ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 592 เครื่องรางโลหิต
บทที่ 592 เครื่องรางโลหิต
บทที่ 592 เครื่องรางโลหิต
องครักษ์ตระกูลลู่ที่เฝ้าอยู่นอกกำแพงเวทหลายชั้น เมื่อเห็นว่ากำแพงเวทมนตร์ได้รับการเสริมสร้างอีกครั้ง ก็เกิดความสับสนกันถ้วนหน้า จึงส่งคนไปรายงานลู่เทียนเฟิ่งโดยทันที
ในเวลานี้ ลู่เทียนเฟิ่งกำลังอยู่ในหอตำราและไม่รู้ว่ากำลังดูอะไรอยู่ ทหารองครักษ์เดินเข้ามาและรายงานเรื่องราวทั้งหมดให้ทราบ
เมื่อลู่เทียนเฟิ่งฟังจบ ใบหน้าก็ไร้อารมณ์ “ปล่อยให้เด็กคนนั้นสำราญไปเถิด เจ้าจงไปสั่งให้ผู้ที่มีการพลังบ่มเพาะในระดับปรมาจารย์ยุทธ์สังหารสัตว์อสูรซึ่งเลี้ยงไว้ในตระกูลให้สิ้นซาก เพื่อนำมาเตรียมให้คุณชายและคุณหนูใหญ่บำรุงร่างกาย”
องครักษ์หนุ่มผู้นี้ยังคงมีความเยาว์วัยและหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะเฝ้าอยู่ก็ยังคิดว่าคุณชายและนายหญิงได้ร่วมกันฝึกฝนแบบปิดตนอยู่ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้อีกหรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“โธ่ นี่ผ่านมาแปดวันแล้ว! ร่างกายของคุณชายช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!”
องครักษ์พึมพำอยู่ลำพัง ทันใดนั้นคลื่นความโกลาหลก็เกิดขึ้นในใจ!
คุณชายผู้เป็นแบบอย่างของข้า!
ลู่เทียนเฟิ่งเหลือบตามองอย่างเย็นชาและเอ็ดขึ้นมาเสียงดัง “เรื่องของคุณชาย พวกเจ้ากล้าวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไร แค่นี้ก็ทนไม่ได้กันแล้วหรือ!”
องครักษ์หนุ่มผู้นั้นหน้าซีดลงในทันที ก่อนจะคุกเข่าลงไปกับพื้น ก้มหัวต่อหน้าลู่เทียนเฟิ่งและกระแทกศีรษะลงอย่างรุนแรง “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าไม่ควรคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของคุณชาย ท่านโปรดลงโทษ!”
“ออกไปให้พ้น!”
ลู่เทียนเฟิ่งเอ่ยเพียงสั้น ๆ
หลังจากได้ยินถ้อยคำนั้น ทหารองครักษ์ก็รู้สึกราวกับถูกกระแทกที่หน้าอก ทำหัวใจของเขาหยุดเต้นไปชั่วขณะ
ร่างทั้งร่างก็ล้มลงอย่างแรงก่อนจะกระเด็นออกไปหลายสิบลี้!
องครักษ์จำนวนมากที่เฝ้าอยู่นอกหอตำราต่างก็เกร็งกล้ามเนื้อของตนเอง ชีพจรเต้นแรงยิ่งขึ้น ไม่กล้าละเลยหน้าที่แม้แต่น้อย!
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พวกเขาจึงรู้สึกราวกับว่าลู่เทียนเฟิ่งมีบุคลิกที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก!
เมื่อนานมาแล้ว ลู่เทียนเฟิ่งยังไม่เป็นเช่นนี้ เขามักจะเฉื่อยชาและสนิทสนมกับคนเหล่านี้มาก ในตอนที่เขาถูกคุมขังอยู่ในที่แห่งหนึ่ง คนเหล่านี้ยังเคยส่งขาไก่ให้เขา เวลานั้นลู่เทียนเฟิ่งยังคงเสวนากับพวกเขาอย่างสุภาพ
นับตั้งแต่ถูกลู่เทียนเหอพาตัวกลับบ้านคราวที่แล้ว เขาก็อยู่ในสภาพที่คลุ้มคลั่ง เมื่อถูกบรรพชนกดขี่ในเวลาไม่นานเขาก็ได้รับการปล่อยตัว
หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวไม่นาน ลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยก็ได้ประกาศปิดด่านฝึกตนไปพร้อมกัน ลู่เทียนเฟิ่งผู้นี้ซึ่งไม่เคยบริหารกิจการของตระกูลมาก่อน ทว่าต้องกลับกลายเป็นตัวแทนประมุข และพฤติกรรมของเขาก็แตกต่างจากเดิมมาก!
