ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 564 สายฟ้าฟาด แดนเซียนเกาะเมฆา
บทที่ 564 สายฟ้าฟาด แดนเซียนเกาะเมฆา
บทที่ 564 สายฟ้าฟาด แดนเซียนเกาะเมฆา
กู้ชิงหรันเงยหน้าขึ้น แล้วอำนาจกระบี่ที่ปะทุออกจากร่างก็ปัดป้องอสนีเกรี้ยวกราดทั้งหมดเอาไว้!
“ครืนนน!”
พายุฝนฟ้าคะนอง รวมถึงสายฟ้าแลบประหนึ่งกรงเล็บทั้งห้าของมังกรยักษ์พุ่งผ่านไปด้านข้างแล้วฟาดลงมาจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
ทุกคนที่เพิ่งถอยห่างออกมาตกตะลึงอยู่ภายใน พวกเขาลุกขึ้นก่อนจะถอยไปด้านหลังอีกครั้งในทันที!
“เปรี้ยง!”
สายฟ้าฟาดลงมาด้วยพลังทำลายล้างอันเกรี้ยวกราด ทำให้ทั่วหล้าสั่นสะเทือน!
ทุกอย่างพังทลายในพริบตา!
บรรพชนตระกูลหลิงผู้นั่งขัดสมาธิอยู่นอกลานวังไม่มีความตั้งใจที่จะถอยแม้แต่น้อย เขาเพียงกุมหอกข้างกายเอาไว้มั่น!
“วิ้ง!”
เจตจำนงหอกที่คลุ้มคลั่งประหนึ่งวันสิ้นโลกเคลื่อนลงมาขณะปัดป้องสายฟ้าทั้งหลายที่ฟาดลงมา!
แม้กู้ชิงหรันจะรับมือสายฟ้าเอาไว้ได้อย่างยากลำบาก แต่หลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งอึดใจ มันยังคงโจมตีเข้ามามิอาจหยุดยั้งได้!
อำนาจกระบี่ของกู้ชิงหรันไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป!
“โฮก!”
หมู่เมฆเคลื่อนตัวบนท้องนภาเหนือแดนมัชฌิม แล้วมือสีทองขนาดใหญ่จึงก่อตัวขึ้นในทันที!
มือนั้นเคลื่อนลงมาในพริบตาพร้อมกับพลังบดขยี้โลกอันคลุ้มคลั่งและเกรี้ยวกราด!
“ตู้ม!”
มือขนาดใหญ่พุ่งลงมาอย่างรุนแรงราวกับเป็นการโจมตีจากทวยเทพ มันกระแทกเข้าใส่โล่ของอำนาจกระบี่กู้ชิงหรัน!
กระบี่ส่งเสียงดังกึกก้องประหนึ่งอยู่ในมือของเทพธิดาขณะพยายามโจมตีมือนั้นที่กำลังบดขยี้ลงมา!
“วิ้ง!”
ผ่านไปสักพัก ฟ้าดินตกอยู่ในความเงียบสงบ ทั่วทั้งแดนมัชฌิมคล้ายกับถูกกักขังอยู่ในพื้นที่แปลกประหลาดยิ่ง มันทั้งเงียบงันและสงบนิ่งประหนึ่งผิวน้ำ!
“ตู้ม!”
เสียงคำรามดังขึ้นในทันที แล้วคลื่นอากาศก็สั่นสะเทือนทุกทิศทางไปไกลถึงหนึ่งหมื่นลี้เพียงแค่หนึ่งอึดใจ!
ทำเอาหูของทุกคนทั่วทั้งแดนมัชฌิมเกิดอาการเจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง!
พลังสั่นสะเทือนดังกล่าวทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหว หลายคนรู้สึกเจ็บปวดยิ่งเมื่อลมปราณและโลหิตพลุ่งพล่าน แล้วพวกเขาพลันล้มลงกับพื้นประหนึ่งชีวิตจะดับสูญได้ทุกเมื่อ!
กู้ชิงหรันยืนอยู่ใต้มือยักษ์ขณะทานทนต่อพลังโจมตี
ทว่านางยังคงยืนตัวตรงแม้จะมีโลหิตไหลทะลักออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ด! มือที่ถือกระบี่หักสั่นไหว
อำนาจกระบี่ที่ปกป้องลานวังของลู่หยวนเอาไว้พังทลาย ทำให้พลังส่วนใหญ่หายไป หากการโจมตีระลอกใหม่เข้ามา เกรงว่าอำนาจกระบี่ของกู้ชิงหรันจะพังทลายอย่างรวดเร็ว!
แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังคงยืนหยัดเช่นเคย ไม่มีทีท่ายินยอมแม้แต่น้อย!
ตอนนี้พลังรอบข้างยังคงก่อตัวขึ้นเติมเต็มโล่ของอำนาจกระบี่อย่างต่อเนื่อง!
“ไท่… อี…”
เสียงหนึ่งที่ยากจะแยกแยะว่าเป็นชายหรือหญิงดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดจากภายในหมู่เมฆ มันสง่างามไร้ที่ติประหนึ่งทวยเทพกำลังต่อว่า!
สายฟ้านับพันระเบิดก่อนจะครอบคลุมทั่วท้องนภา!
กู้ชิงหรันไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัว ซึ่งแรงสั่นสะเทือนนั้นทำให้อาการสั่นเทาที่มือหายไป!
นางมีสีหน้าเด็ดเดี่ยวขณะยื่นมือซ้ายออกไป แล้วกล่องกระบี่ไท่อีก็ปรากฏในทันที!
“ชิ้ง!”
โล่จากอำนาจกระบี่พลุ่งพล่านในพริบตา แล้วเจตจำนงกระบี่จากร่างของกู้ชิงหรันที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนล้วนเพิ่มขึ้นและแผดเผาอย่างต่อเนื่อง!
“เหลืออีกหนึ่งอึดใจ”
กู้ชิงหรันพึมพำกับตัวเองขณะโลหิตยังคงไหลออกจากปากอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชุดสีขาวเปรอะเปื้อนอย่างเลี่ยงไม่ได้
เสียงดังกล่าวยังคงดังมาจากหมู่เมฆ “ไท่อี นอกจากเจตจำนงทวยเทพแล้ว สรรพสิ่งบนโลกใบนี้มิอาจขัดขืนได้! หากเจ้ารับฟังคำแนะนำของข้าก็จงกลับที่ที่ตัวเองเคยอยู่เสีย! โลกใบนี้ต่อสู้กันมานับแสนปีแล้วอย่างไร? มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?!”
“มหาวิถีตกอยู่ในความโกลาหล สถานการณ์ถูกกำหนดมานานแล้ว เจ้าจะเปลี่ยนแปลงมันได้อย่างไร?!”
ทว่ากู้ชิงหรันไม่ยินยอมแล้วเอ่ยต่ออย่างเนิบช้า “ยังเหลืออีกครึ่งอึดใจ”
“ดื้อด้านเสียจริง!”
เสียงดังกล่าวประหนึ่งฟ้าร้องที่ดังกึกก้องไปทั่วท้องนภา
มือขนาดใหญ่อีกข้างพลันเข้าปกคลุมหมู่เมฆ!
ห้วงอากาศเหนือแดนมัชฌิมพังทลาย แล้วทั่วท้องนภาถูกแทนที่ด้วยมือดังกล่าว!
อำนาจไร้ที่สิ้นสุดไม่เพียงครอบคลุมแดนมัชฌิมเท่านั้น แต่ทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหงก็โดนลูกหลงไปด้วย
ผู้คนทั้งหลายในสี่ดินแดนที่เหลือต่างจ้องมองก่อนจะพบว่าห้วงอากาศถูกปกคลุมด้วยหลุมดำไร้ซึ่งแสงสว่างกับความมืด แล้วฟ้าดินผสานเข้าด้วยกันราวกับท้องนภากำลังพังทลาย!
สัตว์อสูรกระจัดกระจาย แผ่นดินสั่นสะเทือน แม่น้ำไหลย้อนกลับ วิญญาณชั่วร้ายตกอยู่ในความอลหม่าน!
เพียงชั่วพริบตา ทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหงก็ตกอยู่ในสถานการณ์วันสิ้นโลก!
…
ในห้วงอากาศแดนเหนือ ลู่ปู้ฝานที่อยู่บนเกาะเมฆายืนตัวตรงขณะสายตาจับจ้องไปทางแดนมัชฌิม
แม้โลกภายนอกกำลังสั่นสะเทือน ทว่าเกาะแห่งนี้กลับสงบสุข
ลู่ปู้ฝานยกยิ้ม ซึ่งใบหน้าของเขาเหมือนกับลู่หยวนทุกประการ
ทว่าหากให้ผู้ที่สนิทกับลู่หยวนมาจับจ้องอย่างใกล้ชิด พวกเขาย่อมบอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ลู่หยวน!
