ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 477 สอบปากคำ
บทที่ 477 สอบปากคำ
บทที่ 477 สอบปากคำ
เหลิ่งเหยียนรู้สึกสับสนชั่วขณะหลังจากได้ยินคำสั่งจากเทียนเม่ยเอ๋อร์ แต่ในที่สุดก็ประสานมือทำความเคารพ “ขอรับ”
แม่ทัพคนอื่นปฏิบัติตามก่อนจะน้อมรับคำสั่ง
เทียนเม่ยเอ๋อร์หันไปมองสมาชิกเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ที่เคลื่อนไปตามตำแหน่งทั้งหลาย!
ขณะเดียวกัน เหลิ่งเหยียนก็จับจ้องแผ่นหลังของนาง แล้วจากไปพร้อมกับคนอื่น!
…
ทางฝั่งลู่หยวน
หู่เซียว จูอั้น และนาคาทะยาน ล้วนสัมผัสได้ว่าพลังของพวกเขาถูกช่วงชิงไปจนเกือบหมดสิ้น!
ในค่ายกลโลหิตหมื่นเผ่า หนวดนับไม่ถ้วนถูกถอนออกไป
ค่ายกลที่กำลังหมุนอยู่ในอากาศกลายเป็นสีแดงเจิดจ้าในบัดดลราวกับได้รับการเติมเต็มจนกลับสู่สภาพสมบูรณ์แล้วค่อยสลายไป
พลังกดขี่ที่รุนแรงก็สลายไปพร้อมกับการหายไปของค่ายกลด้วย ทำให้พวกหู่เซียวตกลงจากอากาศในสภาพไร้เรี่ยวแรงก่อนจะกระแทกพื้นอย่างรุนแรง!
ลู่หยวนวูบไหวก่อนจะมาถึงตัวหู่เซียว
“หู่เซียว ข้ามีความอดทนไม่มาก ข้าจะถามเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
“โลหิตกำเนิดสรรพสิ่งกับกระบี่มารแปดแดนร้างอยู่ที่ใด?”
หู่เซียวเงยหน้ามองลู่หยวนอย่างยากลำบาก ทันใดนั้น สีหน้าหดหู่ของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
“ลู่หยวน เจ้าอยากรู้อย่างนั้นหรือ?”
“เหอะเหอะ ฝันไปเถอะ!”
ดวงตาของหู่เซียวพลันเกรี้ยวกราด!
“ต่อให้เจ้าฆ่าข้า! ก็จะมีผู้สืบทอดคนใหม่อยู่ดี! เขาสามารถช่วงชิงทุกโอกาสและนำเผ่าพยัคฆ์เมฆาให้เป็นราชาแห่งหุบเขาบูรพาได้! มีเพียงข้า เผ่าพยัคฆ์เมฆา ที่คู่ควรกับโชคชะตาเหล่านั้น!”
ลู่หยวนหัวเราะขณะยกเท้าขวามาเหยียบศีรษะของหู่เซียว
“หู่เซียว ตอนสังเวยค่ายกลโลหิตหมื่นเผ่า เจ้าคิดว่าข้าส่งค่ายกลผ่านรูหนอนไปที่ใดหรือ?”
หู่เซียวตกตะลึง แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที
ความคิดที่ไม่ดีผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ!
หรือว่า…
“เจ้าคือสมาชิกเผ่าพยัคฆ์เมฆาคนสุดท้าย”
ลู่หยวนเอ่ยอย่างสงบราวกับกำลังตัดสินโชคชะตา “ต่อให้เจ้าไม่บอก ข้าก็หาพวกมันเจออยู่ดี!”
หู่เซียวตอบสนองทันทีและกำลังจะพลิกร่าง แต่เท้าขวาของลู่หยวนก็เหยียบลงมาแล้ว!
สิ้นเสียง “โพละ!” อันน่าหดหู่ ศีรษะของหู่เซียวก็ถูกเหยียบลงกับพื้นอย่างรุนแรง!
