิ๋นก็ขี้ขลาดเกินไป เผ่าจูอั้นก็เป็นพวกอาจหาญแต่ไร้สมอง แม้จักรพรรดินาคาทะยานจะพอมีสมองอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อพละกำลังของเขา!
ทันทีที่ขาดพละกำลังก็ต้องยอมเดิมพัน!
เหอะเหอะ แต่จะเป็นการเดิมพันที่แพ้ไปแล้วเก้าในสิบส่วน!
เผ่าพยัคฆ์เมฆาเป็นเผ่าที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุด และพวกเขาก็ยังเป็นผู้ปกครองหุบเขาบูรพาด้วย!
หู่เซียวหันมาสนใจเผ่าจักรพรรดิที่เป็นของนาคาทะยาน
“เผ่าห้าจักรพรรดิ… เหอะเหอะ… อีกไม่ช้าก็จะเหลือจักรพรรดิเพียงหนึ่งเดียวในหุบเขาบูรพา!”
ผ่านไปหลายอึดใจ หู่เซียวหักห้ามความละโมบในดวงตาเอาไว้แล้วสร้างผนึกในมือ พลันมุมหนึ่งของห้องโถงใหญ่ก็มีตะเกียงทองแดงสามอันสว่างขึ้นในพริบตา
รูปแกะสลักสัตว์ร้ายชนิดต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นเหนือตะเกียงทองแดงทั้งสาม พร้อมกับสั่นไหวไปมา แสงสว่างของมันสาดส่องราวกับกำลังจะมีชีวิต!
‘วิ้ง!’
เสียงทุ้มต่ำยิ่งดังมาจากกลางห้องโถง แล้วค่ายกลก็ปรากฏขึ้นระหว่างตะเกียงทองแดงทั้งสาม
หู่เซียวยิ้มหยันก่อนจะก้าวเข้าไปในค่ายกล
ทันทีที่แสงสาดส่อง หู่เซียวก็มาถึงสถานที่มืดมิดในเวลาเพียงอึดใจ บริเวณนี้ทั้งชื้นและสกปรก ทั้งซ้ายและขวามีเพียงหน้าผากับหมอกหนาทึบ
บนแท่นขนาดเล็กปรากฏโซ่จำนวนนับไม่ถ้วนที่เชื่อมโยงทั้งซ้ายและขวาขณะพันธนาการคนผู้หนึ่งเอาไว้
หู่เซียวเดินออกมา หลังจากผ่านไปหนึ่งอึดใจ เขาก็ยืนอยู่ตรงข้ามกับคนที่ถูกจองจำ
ชายผู้นั้นคล้ายกับสัมผัสการเคลื่อนไหวได้ก่อนจะเงยหน้า ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันทีที่เห็นหู่เซียว แล้วพลังมารสีม่วงเข้มก็แผ่ซ่านก่อนจะปกคลุมทั่วร่างของเขาในทันที!
พลังมารพุ่งพล่านไปรอบข้างคล้ายกับจะกัดกร่อนโซ่ทั้งหลาย แต่พวกมันต่างถูกหลอมขึ้นมาเพื่อต้านทานกลิ่นอายดังกล่าว จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่สึกกร่อน!
ใบหน้าของชายผู้นั้นเต็มไปด้วยฝุ่นกับรอยแผลเป็นจากดาบ ดวงตาประหนึ่งระฆังทองแดงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อหู่เซียว!
“เหอะเหอะ ฉีเจา อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้น ถึงอย่างไรเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้”
คำพูดของหู่เซียวราบเรียบ
ชายผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามตื่นตัวจนแทบจะพุ่งออกไปราวกับเสือร้าย กลิ่นอายมหาศาลถูกสะกดเอาไว้ชั่วขณะก่อนจะมารวมอยู่ในฝ่ามือ เพียงหนึ่งอึดใจ มันก็ตรงมาที่หน้าผากของหู่เซียวหมายจะพรากชีวิต!
“ขยะ”
หู่เซียวเอ่ยคำออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนพลังไร้เทียมทานจะระเบิดออกจากร่างเพื่อสะกดพลังของอีกฝ่ายในบัดดล!
พลังทั้งหมดที่ฉีเจาเพิ่งหาทางรวบรวมได้ ก็แตกสลายหายไปในพริบตา!
หู่เซียวกวาดสายตาที่เต็มไปด้วยการดูแคลนอันไร้ที่สิ้นสุดไปทั่วทั้งบริเวณ
“ถ้าไม่ใช่เพราะการต่อสู้เมื่สามแสนปีก่อน เผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าจะพัฒนามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? เหอะเหอะ…”
สิ้นคำ หู่เซียวค่อยยกขาซ้ายแล้วเหยียบลงบนไหล่ขวาของฉีเจา จากนั้นก็ออกแรงกดลงไป
สิ้นเสียง ‘กร็อบ!’ และเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นอย่างแจ่มชัด ฉีเจาก็ถูกเหยียบลงบนแท่นราวกับเดรัจฉานที่ไม่สามารถเป็นอิสระได้!
“ฉีเจา ข้าจะให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย หากวาดแผนที่สังเวยโลหิตเก้าสวรรค์ ข้าจะปล่อยฉีเจ๋อไป รวมถึง… แม่ผู้เป็นที่รักของเจ้าด้วย!”
ฉีเจาถูกหู่เซียวเหยียบจนกระอักโลหิตออกมา ถึงกระนั้นสติของเขายิ่งแจ่มชัดเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันดังกล่าว!
“เหอะเหอะ ถ้าเจ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร”
หู่เซียวยกเท้าซ้ายออก “เดี๋ยวข้าจะหักเท้าทั้งสองข้างของคนที่เจ้ารักให้ดูเอง!”
——————————-