รอยยิ้มของลู่หยวนให้ความรู้สึกเหมือนกับชายผู้ต้องการครอบครองโลก มันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายซึ่งไม่กลัวเกรงโลกเป็นอย่างใด
แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่ปู้ฝานให้ความรู้สึกที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้นประหนึ่งผู้ผ่านช่วงเวลามานานนับแสนปี
“ในที่สุดลู่หยวนก็ก้าวไปอีกขั้น เหอะเหอะ คราวนี้ตระกูลลู่จะเกิดเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง ส่วนตัวหมากที่ข้าวางเอาไว้จนถึงตอนนี้ยังไม่ถูกใช้…”
ขณะครุ่นคิดถึงตรงนี้ ลู่ปู้ฝานจึงยกมือขึ้นวาดตัวอักษรเหนือห้วงอากาศ แล้วแสงยันต์สีทองพร่างพราวขณะชื่อจำนวนมากเคลื่อนลงมา
เขาลดมือลง แล้วแสงสว่างบนชื่อเหล่านั้นก็หม่นแสง
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง มันกลับปรากฏบนโต๊ะของลู่เทียนเหอ
ลู่ปู้ฝานเอามือไพล่หลังขณะเงยหน้าแล้วสูดหายใจเข้า
“แผ่นดินหยวนหงมีที่ว่างสำหรับตระกูลลู่ แม้แต่แดนเซียนก็มีที่ว่างสำหรับตระกูลลู่เช่นกัน!”
“แล้วหนึ่งหมื่นปีต่อจากนี้ วิถีสวรรค์จะมีที่ว่างสำหรับตระกูลลู่ด้วย!”
…….
…
ในแดนเซียนซึ่งดินแดนมหาจักรพรรดิทั้งหลายมาบรรจบกัน มหาจักรพรรดิทั้งห้าต่างมารวมตัวในวังโอ่อ่า
สถานที่นี้เต็มไปด้วยแสงสว่างกับกลิ่นอายเซียน อิฐและหินทุกก้อนต่างมีปราณวิญญาณเป็นของตัวเอง
ในวังดังกล่าวประกอบด้วยเก้าที่นั่ง ตอนนี้มีคนนั่งจับจองไปแล้วห้าที่
คนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งทิศตะวันออกคือมหาจักรพรรดิจิ่วเทียน!
คนที่นั่งอยู่ข้างเขาคือมหาจักรพรรดิเหลยอวี้!
อีกสามคนนั่งอยู่ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตก
ภายในวังดังกล่าวไม่มีใครเอ่ยอะไร ซึ่งดวงตาแต่ละคู่ต่างหลุบต่ำขณะจ้องมองเงาว่างเปล่าซึ่งอยู่ระหว่างที่นั่งทั้งเก้า
เงานั้นกำลังฉายสิ่งที่เกิดขึ้นในแผ่นดินหยวนหง!
จักรพรรดินีเหยาจีที่สวมชุดหรูหราล้ำค่าพลันยิ้มบางเมื่อเห็นมือยักษ์สองข้างเคลื่อนลงมา “ตงฟาง ข้าคิดว่าเจ้าฆ่าคนนี้ไม่ได้หรอก แค่ผ่านกระบี่ไท่อียังทำไม่ได้เลย!”
คนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากนางสวมชุดเกราะสีดำ กลิ่นอายรอบข้างเขาเงียบสงัดยิ่งประหนึ่งจักรพรรดิทั่วไปไร้ความน่าสนใจ!
คนผู้นี้คือ “ตงฟาง” ที่จักรพรรดินีเหยาจีเพิ่งเอ่ยถึง
หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ มหาจักรพรรดิตงฟางจึงเอ่ยอย่างเนิบช้า “หากสังหารไท่อีขึ้นมา ตอนที่เทพสงครามตื่นขึ้น ข้าจะอธิบายอย่างไร?”
ไม่มีผู้ใดกล่าวโต้แย้ง
จักรพรรดินีเหยาจียิ้มหยันอีกครั้ง “ตงฟาง เจ้าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา หากคราวนี้ยังไม่ได้อะไรกลับมาอีก มันจะไม่กลายเป็นเรื่องน่าขบขันหรอกหรือ?”