ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 135
ตอนที่ 135 ผมรักษาได้
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายและมีตั้งหลายตัวอย่าง ในปัจจุบันมรดกโลกที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความโหดร้ายของกาลเวลามากันทั้งนั้น หลังจากผ่านระยะเวลามาเป็นพันปี มีมรดกชิ้นไหนที่ยังสะอาดใหม่เอี่ยมอยู่เหมือนเดิมทุกอย่างบ้าง คําตอบคือไม่มี!
ดังนั้นเมืองนิรนามไร้ชื่อแห่งนี้ก็อาจจะเป็นเหมือนกัน….!
ในอดีตมันอาจจะมีปราสาท มีสิ่งประดิษฐ์ก่อสร้างที่สวยงามและตระการตา แต่เมื่อมันผ่านเวลาอันโหดร้ายจนท้ายที่สุดเมืองที่รุ่งเรืองและเจริญทางวัฒนธรรมก็กลายเป็นแผ่นดินที่ว่างเปล่า…ทฤษฎีนี้ค่อนข้างน่าเชื่อถือและน่าจะเป็นจริงมากที่สุด แต่ถึงมันจะน่าเชื่อถือยังไง พวกเขาก็รู้อยู่ดีว่ามันก็คือการคาดเดา… มันไม่มีหลักฐานให้เชื่อถือในทางวิทยาศาสตร์แม้แต่น้อย
สําหรับเฟคต้าแล้ว… การคาดเดาเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ การสันนิษฐานนับว่าเป็นส่วนสําคัญในการสืบสวน คําเล่าลือก็ถือเป็นข้อมูลชั้นดี แต่หากทุกอย่างขาดหลักฐานในการเชื่อมโยงและหลักฐานในการยืนยันอย่างชัดเจน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถบันทึกอยู่ในเอกสารหรือนําไปเสนอคนใหญ่คนโตจากเบื้องบนได้
โดยมากที่ทฤษฎีที่อ้างอิงเหล่านี้มักจะอยู่ในเอกสารชั้นรองที่เข้าถึงง่ายในระดับแผนกปฏิบัติการ หรืออาจจะนําไปคุยกันเล่นสนุกๆได้ แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้รับการยอมรับจากเบื้องบน
แต่ความจริงของเรื่องนี้จะยังไงก็ช่างเถิด ทั้งหมดเป็นสิ่งที่วางไว้ได้ก่อนได้ เรื่องนิทานเรื่องตํานานเพลาๆไว้บ้างก็ดี สิ่งที่พวกเขาควรสนใจในตอนนี้ก็คือ “อุโมงค์ใต้ดิน”
หลังจากฟังเสียงที่ถูกปรับปรุงและปรับแต่งโดยทีมงานคุณภาพ เหล่าผู้บัญชาการก็พบว่า ดูเหมือนว่าหน่วยนักล่าอสูรจะพบทางออกใหม่สําหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้แล้ว อย่างไรก็ดีด้วยประสบการณ์อันยาวนานของเหล่าผู้บัญชาการที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วนไม่ต่างกับเมืองนิรนามที่ล่มสลาย พวกเขารู้สึกว่าหน่วยนักล่าอสูรกําลังจะหนีเสือปะจระเข้ และอาจจะนําไปสู่อันตรายครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้หัวใจของเหล่าผู้บัญชาการทั้งหมดก็จมดิ่งสู่ความนิ่งเงียบ จากนั้นเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ พวกเขาได้แต่นั่งเรื่อยๆ กันบนเก้าอี้อย่างเคร่งเครียด
ในขณะที่รอไปเรื่อยๆ และหวังว่าสายสัญญาณจากอีกฝั่งหนึ่งจะดีขึ้น พวกเขาก็ได้แต่ทนนั่งฟังเสียงที่ย้อนไปย้อนมาเพราะต้องการปรับปรุงจากช่างเทคนิคภายในห้อง เสียงที่พวกเขาได้ยินมีแต่เสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
นอกจากนี้ยังมีเสียงความถี่รุนแรงที่คล้ายกับเสียงสัตว์ร้องอยู่ประปราย มันคล้ายกับเสียงผู้คนที่กําลังตกอยู่ในท้องทะเลที่บ้าคลั่ง มันเต็มไปด้วยคลื่นน้ำและเสียงที่กรีดร้องเหล่านั้นก็ถูกซัดหายไปกับคลื่นทะเล และสุดท้ายความหวังทั้งหมดก็หายไปในสายลม
