ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 585 การจัดการแดนมัชฌิม
บทที่ 585 การจัดการแดนมัชฌิม
บทที่ 585 การจัดการแดนมัชฌิม
คำเอ่ยของไป๋ชิวเอ๋อร์จุดประกายความคิดของหลาย ๆ คน
“หากหลังจากนี้จะมีการรวมคนที่มีเต๋าอื่น ๆ เข้ามา เช่นนั้นอาจจะมีโชคอย่างคราวนี้ก็เป็นได้?!”
“ข้าว่าเป็นไปได้สูงมาก! บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ฟันดาบเพียงครั้งเดียวก็สามารถแบ่งฟ้า ทำให้คนทั้งแผ่นดินมัชฌิมได้รับโชคลาภแล้ว! เช่นนั้นเมื่อฟันซ้ำอีกครั้งก็อาจจะมีโชคลาภจากวิถีกระบี่ปรากฏขึ้นอีก!”
“พวกท่านเอ่ยถูกต้องแล้ว ข้าต้องให้พวกพ้องของข้าที่อยู่ห่างไกลมาที่นี่ให้หมดเสีย! แม้ว่าใจกลางเมืองแดนมัชฌิมจะเต็มแล้ว แต่ว่าเมืองที่อยู่ด้านนอกน่ะ ยังมีที่ว่างเหลืออีกมาก!”
ทันทีที่มีคำวาจานี้ ก็ทำให้หลาย ๆ คนตระหนักบางอย่าง
ทันใดนั้น คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในแดนมัชฌิมก็หยุดชะงักลง “ข้าต้องรีบส่งข่าวให้พวกพ้องอพยพมาให้หมด! ที่ทะเลใต้มีอะไรดีให้อยู่กัน! แดนมัชฌิมนี่สิถึงจะเป็นที่ฝึกตนชั้นยอด!”
เมื่อเอ่ยจบ คนผู้นั้นก็ใช้ปราณของตนเองทะยานออกไป!
“ข้า ข้าก็จะไปส่งข่าว! ต้องให้ประมุขของเราเลิกทนทุกข์ทรมานในที่เล็ก ๆ นั่นเสียที และรีบมายังแดนมัชฌิมโดยเร็วเถิด!”
เพียงครู่เดียว คนทั้งหลายที่รายล้อมอยู่บนถนนก็แยกย้ายออกไปทีละคน เพื่อแจ้งข่าวให้ญาติของตนเองมารวมตัวกัน ส่วนผู้ที่อพยพมากันทั้งตระกูลแล้ว ก็รีบส่งข่าวให้เพื่อนสนิทหรือแม้แต่ญาติที่ไม่เคยเจอกันมาที่นี่
พวกเขามิได้ทำเพื่ออะไร หากคนเหล่านั้นมาที่นี่และได้รับโอกาสเหล่านี้ในอนาคต คนเหล่านั้นก็จะต้องขอบคุณพวกเขา และเมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลพวกเขาก็จะมิได้ต่อสู้เพียงลำพัง แต่จะเป็นการรวมกำลังกับกลุ่มตระกูลอื่น ๆ ซึ่งจะฝังรากลึกลงไปได้
ในความมืด ไป๋ชิวเอ๋อร์มองดูการกระทำของผู้คนเหล่านี้ มุมปากของนางก็ปรากฏรอยยิ้ม
บริวารหลายคนที่ติดตามไป๋ชิวเอ๋อร์สวมชุดเกราะสีดำ สะพายกระบี่และดูน่าเกรงขาม ทว่าตอนนี้กลับก้มหัวลง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง
ไป๋ชิวเอ๋อร์ลูบหัวไป๋เจ๋อในอ้อมแขน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านทั้งหลาย จงแจ้งข่าวไปยังเจ้าเมืองแต่ละเมือง ให้เตรียมต้อนรับกองกำลังภายนอก”
หนึ่งในบริวารลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูไป๋ ข้าเกรงว่าคนที่เข้ามานั้นจะมีจำนวนมาก ในขณะที่แดนมัชฌิมของพวกเราเพิ่งจะสร้างขึ้นใหม่ แม้ว่าจะยังมีพื้นที่ว่างอยู่มาก แต่ก็ไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากมายขนาดนั้นได้ขอรับ!”