เขาอารมณ์แปรปรวน ไม่รู้ว่าจะโกรธขึ้นเมื่อไหร่ เว้นเสียแต่วันที่คุณชายกลับมา ลู่เทียนเฟิงจะกินขาไก่ แต่วันอื่น ๆ ไม่เคยเห็นเขากินมันอีกเลย!
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มิได้มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สังเกตเห็น เหล่าผู้อาวุโสและองครักษ์ที่นั่งประจำในตระกูลก็รู้ดี แต่เหล่าผู้อาวุโสและองครักษ์ไม่เคยเอ่ยอะไร พวกเขาจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไร
ทุกคนพ่นลมหายใจที่ขุ่นมัวและระงับความคิดในใจเอาไว้สิ้น!
ภายในตระกูลลู่แห่งนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
พวกเขาเหล่านี้ที่เป็นได้เพียงองครักษ์ พวกเขาไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยว ได้แต่หวังเพียงว่าบรรดาผู้แข็งแกร่งเหล่านี้เมื่อต่อสู้กันจะไม่พาลโกรธพวกเขาและเมตตาไว้ชีวิตของพวกเขาด้วย
…
เวลาผ่านไปอีกสามวัน
ในที่สุดลู่หยวนก็พากู้ชิงหรันออกมาจากตำหนัก
ปรากฏว่ากำแพงเวทมนตร์นอกตำหนักทั้งหมดนั้นพังทลายลงมาในเวลานี้!
และร่างสีขาวสองร่างก็ออกมาพร้อมกัน ชายหนุ่มรูปงามสง่า โดดเด่น และมีร่างกายที่เป็นอมตะ
กับหญิงสาวสวมมงกุฎหยก เรียวคิ้วและดวงตาทรงเสน่ห์ มีกลิ่นอายของความเย็นชา เจตจำนงกระบี่ที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายนั้น หาสิ่งใดเปรียบมิได้!
เมื่อผู้คนทั้งหลายเห็นเช่นนี้ ต่างก็พึมพำในใจว่า “คู่รักสวรรค์สร้างจริงแท้”
เหล่าองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าลานตำหนักของลู่หยวนนั้นล้วนฉลาดเฉียบแหลม พวกเขารีบก้มหัวคำนับลู่หยวนพร้อมทั้งกู้ชิงหรันอย่างนอบน้อม “ขอคารวะคุณชายและนายหญิง!”
คนอื่น ๆ ต่างก็ได้สติ รีบก้มหัวคำนับตาม “ขอคารวะคุณชายและนายหญิงผู้มีอายุยืนยาว!”
ลู่หยวนพร้อมทั้งกู้ชิงหรันยืนเคียงบ่าเคียงไหล่พยักหน้ารับเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาอยู่ที่ใด?”
ชายคนหนึ่งก้าวออกมาตอบว่า “ขณะนี้ท่านรองประมุขอยู่ที่หอตำรา ท่านสั่งพวกเราไว้ ว่าหากคุณชายออกมาแล้ว ก็สามารถพานายหญิงไปหาท่านได้เลย!”
“รองประมุข…”
ลู่หยวนพึมพำสามคำนี้อย่างช้า ๆ จากนั้นก็ยิ้มมุมปาก “ในเมื่อท่านอาเฝ้ารอเราอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ให้ท่านรอต่อไปเถิด ชิงหรันเจ้าไปเยี่ยมท่านพ่อและท่านแม่กับข้า”
กู้ชิงหรันพยักหน้า
ลู่หยวนจับมือกู้ชิงหรัน พื้นที่ว่างโดยรอบก็สั่นไหว ชั่วพริบตาร่างของทั้งสองก็หายลับไปจากที่เดิม!
ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปถึงลู่เทียนเฟิ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อลู่เทียนเฟิ่งได้ยินดังนั้น ก็วางม้วนตำราที่อยู่ในมือลง สายตาของเขาดุดันมากขึ้นเล็กน้อย “เจ้าเอ่ยจริงหรือที่ว่ามันบอกให้ข้ารอต่อไป?”
