ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 565 ประมุขแห่งแดนเซียน
บทที่ 565 ประมุขแห่งแดนเซียน
บทที่ 565 ประมุขแห่งแดนเซียน
“เป็นเรื่องตลกงั้นรึ?”
ในที่สุดมหาจักรพรรดิตงฟางก็ยิ้มออกมา ทว่ากลับแผ่รังสีอันมืดมนลงอีกหนึ่งระดับ เหล่าประมุขทั้งหลายต่างก็สามารถรับรู้ได้ถึงแรงกดดันของบรรยากาศโดยรอบ
สายตาของมหาจักรพรรดิตงฟางค่อย ๆ ทอดมองลงมายังจักรพรรดินีเหยาจี “หมากแค่เพียงไม่กี่ตัว มีอะไรให้น่าขัน”
หลังจากเอ่ยจบ มหาจักรพรรดิตงฟางก็เบนสายตาไปยังห้วงมิติอันว่างเปล่า
ฝ่ายจักรพรรดินีเหยาจีนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็สะกิดใจกับคำว่า “หมาก” ที่มหาจักรพรรดิตงฟางเพิ่งเอ่ยถึงนั้น มิได้หมายถึงเพียงแค่ลู่หยวน และไท่อี แต่เป็นพวกท่านทั้งหลายที่อยู่ในที่แห่งนี้ต่างหาก
มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนรับรู้ถึงสีหน้าของทั้งสองคน เขาเข้าใจนัยที่ซ่อนเร้นในถ้อยคำของมหาจักรพรรดิตงฟางได้เป็นอย่างดี
จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ตามความคิดของข้า จิตเทวะที่มหาจักรพรรดิตงฟางแยกออกมาในคราครั้งนี้ก็ไม่อาจสังหารลู่หยวนได้! กลเม็ดของเด็กหนุ่มผู้นี้ล้วนมาจากวิถีโบราณ”
“แต่กระนั้น… ก็น่าสนใจยิ่งนัก”
“ในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งข้า และมหาจักรพรรดิตงฟางต่างก็ถูกวิถีสวรรค์ดึงพลังไปเพิ่มให้กับลู่หยวนโดยตรง ส่วนจักรพรรดินีเหยาจีก็ยังคงประมือกับลู่หยวนไม่เลิกรา”
“ดูเหมือนว่าจนถึงบัดนี้ พวกเราได้เผชิญหน้ากับเจ้าหนุ่มผู้นั้นมาแล้วสามหน และพ่ายแพ้ไปถึงสองครา”
เมื่อมหาจักรพรรดิเหลยอวี้ได้ยินดังนั้น แววแห่งความปรารถนาในการต่อสู้ก็ฉายชัดในดวงตาขึ้นมา “ข้าใคร่จะประลองฝีมือกับเจ้านั่นสักหน่อย วิถีโบราณงั้นรึ? ข้าผู้นี้ยังมิไม่เคยได้สัมผัส”
ท่ามกลางเหล่าจักรพรรดิที่มิมีผู้ใดเอ่ยถ้อยคำออกมา ปรากฏว่ามีเสียงตำหนิหนึ่งแทรกขึ้น “มหาจักรพรรดิเหลยอวี้ หากเจ้าคลั่งไคล้การต่อสู้ถึงเพียงนี้ ก็จงคลั่งไปคนเดียวเถิด! ที่พวกเรามารวมตัวกันในคราวนี้ ก็เพื่อปรึกษาหารือ มิใช่มาเพื่อต่อสู้กับเด็กหนุ่มจากแดนชั้นต่ำ!”
เหล่าประมุขที่เหลือต่างก็หันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งพบว่าประมุขผู้เปล่งเสียงนั้นมีใบหน้าที่แปลกประหลาดนัก
ใบหน้าด้านซ้ายแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยว ราวกับว่าพร้อมจะพุ่งเข้ามาฟาดฟันกับบรรดาประมุขเหล่านี้ได้ทุกเมื่อ
ทว่าใบหน้าด้านขวากลับเปี่ยมด้วยความสุภาพอ่อนโยน ประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
ประมุขผู้นี้ก็คือ มหาจักรพรรดิตงฟาง!
