ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 505 ราชวงศ์อู๋ซวง
บทที่ 505 ราชวงศ์อู๋ซวง
บทที่ 505 ราชวงศ์อู๋ซวง
ทหารยามที่เหลือซึ่งกระจัดกระจายทุกหนแห่งคุกเข่าลงพร้อมกันพลางตะโกนต่อลู่หยวนด้วยความเคารพ “คารวะบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่!”
หัวหน้ายามสวมเกราะทองเงยหน้าอีกครั้งขณะมองผู้หญิงสองคนที่อยู่ข้างกายลู่หยวนอย่างละเอียด จากนั้นสายตาของเขาจับจ้องไปทางฉินอี่หานก่อนจะถามอย่างไม่มั่นใจ “เป็นท่านหานใช่หรือไม่?”
ใบหน้าของฉินอี่หานพลันแข็งทื่อ แต่ก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว
เดิมทีนางคิดว่าเมื่อกลับมาสู่ราชวงศ์อู๋ซวง สถานการณ์ก็จะคล้ายกับเทียนเม่ยเอ๋อร์หรือแย่ยิ่งกว่า
ขอเพียงท่านอาที่แสนดีไม่เป็นคนนำทัพมาฆ่านาง แค่นั้นมันก็เป็นความเมตตากรุณาอย่างสูงแล้ว
คาดไม่ถึงว่าภาพเหมือนทั้งหมดจะถูกตระเตรียมไว้ แม้กระทั่งตัวตนของนางก็ถูกประกาศต่อราชองครักษ์
ทันทีที่นางเข้ามา อีกฝ่ายก็โพล่งออกมาว่า “ท่านหาน” ทันที
เห็นได้ชัดว่าอาผู้นี้รู้จักนางดีกว่าใคร!
ฉินอี่หานพลันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลก นางพยายามปกปิดตัวตนทุกย่างก้าว แต่ทั้งหมดก็เปล่าประโยชน์
ลู่หยวนยืนยิ้มหยันอยู่ด้านข้าง
เกรงว่าเรื่องราวในราชวงศ์อู๋ซวงจะลึกล้ำกว่าที่คาดไว้
ดูจากสีหน้าแล้ว อีกฝ่ายเตรียมตัวมาอย่างดีและไม่เกรงกลัวต่อการมาของพวกเขา
ลู่หยวนยืนเอามือไพล่หลังพลางยกยิ้ม รูปลักษณ์ประหนึ่งสุภาพบุรุษอ่อนโยนและเคร่งขรึมก็เปลี่ยนไป
แต่เมื่อเปิดปาก เขาก็มีท่าทีเหลาะแหละ “ในเมื่อรู้ว่าข้ามาถึงที่นี่แล้ว เหตุใดยังไม่ไปบอกให้ฉินเซียวมาพบข้าอีก!”
ทันทีที่สิ้นคำ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสดังมาจากด้านข้าง
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่มาปรากฏตัวเช่นนี้ ราชวงศ์ของพวกข้านับว่าโชคดีเหลือเกิน!”
พวกลู่หยวนหันไปมองด้านข้างก่อนจะพบว่ามีกลุ่มคนกำลังสาวเท้ามาทางประตูเมืองขนาดใหญ่
ชายผู้เป็นหัวหน้าสวมชุดมังกรทองและเสื้อคลุมสีม่วง บนศีรษะประดับด้วยมงกุฎ รูปร่างสูงโปร่งเต็มไปด้วยอำนาจจักรพรรดิที่แผ่ซ่านออกมา แม้ดวงตาจะเบิกกว้างพร้อมรอยยิ้ม แต่ก็ยังมีร่องรอยจิตสังหารซ่อนอยู่ภายใน
ข้างหลังเขามีผู้คนจำนวนมาก ทุกคนล้วนมีการฝึกยุทธ์สูงส่ง ส่วนใหญ่อยู่ขั้นเซียนยุทธ์ แต่ผู้ทะลวงถึงขั้นจ้าวยุทธ์ครึ่งก้าวกลับมีไม่มากนัก
ฉินเซียวเดินมาหาลู่หยวนอย่างสงบ ก่อนจะยืนนิ่งแล้วประสานมือทักทาย “บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่สบายดีสินะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่หยวนยังคงไม่แปรเปลี่ยน เขาไม่ได้ประสานมือทักทายตอบ สายตายังคงจับจ้องอีกฝ่าย
หากจักรพรรดิราชวงศ์อื่นมาเห็นลู่หยวนไม่ทักทายกลับเช่นนี้ พวกเขาย่อมรู้สึกเหมือนถูกมองข้ามจนเต็มไปด้วยโทสะอยู่ภายใน
ทว่าฉินเซียวกลับไม่ได้มีความไม่พอใจขณะลดมือลง จากนั้นยกมือขวาไปที่ข้างกาย “ทางวังได้จัดงานเลี้ยงเพื่อรอบุตรศักดิ์สิทธิ์อยู่นานแล้ว ขอให้ท่านโปรดไว้หน้าข้าด้วย!”