โลหิตสาดกระเซ็นทั่วทุกหนแห่งโดยมีสีแดงกับขาวผสามกัน ร่างของหู่เซียวกระตุกสองสามครั้งก่อนจะถึงแก่ความตายในที่สุด
ลู่หยวนยกเท้าขวาออก แล้วกลิ่นอายอันร้อนอบอ้าวก็ทำให้โลหิตรอบเท้าของเขาระเหยออกไป
ดวงตาของลู่หยวนหันมาจับจ้องจักรพรรดินาคาทะยาน
เขามองออกว่าในบรรดาสามจักรพรรดิ จักรพรรดินาคาทะยานผู้อยู่ตรงหน้ามีความคิดที่ต่างออกไป อีกฝ่ายอาจจะรู้บางอย่างก็เป็นได้
ส่วนจักรพรรดิจูอั้นเป็นคนโง่ เขาจึงอาจจะไม่สามารถถามอะไรอีกฝ่ายได้
ลู่หยวนมาอยู่ตรงหน้าจักรพรรดินาคาทะยานพร้อมเหยียบศีรษะด้วยเท้าขวาเหมือนก่อนหน้า จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “โลหิตกำเนิดสรรพสิ่งกับกระบี่มารแปดแดนร้างอยู่ที่ใด?”
จักรพรรดินาคาทะยานกลืนน้ำลายขณะกลิ่นอายแห่งความตายยังคงอบอวลรอบข้างประหนึ่งกระบี่ที่สามารถฟาดฟันลงมาได้ทุกเมื่อ!
“ข้า… ข้า…”
เขาจะไปรู้เรื่องโลหิตกำเนิดสรรพสิ่งได้อย่างไร!
เท่าที่เขาทราบก็คือหู่เซียวจับเมล็ดพันธุ์มารเอาไว้เพื่อถามเกี่ยวกับสิ่งนั้น!
หากทราบว่าโลหิตกำเนิดสรรพสิ่งอยู่ที่ใด เขายังต้องยอมจำนนต่อหู่เซียวอีกหรือ?
เขาคงเป็นฝ่ายไปเอามันมาเองแล้ว!
“ไม่รู้หรือ?”
ลู่หยวนขมวดคิ้วขณะดวงตาทอประกายจิตสังหาร
ในเมื่อเป็นขยะไร้ประโยชน์ ก็ต้องฆ่าทิ้ง!
เมื่อเห็นความไม่พอใจจากคำพูดของลู่หยวน จักรพรรดินาคาทะยานก็ตะโกนทันที “อย่าฆ่าข้า! อย่าฆ่าข้า! ข้ารู้ว่าเมล็ดพันธุ์มารอยู่ที่ใด!”
เท้าขวาของลู่หยวนที่กำลังจะเหยียบลงไปพลันหยุดนิ่ง “จริงหรือ?”
จักรพรรดินาคาทะยานตะโกนอย่างสิ้นหวัง “เรื่องจริง! ถ้าเจ้าไม่เชื่อ มาดูให้เห็นกับตาพร้อมข้าเลย!”
ลู่หยวนยกยิ้มขณะสร้างผนึกในมือ จากนั้นก็สลักค่ายกลกักขังไว้บนร่างของอีกฝ่ายทันที!
จักรพรรดินาคาทะยานทราบว่าตนเองยังมีชีวิตรอดจึงรู้สึกโล่งอก ก่อนทั่วร่างจะล้มลงราวกับหนีรอดจากความตายมาได้!
ลู่หยวนดึงเท้าออกก่อนจะมองไปทางจักรพรรดิจูอั้น “เจ้ามีค่าอะไรที่พอจะแลกโอกาสในการรอดชีวิตได้บ้าง?”
ความสามารถของจักรพรรดิจูอั้นในการยืนหยัดท่ามกลางสามเผ่าในดินแดนผู้พิทักษ์ล้วนเป็นผลมาจากความแข็งแกร่งในเผ่าของตนเองทั้งสิ้น!
ดังนั้น เมื่อจักรพรรดินาคาทะยานตระหนักได้ว่าหู่เซียวอยากพันธนาการทั้งสามเผ่าเอาไว้ เขาจึงเป็นฝ่ายเคลื่อนเข้าหาจักรพรรดิจูอั้นก่อน
หากไม่มีเขา อีกฝ่ายก็เป็นเพียงผู้แข็งแกร่งที่ไร้สมอง
จักรพรรดิจูอั้นไม่ทราบการพลิกผันของเหตุการณ์ดังกล่าว หากเขาไม่แข็งแกร่งพอก็คงถูกขับไล่ไปนานแล้ว
เมื่อเห็นดวงตาของลู่หยวนกวาดมองมา จักรพรรดิจูอั้นก็ขมวดคิ้วโดยไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร!
แต่เขาไม่อยากตาย!
ถึงอย่างไร เขาก็ไม่มีอะไรที่มีค่าพอจะไปแลกกับความอยู่รอดของตนเอง!