ไป๋ชิวเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ “จะกลัวอะไรเล่า แดนมัชฌิมอยู่ไม่ได้ ก็ยังมีแดนเหนือ ทะเลใต้ และอาณาจักรประจิมอยู่มิใช่เหรอ ตอนนั้นก็แค่ยึดพื้นที่บางแห่ง แล้วสร้างเมืองเพิ่มขึ้นมาอีกไม่กี่เมืองก็เท่านั้น”
“เรื่องนั้น…”
ปัจจุบันทุกคนรู้ดีว่า พลังของลู่หยวนนั้นเหนือกว่าทุกคนในแดนเหนือ แดนมัชฌิม และเขาบูรพา ส่วนอีกสองดินแดนนั้น อยู่ภายใต้การปกครองของตำหนักประตูสวรรค์
สองมหาอำนาจนี้เพิ่งจะต่อสู้กันเมื่อไม่นานมานี้ และทั้งสองฝ่ายก็ได้รับความสูญเสียไปไม่น้อย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ความสามารถของลู่หยวนก็ยังไม่อาจกลืนกินอำนาจของตำหนักประตูสวรรค์ลงไปได้มากนัก
ทว่าตอนนี้คุณหนูไป๋กลับเอ่ยว่าจะยึดครองดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของตำหนักประตูสวรรค์อย่างนั้นหรือ?!
นี่มันคือการเปิดศึกเต็มรูปแบบเลยมิใช่หรือไร?!
ไป๋ชิวเอ๋อร์มิได้ตำหนิความคิดในใจของคนเหล่านี้ บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่นางเลือกไว้ และมีความตั้งใจที่จะฝึกฝนพวกเขาขึ้นมา หากต่อไปนี้ อำนาจของลู่หยวนยังคงแผ่ขยายต่อไป ก็จำเป็นต้องใช้คนที่ไว้ใจได้เพื่อควบคุมฐานที่มั่นบางแห่ง เมื่อถึงเวลานั้น หากไม่มีผู้ใดที่พร้อมใช้งานได้แล้วจะเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องมากเกินไปนัก แผนการครั้งนี้ยิ่งใหญ่มากเกินไป สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญ พวกเขาเพียงแค่เชื่อฟังคำสั่งก็เพียงพอแล้ว!
ไป๋ชิวเอ๋อร์เอ่ยว่า “ท่านทั้งหลายไม่ต้องกังวลไป เพียงแค่ทำสิ่งที่ข้าสั่งก็พอแล้ว”
ในอีกไม่กี่วันต่อมา ข่าวการฟันกระบี่เมฆาของลู่หยวนเพื่อแลกกับโชคลาภจากวิถีกระบี่ในแดนมัชฌิมก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป!
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ยิ่งเล่าลือกันไปก็ยิ่งเกินจริง พวกเขาเล่ากันว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีปราณเลย ได้รับโชคลาภจากลู่หยวน จนก้าวเข้าสู่ขั้นอมตยุทธ์ในทันที กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ของลู่หยวน ปัจจุบันนี้เพียงแค่พลิกมือก็สามารถกำหนดความเป็นความตายของผู้คนนับหมื่นได้!
แม้กระทั่งมีเรื่องเล่าว่า ลู่หยวนสามารถใช้ฝ่ามือตบคนตายให้ฟื้นได้
แน่นอนว่าเรื่องเล่าเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ลู่เฉินแห่งตระกูลลู่แต่งขึ้นทั้งสิ้น
เขาได้เงินก้อนหนึ่งจากการแต่งเรื่องเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ด้วยเรื่องเล่าเหล่านี้ ทำให้ผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ต่างมีความคาดหวังต่อแดนมัชฌิมมากขึ้น!