คนที่เหลือต่างเปิดทางให้
ฉินอี่หานรู้สึกวิตกกังวลเมื่อเห็นเช่นนี้ นางกังวลว่าฉินเซียวกำลังเชิญอีกฝ่ายเข้าสู่งานเลี้ยงสังหาร!
เมื่อกำลังจะก้าวไปข้างหน้า นางก็คว้าแขนเสื้อของลู่หยวนเอาไว้
แต่ทันทีที่โน้มตัวไปข้างหน้า นางก็ถูกกำราบโดยปราณกระบี่ของกู้ชิงหรัน
สีหน้าของกู้ชิงหรันเฉยชาและไม่ได้เอ่ยคำใด ดวงตางดงามของนางเพียงจับจ้องมาตรงหน้า
ในตอนนี้ ลู่หยวนก็แย้มยิ้ม “ได้”
สิ้นคำ เขาก็สาวเท้าเดินไปที่ใจกลางเมือง
ฉินเซียวไม่ได้เดินตามในทันที แต่ยังคงประสานมือและแย้มยิ้มไปทางกู้ชิงหรันกับฉินอี่หาน
“หลานสาวหานกับแม่นางท่านนี้ เชิญ”
กู้ชิงหรันคลายปราณกระบี่ที่กำราบฉินอี่หานเอาไว้ก่อนจะเดินตามลู่หยวนเข้าไปในเมือง
ฉินอี่หานไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามไป
เมื่อทั้งสามเดินผ่านไปแล้ว ฉินเซียวก็เดินตาม ทว่าใบหน้าของเขาที่ประดับด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่กลับหายไป แล้วอำนาจที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจก็ก่อตัวขึ้น!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้คนทั้งสองฝั่งต่างก้มศีรษะทีละคน ด้วยเกรงว่าฉินเซียวจะจ้องมองมาทางตนเอง
ฉินเซียวนำคนทั้งหลายไปที่ห้องโถงหลักของวัง โดยตัวเขานั่งเก้าอี้หลัก ส่วนลู่หยวนนั่งเก้าอี้แขก
ฉินเซียวมองฉินอี่หานพลางแย้มยิ้ม “เห็นหลานสาวหานปลอดภัยและประสบความสำเร็จร่วมกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่เช่นนี้ ข้าก็โล่งใจ”
จากนั้นเขามองไปทางลู่หยวนก่อนจะยกถ้วยขึ้น “ขอบคุณบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ที่ให้การดูแลหลานสาวของข้า ราชวงศ์อู๋ซวงรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก!”
สิ้นคำ ฉินเซียวก็ยกแก้วขึ้นดื่มและหัวเราะอย่างต่อเนื่อง
โทสะของฉินอี่หานยิ่งเพิ่มพูนขณะฟังคำของอีกฝ่าย นางคิ้วขมวด ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายราวกับพร้อมจะลงมือทุกเมื่อ!
ฉินเซียวคล้ายกับไม่เข้าใจขณะมองท่าทางของฉินอี่หาน “หลานสาวหานรู้สึกไม่สบายงั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะส่งคนพาเจ้าไปที่พักให้”
ลู่หยวนยิ้มหยัน “ฉินเซียว เลิกเสแสร้งได้แล้ว เจ้าไม่เหนื่อยบ้างหรือ?”
“ตั้งแต่ข้าออกจากแดนมัชฌิม เจ้าน่าจะส่งใครบางคนมาจับตาดูการเคลื่อนไหวใช่หรือไม่!”
“ถ้าข้าอยู่ตัวคนเดียว เจ้าคงไม่มีความคิดที่จะตามรอยอยู่แล้ว แต่เพราะรู้ว่าฉินอี่หานเดินทางไปกับข้าด้วย เจ้าก็เลยรู้สึกกังวลไม่มากก็น้อย”
เมื่อฉินเซียวได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มของเขากลับไม่จางหายขณะมองตรงมาทางลู่หยวน
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ช่างมีอารมณ์ขันนัก ข้ายังมีเรื่องอันใดต้องกังวลอีก?”