องครักษ์ที่มารายงานรู้สึกตกใจกลัว แต่ก็พยายามกลั้นความกลัวเอาไว้ แล้วพยักหน้า “คุณชายเอ่ยเช่นนั้นจริง ๆ ขอรับ”
ลู่เทียนเฟิ่งแค่นหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะรอ เจ้าจงไปเตรียมสัตว์อสูรที่ฆ่าไปเมื่อไม่กี่วันนี้มาทำเป็นน้ำแกงร้อน ๆ เถิด”
“รับบัญชา!”
องครักษ์ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จึงรีบถอยออกจากโถงไป
หอตำราที่กว้างใหญ่ก็กลับสู่ความเงียบเหงาอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปนาน ก็มีเสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมา เสียงนั้นทุ้มต่ำมาก แฝงไปด้วยความรอบรู้ “เรื่องของลู่เทียนเฟิ่ง เจ้ากับลู่หยวนจัดการให้เรียบร้อยก็แล้วกัน”
“รับบัญชา!”
…
ลู่หยวนพากู้ชิงหรันมายังสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งของตระกูลลู่ ที่นี่มีเหล่าเทียมเซียนกว่าสามพันคนเฝ้าอารักขาอยู่โดยรอบ แต่ละคนสวมชุดเกราะสีดำสนิทและใบหน้าเคร่งขรึม!
ด้านหลังกลุ่มคนเหล่านั้น มีหอคอยหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ หอคอยหินนี้ดูเรียบง่าย ทว่ารอบ ๆ หอคอยกลับมีอักขระเวทมนตร์มากมายรายล้อมอยู่!
“คุณชาย! นายหญิง!”
หัวหน้าองครักษ์คนหนึ่งเมื่อเห็นลู่หยวนพร้อมกับกู้ชิงหรัน ก็รีบก้มหัวคำนับอย่างนอบน้อม
ขณะที่องครักษ์คนอื่น ๆ ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้แสดงความเคารพต่อลู่หยวนแม้แต่น้อย
ลู่หยวนพยักหน้าแล้วก็มองไปที่หอคอยหินเบื้องหน้า
นี่คือสถานที่ที่ลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยฝึกวิชายุทธ์ลับ
เมื่อเห็นลู่หยวนหยุดอยู่ที่นี่ องครักษ์ก็ลังเลใจที่จะเปิดปาก “คุณชาย ท่านจะเข้าพบประมุขหรือไม่? ขณะนี้ประมุขกำลังก้าวข้ามขีดจำกัด บางที…”
องครักษ์เอ่ยเพียงเท่านี้ ลู่หยวนก็เข้าใจความหมายในทันที หากฝ่าวงอาคมเข้าไปตอนนี้ จะเป็นอันตรายต่อลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยแน่
แม้ว่าลู่หยวนจะรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อยากคิดมากให้เสียเรื่อง
“ไม่เป็นไร ข้ามาที่นี่เพื่อเอ่ยไม่กี่คำเท่านั้น”
เมื่อองครักษ์ได้ยินดังนั้น จึงรู้ว่าควรถอนตัวไป
ลู่หยวนจับมืออันเนียนนุ่มของกู้ชิงหรัน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม จากนั้นหันไปทางหอคอยหินแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ปราณวิญญาณรอบ ๆ ตัวลู่หยวนก็ทำงานอย่างรวดเร็ว!
“ท่านพ่อ! ท่านแม่!”
ลู่หยวนส่งเสียงกึกก้องไปทั่วตระกูลลู่ !
“ข้าจะรีบทำให้พวกท่านได้อุ้มหลานเร็ว ๆ!”
เมื่อลู่หยวนเอ่ยจบเสียงสะท้อนก็แผ่ขยายออกไปเป็นชั้น ๆ กึกก้องไปแผ่นดินนี้
เมื่อเสียงสะท้อนสงบลง กู้ชิงหรันก็เบนสายตาหนีไป ใบหน้านางดูเขินอายเล็กน้อย แต่ก็มิได้ห้ามปรามลู่หยวน
รอยยิ้มของลู่หยวนยิ่งกว้างขึ้น เมื่อกำลังจะก้มลงไปกระซิบอะไรกับกู้ชิงหรัน จู่ ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็แข็งค้าง จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ลู่หยวนปัดแขนเสื้อแล้วเอ่ยกับกู้ชิงหรันว่า “กลับกันเถิด”
กู้ชิงหรันพยักหน้าแล้วก็เดินตามลู่หยวนจากไป
นอกจากลู่หยวนแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ ว่าในขณะนี้ ภายในแขนเสื้อของลู่หยวนมีเครื่องรางที่เปื้อนเลือดของลู่เทียนเหออยู่