บนแผ่นดินใหญ่ หลายตระกูลหรือสำนักต่าง ๆ ต่างก็มั่นใจในพลังของตนเอง และมุ่งหน้าไปยังแดนมัชฌิมอย่างเร่งด่วน
แม้จะรู้ว่าการมาที่แดนมัชฌิมในเวลานี้ ย่อมไม่เหมือนกับการติดตามลู่หยวนมาตั้งแต่แรก ทว่าก็ยังไม่สายเกินไป!
หากไม่ได้กินเนื้อชิ้นใหญ่ แต่ได้กินเนื้อชิ้นเล็กก็ยังดี!
ก็ดีกว่าการอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายในถิ่นเดิมของตนเอง ซึ่งสามารถมองเห็นหนทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจน!
ชีวิตคนเราก็เปรียบเหมือนการพนันครั้งใหญ่ พวกเขาทั้งหลายได้เดิมพันทุกอย่างไว้ที่ลู่หยวนตั้งแต่การเดินทางไปยังแดนมัชฌิมแล้ว!
…
แม้สถานการณ์บนแผ่นดินใหญ่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน แต่ลู่หยวนและซ่งชิง ซึ่งเป็นแกนนำหลักของทั้งสองฝ่าย ต่างก็เข้าสู่สภาวะที่ผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน
ในตระกูลเสวียนที่ลานตำหนักของลู่หยวน มีบ่อน้ำพุร้อนที่เพิ่งขุดขึ้นใหม่
อู๋เต้าสวมชุดคลุมหรูหรานั่งอยู่ริมบ่อน้ำพุ มือถือจอกน้ำชา จิบไปพลางทำท่าทีสบายใจเฉิบ
ส่วนในบ่อน้ำพุ ลู่หยวนนั่งขัดสมาธิ บ่อที่เคยใสสะอาดในเมื่อก่อน บัดนี้กลับกลายเป็นสีเขียวขุ่น ดูไม่น่าจะดีต่อร่างกายนัก!
สือจิ่วกับเจิ้งชิงเทียนนั่งคุกเข่าอยู่คนละฟาก ใช้กระบวยหยกตักน้ำจากบ่อน้ำพุราดรดลงบนตัวลู่หยวนเบา ๆ
ไอน้ำจากบ่อน้ำพุอาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ฝึกยุทธ์ แต่ในเวลานี้ใบหน้าของสือจิ่วและเจิ้งชิงเทียนกลับแดงระเรื่อเล็กน้อย
น้ำในบ่อสีเขียวขุ่นนี้เป็นยาแช่เพิ่มพลังกายที่อู๋เต้าและตี้อู่เหอซ่าน ร่วมกันปรุงขึ้นเป็นพิเศษเพื่อลู่หยวน
แม้ว่าลู่หยวนจะได้ก้าวขึ้นสู่ขั้นที่มิมีผู้ใดเทียบได้ แต่ก็เป็นการก้าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน และร่างกายของเขายังมีจุดอ่อนบางประการอยู่
ทั้งสองใคร่ครวญอยู่นาน จึงคิดค้นสูตรนี้ขึ้นมา โดยมิได้หวังผลอื่นใด เพียงเพื่อช่วยให้ลู่หยวนที่ไม่เคยแช่ยาเพิ่มพลังกายมาก่อนได้เติมเต็มส่วนนี้
“ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ เราได้จัดการเรื่องทุกอย่างของคนเหล่านั้นที่ท่านว่าแล้ว”
เสียงหญิงสาวที่ค่อนข้างองอาจดังขึ้น ผู้มาใหม่สวมชุดรัดกุม นางเผยยิ้มมุมปาก แบกหัวสัตว์ขนาดใหญ่อยู่ในมือ คนผู้นั้นคือตี้อู่เหอซ่าน!
