ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 483 รอยแยกมิติและเวลา
บทที่ 483 รอยแยกมิติและเวลา
บทที่ 483 รอยแยกมิติและเวลา
ทันทีที่สิ้นคำ แม้แต่เหลิ่งเหยียนก็ตกตะลึง
กลายเป็นว่าในบรรดาสิบตระกูล มีสองตระกูลที่ยอมจำนนต่อซู่เฟิงไปแล้ว!
ซู่เฟิงหรี่ตาด้วยท่าทางค่อนข้างภูมิใจ
เขาจะสามารถก้าวเข้าสู่ตำแหน่งจักรพรรดิจิ้งจอกสวรรค์โดยไม่มีภูมิหลังได้อย่างไร?!
สหายสองกลุ่มนั้นคือไพ่ตายของเขา!
หากไม่ใช่เพราะตัวตนของสองตระกูลนี้ แล้วเขาจะซ่อนอยู่ที่นี่โดยไม่ถูกค้นพบตอนพวกเทียนเม่ยเอ๋อร์ออกค้นหาได้หรือ?
แล้วเขาจะทราบสถานการณ์ในหุบเขาบูรพาได้อย่างไร?
ทว่าสองตระกูลนี้ต้องพึ่งตัวตนของเหลิ่งเหยียน
ทั้งสองตระกูลต่างไม่ฉวยโอกาสที่ได้รับจากเทียนเม่ยเอ๋อร์ แต่เลือกกลับมาหาเขา
ซู่เฟิงทราบเช่นกันว่าตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องลงมือแล้ว
นี่เป็นช่วงเวลาที่แตกแยกมากที่สุด หากอาศัยประโยชน์จากโอกาสนี้ พวกเขาอาจสามารถล้มล้างเผ่าจิ้งจอกสวรรค์หรือแม้กระทั่งหุบเขาบูรพาได้ในคราวเดียว!
ซู่เฟิงยกยิ้มอย่างชั่วร้าย “แม่ทัพเหลิ่งเหยียน ข้าต้องรบกวนให้เจ้าเริ่มทำการสังเวยเพื่อคฤหาสน์จิ้งจอกโลหิตแล้ว!”
เหลิ่งเหยียนตกตะลึงชั่วขณะก่อนจะเอ่ยถาม “จำเป็นต้องใช้เมื่อไร?”
การเปิดคฤหาสน์จิ้งจอกโลหิตต้องใช้วิญญาณจิ้งจอกสวรรค์สามร้อยดวง
ตอนนี้ หากรวมคนที่ถอนตัวกลับไปยังกองทหารรักษาการณ์ รวมถึงคนแก่ คนอ่อนแอ ผู้หญิงและเด็กที่อยู่ในดินแดนจิ้งจอกสวรรค์แล้ว จำนวนก็จะอยู่ที่ราวหนึ่งหมื่นคน
แม้จำนวนสามร้อยคนจะไม่มากมายเมื่อเทียบกับสิ่งนี้ แต่มันก็ไม่ใช่จำนวนน้อย มันต้องมีเหตุผลมารองรับการหายไปของคนจำนวนมากเช่นนี้!
หากมีเวลามากำหนดก็จะจัดการได้อย่างง่ายดาย
“พรุ่งนี้!”
ซู่เฟิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับเผยจิตสังหารอันแรงกล้า
“พรุ่งนี้หรือ?!”
เหลิ่งเหยียนตกตะลึง “หากพาคนจำนวนสามร้อยคนออกไปพรุ่งนี้เลย มันจะไม่ทำให้ผู้อื่นสงสัยเอาหรอกหรือ?!”
ซู่เฟิงยังคงหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าอยากให้ทุกคนรู้ว่าผู้ที่เชื่อฟังคำสั่งข้าจะมีชีวิตรอด ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อฟังก็จะถึงแก่ความตาย!”
ซู่เฟิงลุกขึ้น “เหลิ่งเหยียน พรุ่งนี้ข้าอยากให้ทุกคนรู้ว่าข้าจะยึดครองดินแดนจิ้งจอกสวรรค์! ส่วนจำนวนของผู้คนที่จะโดนสังหาร ข้าเกรงว่าคงมีมากกว่าสามร้อยคน ถึงตอนนั้นพวกเขาจะกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับคฤหาสน์จิ้งจอกโลหิต แล้ววิญญาณชั่วร้ายภายในนั้นก็จะได้ลิ้มลองพวกมันอย่างเต็มที่!”