ประมุขผู้นี้เป็นอีกหนึ่งในผู้ที่มีความแปลกประหลาดที่สุด
ประมุของค์อื่น ๆ ต่างก็ครองบัลลังก์เพียงผู้เดียว และครอบครองดินแดนเพียงแห่งเดียว แต่สำหรับมหาจักรพรรดิตงฟางผู้นี้กลับเป็นพี่น้องสององค์ที่ได้รับการสถาปนาขึ้นด้วยกัน
แต่เริ่มเดิมที บัลลังก์ประมุขมีเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น จะมิอาจมีถึงสองพระองค์ได้
แต่การที่ทั้งสองได้รับการสถาปนาเป็นประมุขนั้นก็เป็นเรื่องจริงที่มิอาจปฏิเสธได้เช่นกัน เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ทั้งสองก็ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างอัศจรรย์ และได้รับการสถาปนาเป็นประมุขในที่สุด
จึงได้เป็นเช่นที่เห็นในปัจจุบัน ทั้งสองพระองค์ต่างก็แบ่งปันร่างกายร่วมกัน
แม้แต่อาภรณ์ของมหาจักรพรรดิตงฟางก็แปลกประหลาดยิ่งนัก
ด้านซ้ายของเขานั้นเปลือยกาย ผิวพรรณของเขาเป็นสีทองแดง มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ส่วนด้านขวานั้นแลดูสง่างามในอาภรณ์สีขาว มือขวานั้นก็ถือพัดหยกเอาไว้
“น้องเล็กเอ๋ย มิต้องโกรธเคืองถึงเพียงนี้ พวกเราแค่พูดคุยกันเท่านั้นเอง นับตั้งแต่ได้ขึ้นเป็นประมุข พวกเราก็มิเคยได้มารวมตัวกันเช่นนี้มาก่อน ส่วนเรื่องที่ต้องตัดสินใจนั้น ไม่ต้องรีบร้อน ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ ตัดสินใจกันก็ได้”
ด้านขวาของใบหน้าซึ่งแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนเอ่ยขึ้นเช่นนั้น
“ฮึ! จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร ตาเฒ่าจิ่วเทียนเรียกพวกเราให้มาที่นี่ ก็เพื่อดูเรื่องพวกนี้งั้นรึ? ตอนนี้ข้ารู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว แล้วเราจะทำกันอย่างไรกันต่อ? ยังจะอ้ำอึ้งกันอยู่ได้! อยากให้พวกเราดูต่อไปงั้นรึ? ข้ารู้ดีว่าเจ้าสุนัขแก่จิ่วเทียนมีแผนการเช่นไร เจ้าหมายจะซ่อนตัวอยู่ในความมืดและรอให้พวกเราเข้าไป วิถีสวรรค์กับวิถีโบราณต่างก็เกี่ยวพันกัน ดังนั้นจิ่วเทียนผู้นี้จึงไม่อยากเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไป”
ใบหน้าด้านซ้ายกระตุกยิ้มอย่างเย็นชามายังมหาจักรพรรดิจิ่วเทียนด้วยสายตาดูถูกดูแคลน
มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนมิได้ใส่ใจต่อถ้อยคำดูหมิ่นของมหาจักรพรรดิตงฟาง
เขาแค่ยิ้มบาง ๆ แล้วตอบว่า “มหาจักรพรรดิตงฟาง หากเจ้ารู้สึกว่าเราเสียเวลาในวันนี้ ก็เชิญออกไปได้เลย! หากในภายภาคหน้าวิถีสวรรค์และวิถีโบราณเกิดสิ่งใดขึ้นมา ก็อย่าได้มาโทษพวกเราว่ามิได้ยืนเคียงข้างเจ้าแล้วกัน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าซีกซ้ายของมหาจักรพรรดิตงฟางก็แดงก่ำด้วยโทสะ “เจ้าเอ่ยสิ่งใด?!”
“น้องเล็ก หุบปากเสีย!”
ใบหน้าทางด้านขวาเอ่ยเสียงเย็นเยียบในทันที ส่วนใบหน้าทางซีกซ้ายก็ไร้เสียงไปในบัดดล
“จิ่วเทียน ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพื่อผลประโยชน์ของพวกเรา เรื่องราวครานี้น้องเล็กทำผิดพลาดไป ข้าต้องขออภัยแทนเขาด้วย”
“ไม่จำเป็น”
มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนหรี่ตามอง แท้จริงแล้วเขาไม่ชอบมหาจักรพรรดิตงฟางคนน้องเอาเสียเลย
พี่น้องคู่นี้แม้จะก้าวขึ้นเป็นประมุขแล้วก็จริง ทว่าคนหนึ่งมีนิสัยวู่วาม ส่วนอีกคนก็ดูเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ คอยคิดคำนวณผู้อื่นลับหลังอยู่เสมอ
แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิถีสวรรค์และวิถีโบราณ จึงต้องให้เหล่าราชันทั้งหลายร่วมมือกันให้ได้!
หากพวกเขาร่วมมือด้วยความสามัคคีก็จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ถึงยามนั้น แผนการใด ๆ ของวิถีสวรรค์หรือวิถีโบราณ ก็ไม่อาจทำให้พวกเขากลายเป็นเครื่องสังเวยได้!