หากผู้อื่นได้เห็นภาพนี้ คงต้องตาค้างแล้วหายใจไม่ทั่วท้องเป็นแน่!
สิ่งที่ตี้อู่เหอซ่านแบกอยู่นี้ ก็คือปี้ซี หนึ่งในสัตว์เทวะ!
ปี้ซีที่ตี้อู่เหอซ่านแบกมานี้ มีขนาดเท่าคน ซึ่งขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีอายุเป็นหมื่นปี!
เมื่อมองดูบริเวณที่หัวปี้ซีถูกตัด รวมถึงสีหน้าท่าทางของมันแล้ว คล้ายกับว่าใช้เพียงดาบเดียวในการตัดให้ขาด!
เมื่อตี้อู่เหอซ่านมาถึง ทุกคนก็หันไปมอง จากนั้นก็ทำท่าทางไม่สนใจเท่าใดนัก!
ตี้อู่เหอซ่านลากปี้ซีมาไปวางไว้ข้าง ๆ ลู่หยวน จากนั้นก็ล้วงมือขวาเข้าไปในหัวของมัน แล้วหยิบของสีเขียวมรกตออกมาโยนลงไปในบ่อน้ำพุที่ลู่หยวนแช่อยู่!
เมื่อโยนของสิ่งนั้นลงไป ทั้งบ่อน้ำพุก็เริ่มกลายเป็นสีดำเล็กน้อย
ตี้อู่เหอซ่านเก็บหัวปี้ซีที่เหลือไว้ รอให้ลู่หยวนออกมาก่อนแล้วค่อยย่างกิน
ลู่หยวนลืมตาขึ้นช้า ๆ สายตาจับจ้องไปที่ตี้อู่เหอซ่าน “จัดการเรียบร้อยแล้ว”
คนเหล่านี้เมื่ออยู่ในร่างกายมนุษย์แล้ว ไม่สามารถนำไปฝากไว้ในหอคอยอสูรสวรรค์ได้อีกต่อไป จึงต้องติดตามลู่หยวนไปทุกหนทุกแห่ง
และขณะนี้ ลู่หยวนก็มีเรื่องบางอย่างที่จำเป็นต้องให้ผู้ที่แข็งแกร่งไปจัดการเช่นกัน
เมื่อพวกเขาได้ยินคำสั่งนี้ต่างก็ตั้งใจฟังในทันที เนื่องจากเป็นภารกิจแรกที่ได้รับมอบหมายหลังจากที่ได้ร่างกายกลับคืนมา
“เจิ้งชิงเทียนไปประจำการที่ตระกูลชิวเถิด แม้ตระกูลชิวจะถูกกดขี่มานักต่อนักแล้ว แต่วิถีคุณธรรมก็ยังมีค่าพอที่จะหนุนหลังอยู่ และเรื่องเขาบูรพา เจ้าก็ดูแลให้ด้วย หากมีผู้ใดคิดร้ายก็จัดการสังหารเสียให้หมด!”
เจิ้งชิงเทียนได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับทันที “ข้าน้อยรับคำสั่งท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์!”
ลู่หยวนครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นจึงหันไปมองอู๋เต้า “เจ้าจงอยู่ในแดนมัชฌิม เวลานี้ แดนมัชฌิมกำลังรุ่งเรืองเต็มที่ มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามามากมาย จึงขาดผู้ที่แข็งแกร่งเพื่อข่มขวัญ!”
“และเจ้าก็เป็นหนึ่งในมนุษย์จักรพรรดิ วิญญาณของเจ้าฝังวิญญาณจักรพรรดิเอาไว้ เมื่ออยู่ในแดนมัชฌิม วิญญาณจักรพรรดิของเจ้าก็จะส่งผลดีต่อ วิญญาณจักรพรรดิในแดนมัชฌิมด้วย!”