ในเวลาต่อมาก็มีร่างๆ หนึ่งที่รีบเข้ามาในห้องประชุมของเหล่าผู้บัญชาการ นั่นก็คือ “ผู้อาวุโสฉินจากกรมการแพทย์” ทุกคนทักทายเขาด้วยการพยักหน้าแบบลําลอง…เพราะที่นี่ไม่ใช่ศูนย์บัญชาการใหญ่..ทุกคนล้วนมองข้ามยศตําแหน่งกันชั่วคราว
อาวุโสฉินหรือศาสตราจารย์ฉิน เขารีบไปที่นั่นด้วยเฮลิคอปเตอร์ตามคําสั่งของเบื้องบน อาวุโสฉินหรือศาสตราจารย์ฉินเขาเคยเป็นหัวหน้าแผนกการแพทย์และปัจจุบันเขาถือว่าเกษียณไปแล้วครึ่งหนึ่ง ดังนั้นความรับผิดชอบหลักของเขาคือการปลูกฝังความสามารถใหม่ ๆ ของเหล่าเด็กหน้าใหม่ทั้งหลาย
ดังนั้นเขาจึงมักปรากฏตัวอยู่ในการแข่งขันคัดผู้มีความสามารถพิเศษทางด้านการแพทย์อยู่เป็นนิจ โดยงานของเขาก็คือตามหาผู้ที่มีพรสวรรค์สูงเป็นพิเศษ ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็ทําหน้าที่ได้ดีมาโดยตลอด เขาสามารถหาหยกที่ยังไม่ได้เจียระไนมาได้มากมาย และบุคลากรที่เก่งกาจในกรมการแพทย์ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในขณะนี้ ก็ล้วนมาจากคําแนะนําของเขาทั้งนั้น แน่นอนว่าไม่นับเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ผ่านมาเข้าเฟคต้าได้โดยการฝึกงาน
แต่ถึงศาสตราฉันจะคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถเข้ามาน้อย แต่ทุกคนล้วนเป็นคนที่เก่งการในวงการแพทย์ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่ต้องเดาเลยว่าอิทธิพลของเขาในกรมการแพทย์นั้นมีมหาศาลมากเพียงไหน
อย่างน้อยเขาเดินย่างก้าวไปที่ใดในกรมการแพทย์ ทุกคนลองต้องก้มหัวคารวะต่อเขาและทักทายเขาด้วยความนอบน้อมอย่างที่สุด
เขาเป็นที่เคารพนับถือในเฟคต้าของภาคตะวันออกและเป็นเพื่อนเก่ากับเหยาซีเหนียนด้วย! แต่นั่นเป็นแค่เหตุผลเล็กน้อย ที่เขามาที่นี่…เหตุผลหลักจริงๆก็คือ กู้จวินเข้าเฟคต้ามาได้เพราะคําแนะนําของเขา และเขาก็แนะนํากู้จวินเป็นพิเศษ
ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่น่ากลัวและเป็นภัยพิบัติรุนแรงแบบนี้ จึงไม่แปลกใจเลยที่คนแนะนํากู้จวินเข้ามาในเฟคต้าได้อย่างศาสตราจารย์ฉินต้องมาพูดคุยและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกู้จวินสักเล็กน้อย อย่างแรกก็เพื่อ การแสดงจุดยืนของตัวเองส่วนอย่างที่สองก็คือ พวกเขาต้องการรู้ว่าที่แท้จริงแล้วกู้จวินเป็นคนแบบไหนกันแน่
ในขณะเดียวกันสัญญาณเสียงจากหน่วยนักล่าอสูรก็ไม่เสถียรมากขึ้น
เสียงทั้งหมดที่ถูกส่งมาโดยหน่วยนักล่าอสูรถูกความถี่ของอะไรบางอย่างแทรกเข้าอย่างรุนแรง เสียงทั้งหมดกลายเป็นเสียงที่บิดเบี้ยวคล้ายเสียงหอนของสัตว์ บางครั้งก็เสียงเหมือนเสียงสัตว์กําลังทําอะไรบางอย่างอยู่ และยิ่งเป็นเสียงที่พูดกันหลายคนก็ยิ่งแย่จนฟังไม่รู้เรื่อง ยิ่งนานไปดูเหมือนเสียงจะยิ่งแย่ลงทุกที ในขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในค่ายทหารที่กําลังนั่งปรับแต่งเสียงไม่สามารถระบุได้แล้วว่าข้อความที่พูดนั้นเป็นคําพูดของคนพูดคนเดียว หรือว่าหลายคนช่วยกันพูด
“ บางสิ่ง บางอย่างกําลังดู…”
“ ใต้ดิน…หนอนยักษ์ใต้ดิน…”
“ หลินม่อ…”
“ ความผิดปกติ…อ๊ะ!”