ลู่หยวนเอนกายไปข้างหลังแล้วยกขาขึ้น ท่าทีประหนึ่งปีศาจร้ายในร่างมนุษย์ก็ปรากฏขึ้น
“แน่นอนว่ากังวลเรื่องที่ข้าจะตัดศีรษะของเจ้า! รวมถึงเรื่องแย่งชิงบัลลังก์จักรพรรดิและกำราบเชื้อสายทั้งหมดของเจ้า!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเซียวค่อยจางหาย สีหน้ามุ่งร้ายอันบ้าคลั่งก็ปรากฏขึ้นทันที!
สิ้นเสียง เขาโยนขวดสุราในมือ
“เพล้ง”
ทั่วทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบ
ยามและสาวใช้ที่คอยรับใช้ล้วนเงียบกริบขณะร่างกายสั่นสะท้าน
“ลู่หยวน นี่มันเรื่องเก่าของราชวงศ์อู๋ซวงของข้า ยังไม่ถึงตาของเจ้าที่ต้องออกโรงในตอนนี้!”
“ส่วนฉินอี่หาน…”
คิ้วของฉินเซียวคลายออกขณะจิตสังหารพุ่งเป้าไปที่ฉินอี่หานทันที!
ฉินอี่หานสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิรอบข้างลดลง ไอเย็นเยือกก็ถาโถมเข้ามา ฉินเซียวคล้ายกับเทพแห่งความตายจากนรกที่มาเยือนโลก สายตาของเขาประหนึ่งดาบคมปลาบที่จ่ออยู่บนคอของนาง
แม้ฉินเซียวจะไม่ได้ปลดปล่อยพลังหรือทำการกำราบแต่อย่างใด แต่แค่สีหน้านี้ก็มากพอจะทำให้ฉินอี่หานหมดกำลังใจที่จะต่อสู้ ลมหายใจปั่นป่วนราวกับจะทรุดลงได้ทุกเมื่อ
ฉินเซียวยิ้มหยันพลางเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เช่นเดียวกับพี่ชายข้า พวกเขาล้วนเป็นขยะ”
เขาหันไปมองลู่หยวน “ถ้าเจ้าจะพานางไปก็แล้วไป หาไม่แล้ว ข้าก็ไม่รับปากว่านางจะมีชีวิตรอดไปถึงเมื่อไหร่”
“ราชวงศ์อู๋ซวงนี้มีสถานที่สร้างความสำราญมากมาย ลู่หยวน หากเจ้าอยากอยู่ต่อก็สามารถแวะเวียนมาได้ แต่ถ้าไม่ต้องการ เจ้าก็สามารถจากไปได้ทุกเมื่อ”
“ขอเพียงเจ้าไม่ต่อต้านข้า ข้าก็จะไม่ทำอะไรเจ้าเช่นกัน”
ฉินเซียวไม่ใช่คนโง่ เขาทราบเจตนาของลู่หยวนดี หากเป็นเด็กคนอื่นก็คงถูกเขาฆ่าตายไปนานแล้ว ไยต้องมาเสียเวลาแสดงละครตบตาด้วยเล่า!
เพียงแต่คนที่อยู่ที่นี่ในวันนี้คือ ลู่หยวน
เขาคือบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในแผ่นดินหลักเมื่อไม่นานมานี้!
หากบอกว่าเป็นเจ้าแห่งแดนเหนือ แดนมัชฌิมและหุบเขาบูรพาก็ไม่ใช่การกล่าวเกินจริง!
นอกจากลู่หยวนแล้ว อีกคนที่อายุเพียงเท่านี้แต่กลับสามารถทำให้ฉินเซียวหวาดกลัวได้ก็คือซ่งชิงแห่งตำหนักประตูสวรรค์!
ไม่ว่าจะเกิดอะไรในแผ่นดินหลักก็หาได้เกี่ยวกับฉินเซียวไม่ เขาเพียงอยากรักษาดินแดนสามหมู่และปกครองมันในฐานะจักรพรรดิอย่างมีความสุขก็เท่านั้น
แต่ถ้ามีใครมารบกวนความบริสุทธิ์เช่นนี้ก็อย่าโทษเขาที่ต้องลงมือ!
ขอเพียงลู่หยวนไม่ทำอะไร เขาก็จะไม่ลงมือเช่นกัน
แต่ฉินเซียวเชื่อว่าลู่หยวนจะต้องมีความกังวลบางอย่าง
ตอนนี้ลู่หยวนอยู่ในส่วนลึกของราชวงศ์ แถมยังมีเพียงสามคน โดยคนหนึ่งมีท่าทีหวาดกลัว แม้อีกสองคนจะมีอำนาจต่อสู้จริง แล้วพวกเขาจะต่อกรกับราชวงศ์ได้อย่างไร?!