อู๋เต้าเข้าใจเจตนาของลู่หยวน จึงประจำการอยู่ในแดนมัชฌิม และไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใด เพียงแค่ข่มขวัญผู้คนในแดนนี้ทั้งหมดก็เพียงพอแล้ว เพื่อให้ผู้ที่คิดร้ายต่าง ๆ ล้มเลิกความคิดนั้นไป
และยิ่งไปกว่านั้น วิญญาณจักรพรรดิทั้งมวลในใต้หล้านี้ ล้วนเกิดมาจากพวกเขาซึ่งเป็นมนุษย์จักรพรรดิ หมายความว่าความสามารถของจักรพรรดิทั้งสามนี้สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้
นั่นหมายความว่าวิญญาณจักรพรรดิของแดนมัชฌิม ก็คือวิญญาณจักรพรรดิที่วิวัฒนาการมาจากอู๋เต้า!
การที่เขาอยู่ที่นี่จะช่วยส่งเสริมวิญญาณจักรพรรดิได้อย่างแนบเนียน ทำให้วิญญาณจักรพรรดิของแดนมัชฌิม ยิ่งรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ!
“แล้วข้าล่ะ?”
ตี้อู่เหอซ่านอดทนไม่ไหวแล้ว นางจ้องมองไปที่ลู่หยวน และรอคอยคำสั่ง
มุมปากของลู่หยวนยกขึ้น “เจ้าและสือจิ่ว จงติดตามข้าไป!”
ตี้อู่เหอซ่านได้ยินดังนั้น แววตาก็เผยความห่อเหี่ยวออกมาทันที นางเอ่ยคำว่า “โอ้” แล้วเดินไปนั่งบนหินข้าง ๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง
เมื่อเห็นตี้อู่เหอซ่านเป็นเช่นนี้ ลู่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เป็นอะไร ติดตามข้ามานี่ เจ้ารู้สึกอับอายอย่างนั้นรึ?”
ตี้อู่เหอซ่านส่ายหัวรินชาให้ตนเอง “มิใช่เช่นนั้น เพียงแต่ข้าเพิ่งจะมีร่างกายนี้ ไม่นึกว่าจะมิได้เป็นที่ข่มขวัญผู้คน เห้อ หากได้เป็นเหมือนพวกเขา คงจะได้รับการสรรเสริญจากผู้คนมากมาย!”
“แต่ตอนนี้… แค่ได้อยู่เคียงข้างท่านผู้เป็นใหญ่ ต่อให้ข้าทลายสวรรค์ลงมา แสงสว่างของข้าก็คงถูกบดบังอยู่ดี! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหนือกว่าข้า ยังมีท่านผู้เป็นใหญ่อยู่เสมอ!!”
ถ้อยคำของตี้อู่เหอซ่านเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย นางรู้ดีว่าดินแดนแห่งนี้ไม่ให้ความสำคัญกับวิชาต่อสู้ จึงอยากแสดงฝีมือให้ผู้คนรับรู้ว่าวิชาต่อสู้มีความหมายมากเพียงใด
แต่การที่ตอนนี้ตนเองต้องติดตามลู่หยวนอยู่ จะมีโอกาสได้แสดงความสามารถได้อย่างไรเล่า!
ไม่ว่าจะเก่งกล้าเพียงใด สุดท้ายแล้วก็ต้องถูกลู่หยวนบดบังไปอยู่ดี!
เอ่ยอีกอย่างก็คือ แม้ว่านางจะซัดวิถีสวรรค์จนหน้าหงาย แต่ลู่หยวนก็ยังสามารถสู้กับวิถีสวรรค์จนจมลงดินได้อย่างง่ายดาย!
“ข้าเข้าใจแล้ว โอกาสที่จะให้เจ้าแสดงฝีมือยังมีอีกมากมาย มิจำเป็นต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้”