เมื่อเห็นว่าลู่หยวนกำลังจะตรงมาหา จูอั้นก็ยิ่งวิตกก่อนจะโพล่งออกไปว่า “ให้ข้าเป็นสัตว์ขี่เจ้าดีหรือไม่!”
หากเผ่าขนาดเล็กในหุบเขาบูรพามาได้ยินเรื่องนี้เข้า พวกเขาอาจจะไม่เชื่อก็เป็นได้
คนตรงหน้าคือหนึ่งในสามเผ่าจักรพรรดิแห่งดินแดนผู้พิทักษ์!
เขาจะมายอมจำนนต่อลู่หยวนอย่างง่ายดายได้อย่างไร!
“สัตว์ขี่หรือ? การบ่มเพาะของเจ้าถูกค่ายกลโลหิตหมื่นเผ่ากลืนกินไปแล้ว ข้ายังจำเป็นต้องการสัตว์ขี่ที่ไร้ประโยชน์อีกหรือ?!”
ขณะลู่หยวนก้าวเข้ามา จูอั้นก็รู้สึกเหมือนก้าวเข้าสู่นรกไปแล้วครึ่งก้าว!
ทันใดนั้น เขาก็คิดวกไปวนมาเพื่อหาสิ่งที่สามารถป้องกันไม่ให้ถูกลู่หยวนฆ่าได้!
เมื่อขาของลู่หยวนกำลังจะยกขึ้น บางสิ่งที่ถูกผนึกไว้ในส่วนลึกในใจของจักรพรรดิจูอั้นก็ปรากฏขึ้นมา!
“ข้าจำได้แล้ว! อีกหนึ่งเดือน ซากปรักหักพังของสมรภูมิหลักโบราณจะปรากฏขึ้น! ข้าทราบตำแหน่งของมัน!”
“สมรภูมิหลักโบราณหรือ?”
ลู่หยวนพึมพำ
จักรพรรดิจูอั้นพยักหน้าอย่างสิ้นหวัง “ใช่แล้วท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ ท่านรู้จักซ่งชิงแห่งตำหนักประตูสวรรค์หรือไม่ เขาทำให้ข้าทราบข่าวนี้!”
“ซ่งชิงหรือ?”
ลู่หยวนพลันเกิดความสนใจ
อีกฝ่ายคือบุตรแห่งโชคชะตาที่ไม่ทราบค่าชะตา!
“หมายความว่าเขาจะไปที่นั่นด้วยหรือ?”
จักรพรรดิจูอั้นพยักหน้า “ใช่แล้ว! บุตรศักดิ์สิทธิ์ ข้ายังมีประโยชน์อยู่ ขอเพียงมีข้าก็สามารถนำท่านไปทางเข้าซากปรักหักพังดังกล่าวได้! ข้าได้ยินว่ามีของดีจำนวนมากปรากฏขึ้นที่นั่น!”
ซากปรักหักพังที่บุตรแห่งโชคชะตาไป ย่อมต้องมีของดีอยู่แล้ว!
หากเป็นอย่างอื่น ลู่หยวนย่อมไม่สนใจ แต่ถ้ามีซ่งชิงอยู่ด้วยย่อมหมายความว่าเขามีของที่สามารถเพิ่มค่าชะตาของอีกฝ่ายได้!
เขายังไม่มีเหตุผลที่ต้องไปดูอีกหรือ?
ลู่หยวนยังประทับค่ายกลกักขังไว้บนร่างของจูอั้น!
ด้วยเหตุนี้ ชีวิตของจูอั้นจึงรอดปลอดภัย
จูอั้นถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นลู่หยวนก็ส่งอีกฝ่ายให้กู้ชิงหรันดูแล ก่อนจะพาจักรพรรดินาคาทะยานไปยังดินแดนผู้พิทักษ์!
เนื่องจากโชคชะตาทั้งหลายล้วนมาจากการสอบถามเมล็ดพันธุ์มาร เช่นนั้น เพียงแค่ไปถามอีกฝ่ายก็พอแล้ว!
อีกอย่าง พรสวรรค์ของเมล็ดพันธุ์มาร…
หากรวมชิวเสวียนที่ตายไปแล้ว ก็ยังมีเมล็ดพันธุ์มารอีกสามคนที่คงอยู่ในโลกใบนี้พร้อมกัน!
ลู่หยวนสงสัยว่าเมล็ดพันธุ์มารนี้จะเป็นบุตรแห่งโชคชะตาด้วยหรือไม่!