เมื่อเห็นสีหน้าแข็งทื่อของเหลิ่งเหยียน ซู่เฟิงก็กล่าวเสริม “เฮ้อ… เหลิ่งเหยียน นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่เจ้ายืนอยู่ข้างข้า อย่าแม้แต่คิดที่จะถอยหนี ไม่อย่างนั้น… ก็จะไม่มีวันฟื้นคืนตลอดกาล!”
สิ้นคำ ซู่เฟิงก็พาซู่เปียวจากไป
เมื่อร่างของทั้งสองหายไปอย่างสมบูรณ์ เหลิ่งเหยียนก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ขณะเผยสายตาซับซ้อน ไม่ช้ามันก็ค่อยกลายเป็นคมปลาบก่อนจิตสังหารจะเข้ามาแทนที่!
…
ดินแดนผู้พิทักษ์
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความสงบสุข
ไม่มีการเคลื่อนไหวในแผ่นดินพยัคฆ์เมฆา
ลู่หยวนก็ชะลอความเร็วชั่วขณะเพื่อฝึกฝน
แม้ไม่ทราบว่าใช้เวลานานเท่าไร แต่แผนที่ซึ่งเต็มไปด้วยม่านหมอกในห้องโถงใหญ่ที่เขาอยู่ก็สว่างวาบขณะสาดส่องไปทั่ว!
ดวงตาของลู่หยวนสั่นไหว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าจุดแสงสว่างทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหว
ลู่หยวนยืนขึ้นขณะยกยิ้ม
ถึงเวลาตัดขนแกะแล้ว!
อากาศรอบข้างลู่หยวนผันผวนก่อนจะหายไป!
ตอนนี้พวกฉินอี่หานได้รับแจ้งจากลู่หยวนว่าให้ประจำที่ไว้
ลู่หยวนไม่รีบร้อนแต่อย่างใด หลังจากตามหาฉีเจ๋อกับฉีเจาเจอแล้ว เขาก็สงบสติก่อนจะเริ่มติดตามอีกฝ่ายจากระยะไกล
ทว่าเมื่อเขาเห็นฉีเจา ระบบกลับไม่มีการแจ้งเตือน นั่นหมายความว่าเมล็ดพันธุ์มารนี้ไม่ใช่บุตรแห่งโชคชะตา
พอมาคิดดูแล้ว บุตรแห่งโชคชะตาที่ไหนจะมาถูกจองจำเป็นเวลานานจนถึงขั้นต้องยอมตัดมือและเท้า!
ฉีเจ๋อกับฉีเจาย่อมระแวดระวัง โดยปกติแล้วพวกเขาจะใช้เวลาอย่างน้อยสามวันเพื่อเดินทางจากดินแดนผู้พิทักษ์ไปยังพื้นที่เมือง ซึ่งในช่วงหกวันมานี้ ทั้งสองซ่อนตัวตนในระหว่างการเดินทางมาโดยตลอด!
เมื่อไปถึงเมือง พวกเขาพบป่าภูเขาที่ไม่โดดเด่นก่อนจะซ่อนตัวแล้วไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป
ลู่หยวนพบสถานที่พักบริเวณใกล้เคียงเช่นกัน
อีกหนึ่งวันผ่านไป ฉีเจ๋อกับฉีเจาก็ออกมาเดินทางในช่วงกลางคืน
พวกเขาทั้งสองออกวิ่งอย่างรวดเร็ว มันเป็นความเร็วที่มากกว่าก่อนหน้าสามถึงสี่เท่า!
เมื่อทั้งสองเดินไปตามขอบป่าภูเขาจนกระทั่งมาถึงหน้าผา พวกเขาก็หยุดนิ่งกับที่
ฉีเจาเริ่มสร้างผนึกในมือ หลังจากที่ฉีเจ๋อวางตนเองลงบนพื้น ซึ่งท่วงท่าแปลกประหลาดในมือยังคงแปรเปลี่ยนก่อนจะนิ่งงันหลังจากผ่านไปหลายอึดใจ
บรรยากาศหมองหม่นยามค่ำคืนถูกพัดพา ระหว่างหมู่เมฆม่านหมอกมีแสงสีทองค่อย ๆ ปรากฏจากหน้าผาขณะรวมตัวอยู่บริเวณหนึ่ง
ลำแสงรวมตัวเข้าด้วยกันทีละน้อยก่อนจะหายไปในพริบตา แล้วความผันผวนในอากาศก็ปรากฏ!