ใบหน้าขวาของมหาจักรพรรดิตงฟางกล่าวต่อ “ดูจากสถานการณ์ก็รู้แล้วว่าตงฟางแพ้แน่”
“เมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของวิถีสวรรค์กับวิถีโบราณ ข้าก็ไม่อยากปกปิดอะไรอีกต่อไป จะขอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาเลยแล้วกัน”
“ทุกท่านคงรู้ดีว่าวิถีสวรรค์กับวิถีโบราณต่อสู้กันมาช้านานจนก่อเกิดเป็นความขัดแย้งมากมาย ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนเคยอยู่ภายใต้วิถีสวรรค์ย่อมรู้ดีว่าการถูกวิถีสวรรค์คอยกำหนดนั้นเป็นอย่างไร”
“มิใช่ว่าข้ากล่าวเกินจริง ท่านทั้งหลายแม้จะเป็นประมุขที่อยู่เหนือวิถีสวรรค์แล้ว แต่ตัวเองก็รู้ดีว่าพวกท่านล้วนถูกวิถีสวรรค์กำหนดอยู่ไม่มากก็น้อย! ดังนั้นท่านจะยอมให้วิถีสวรรค์ดึงพลังของท่านไปเมื่อใดก็ได้ตามใจอย่างนั้นรึ”
เหล่าประมุขต่างมองหน้ามหาจักรพรรดิตงฟางโดยมิเอ่ยคัดค้าน
เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว ทุกคนต่างคำนวณอยู่ในใจ แท้จริงแล้วพวกเขามีความคิดบางอย่างที่ซุกซ่อนมานานหลายปีแต่มิได้พูดออกมา
ในยามนั้น เรื่องราวอาจยังไม่เร่งด่วนมากนัก จึงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยความคิดของตนออกไปอย่างโจ่งแจ้ง
เมื่อถึงขั้นสูงสุดของการฝึกฝน สิ่งที่จะรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งที่สุดคือ ความเปราะบางระหว่างแดนเซียนและแผ่นดินหยวนหง เช่นเดียวกับความขัดแย้งระหว่างพวกเขา
ผู้คนในแผ่นดินหยวนหงต่างก็คิดที่จะก้าวข้ามความว่างเปล่า เข้าสู่แดนเซียนและนับเป็นเซียน!
ทว่าเมื่อก้าวเข้ามาในแดนเซียนแล้วยิ่งบ่มเพาะตนเองมากเท่าใด สิ่งที่พวกเขารู้สึกก็มีเพียงแค่คำเดียว นั่นคือโชคชะตา!
นับตั้งแต่ที่สิ่งมีชีวิตต่ำต้อยอย่างพวกเขาถือกำเนิด โชคชะตาล้วนถูกกำหนดโดยวิถีสวรรค์
พวกเขาบ่มเพาะตนเองอย่างไร จะได้พบเจอกับผู้ใด จะประสบกับเหตุการณ์แบบใด ล้วนแต่เป็นสิ่งที่วิถีสวรรค์ได้จัดสรรไว้ล่วงหน้าแล้วทั้งสิ้น
วิถีสวรรค์อันไร้เทียมทานเช่นนี้ผงาดอยู่เบื้องหน้าพวกเขามาโดยตลอด ในเมื่อพลังกล้าแกร่งของพวกเขายังต่ำต้อยนัก พวกเขาจึงรู้สึกว่านี่คือกฎเกณฑ์ที่ไม่อาจจับต้องได้
เพียงสามารถก้าวข้ามวิถีสวรรค์ได้ พวกเขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนที่ตนเองไม่เคยเหยียบย่างได้!
เมื่อถึงตอนนั้น พลังของพวกเขาจะยิ่งใหญ่เสมอภาคกับวิถีสวรรค์!
และในโลกใบนี้นั้น พวกเขาก็จะเป็นผู้ควบคุมกฎเกณฑ์เสียเอง!
ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ได้ทำเช่นนั้นแล้ว โดยก้าวข้ามข้อจำกัดของวิถีสวรรค์ จนกลายเป็นประมุขแห่งแดนเซียน ปกครองแผ่นดิน และได้รับการสรรเสริญจากผู้คนเสมือนว่าเป็นเทพเจ้า!
แต่ถึงกระนั้น แม้จะกล่าวว่าพวกเขามีสถานะเสมอภาคกับวิถีสวรรค์อย่างไร้ข้อจำกัดก็ตาม เมื่อวิถีสวรรค์ต้องการสิ่งใดจะสามารถดึงมันไปจากพวกเขาได้ในทันทีเช่นนั้นหรือ?!