ความผันผวนดังกล่าวไม่เหมือนกับค่ายกล แต่คล้ายรอยแยกมิติและเวลา
เมื่อฉีเจาเห็นคลื่นอากาศที่กำลังเปิดออก รอยยิ้มก็ทอประกายในดวงตาของเขา
“ไป!”
สิ้นเสียงของฉีเจา ฉีเจ๋อก็พาเขาเข้าไปในรอยแยกมิติและเวลา
เมื่อพวกเขาทั้งสองเข้าไป ลู่หยวนก็วูบไหวก่อนจะพุ่งออกไป!
วิ้ง!
หลังจากผู้คนเข้าไป รอยแยกมิติและเวลาก็สั่นไหวก่อนจะปิดลง แล้วหมู่ม่านหมอกก็ปกคลุมอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากก้าวเข้าสู่ความผันผวนดังกล่าว ลู่หยวนเพียงรู้สึกว่าดวงตาสั่นไหว แล้วดวงดาวก็กระจายไปรอบข้างจนยากจะมองเห็นได้ชัดเจน
ลู่หยวนเงยหน้าขึ้นก่อนเนตรเทวะจะปรากฏขึ้นทันที
ดวงดาวเหล่านั้นกระจัดกระจายทันที แล้วโฉมหน้าดั้งเดิมของโลกใบนี้ก็ปรากฏต่อหน้าเขา!
โครงกระดูกขนาดใหญ่ปรากฏข้างลู่หยวน!
เขาผู้อยู่ข้างมันประหนึ่งหยดน้ำในมหาสมุทรที่ไม่มีความสลักสำคัญอะไร
หากมองอย่างละเอียดก็อาจแยกแยะได้ว่ามันคือสัตว์ร้ายขนาดมหึมาที่มีรูปร่างคล้ายกับเสือ!
เหนือโครงกระดูกดังกล่าวยังมีลำแสงสีทองขนาดเล็กที่วูบไหวอย่างต่อเนื่องในสภาพที่เป็นระเบียบราวกับเป็นสัญลักษณ์ของบางอย่าง
ลู่หยวนจับจ้องด้วยความสนใจก่อนจะเริ่มสลักผนึกไว้ในมือตามลำดับการวูบไหวของแสงสว่าง
ไม่กี่อึดใจต่อมา แสงสว่างเคลื่อนผ่านวัฏสงสารก่อนมือของเขาจะหยุดนิ่ง
อักขระที่เพิ่งถูกสลักในมือทำให้ลู่หยวนรู้สึกประทับใจไม่น้อย
“มัน… ยังไม่สมบูรณ์”
ลู่หยวนขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าอักขระที่เพิ่งถูกสลักลงไปยังไม่สมบูรณ์!
แต่จังหวะของมันแปลกประหลาดและมีความหมายลึกล้ำ
หลังจากสลักอักขระลงบนยันต์ว่างเปล่าชั่วคราว ลู่หยวนก็ใช้จุดแสงสว่างเพื่อค้นหาตำแหน่งของฉีเจ๋อกับฉีเจา!
ในตอนนี้ จุดแสงสว่างทั้งสองถึงกับแยกกันไปคนละทิศละทาง
ลู่หยวนอยู่ห่างจากพวกเขาทั้งสอง
ราวกับค่ายกลที่เขาเพิ่งเข้ามาจะส่งคนไปตามสถานที่ในโลกใบนี้แบบไร้จุดหมาย!
ลู่หยวนไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉีเจ๋อ เขาเพียงสนใจฉีเจาเท่านั้น!
เขามองจุดแสงสว่างซึ่งเป็นตัวแทนของฉีเจา มันยังคงเคลื่อนไหวไปทิศทางหนึ่ง!
ดูท่าอีกฝ่ายจะทราบว่าของดีเหล่านั้นอยู่ที่ไหน!
ลู่หยวนรีบก้าวเดินไปทางจุดแสงสว่างก่อนจะทะยานไปหาฉีเจา!
หลังจากลู่หยวนจากไปแล้ว โครงกระดูกที่มีรูปร่างคล้ายกับเสือพลันขยับ และกลิ่นอายเบาบางแปลกประหลาดก็ปกคลุมสรรพสิ่งรอบข้าง แม้แต่เขาก็ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติแต่อย่างใด
——————————-