เสียงครวญครางคล้ายเสียงคนพูดคุยเล็กน้อยดังก้องผ่านเครื่องกระจายเสียงของศูนย์บัญชาการ วิดีโอที่พร่ามัวบนจอภาพดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่คล้ายเลือดกระเซ็นติดอยู่ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปจนน่าเกลียดน่ากลัว
บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่พยายามกู้เสียง พวกเขาใช้หูฟังแล้วคอยฟังเสียงนี้อยู่ตลอด…และสิ่งที่พวกเขาได้ยินก็คือเสียงกรีดร้องของผู้คนและความถี่ที่รุนแรงอย่างที่อธิบายไม่ได้
พวกเขาอดที่จะคาดเดาไม่ได้ ขนาดตนเองแค่ฟังเสียงนี้พวกเขาก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความ จ็บปวดแล้ว พวกคนที่อยู่ข้างล่างนั้นอดทนกันได้ยังไง ในขณะที่คิดพวกเขาก็ได้ยินเสียงครวญครางดังขึ้นเป็นระยะ ๆ และดังไม่หยุด พวกเขาถูกซุ่มโจมตีโดยหนอนยักษ์ใต้ดินใช่หรือไม่? หรือเป็นการตอบโต้ของบริษัทไล่เฉิงเพื่อทําร้ายพวกเขาที่บังอาจไปบุกโจมตีก็ได้
จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงปืนที่อยู่ไกลออกไปและเสียงกรีดร้องที่วุ่นวายของผู้คน
“ ถอยเข้าอุโมงค์…”
“ อาจวิ้นมาช่วย!”
เมื่อเหล่าผู้บัญชาการได้ยินเสียงเหล่าลูกน้องถูกโจมตี แต่ละคนก็เต็มไปด้วยความโมโห กระทั่งรองผู้บัญชาการเพิ่งก็ไม่สามารถอดทนต่อมันได้อีกต่อไป เขาตะโกนสาปแช่งด้วยความเกรี้ยวกราดหลังจากรู้ว่ามีคนได้รับบาดเจ็บ!
จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากลําโพงอย่างรวดเร็ว บาดเจ็บหนัก…ทรมาน.. ถอย…”
“ อาการบาดเจ็บของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?” เหยาซีเหนียนหันไปหารองผู้บัญชาการหยางมู่จากทีมแพทย์ของหน่วยฉุกเฉิน อย่างไรก็ตามการรู้ข้อมูลนี้คงไม่ช่วยอะไรหรอก…มันก็เหมือนถามข่าวน้ำท่วมบนโลกจากดาวอังคารนั่นแหละ!
“เลวร้ายมาก…” รองผู้บัญชาการหยางสายหัวตอบด้วยท่าทีที่หนักใจ จากนั้นเขาก็อธิบายต่อ “ แพทย์หลักคือ เหล่าต้าน พยาบาลคือ จางฮ่าวฮาว และตอนนี้กู้จวินอยู่ในฐานะผู้ช่วยแพทย์ จํานวนคนรักษาแม้ว่าจะมีไม่มากนักแต่ก็เพียงพอแล้วสําหรับการรักษา อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่มีอุปกรณ์ที่จําเป็น!! เวชภัณฑ์ที่นําติดตัวไปกับทีมนั้นเพียงพอสําหรับการปฏิบัติการภาคสนามตามปกติเท่านั้น แต่สําหรับบาดแผลที่เกิดจากหนอนยักษ์ใต้ดิน การตัดแขนขาเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่”
ในการวางแผนของภารกิจนี้ ความจําเป็นทางการแพทย์อยู่ในอันดับที่สามดังนั้นพวกเขาจึงมีเวชภัณฑ์น้อยมาก และถ้าได้รับอาการบาดเจ็บเกินเยี่ยวยาจนถึงขั้นรักษาไม่ได้ การเสียสละของสมาชิกในทีม…ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
“ ที่นั่นไม่มีพื้นที่ปลอดเชื้อและการผ่าตัดไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างหนึ่งแผลจะติดเชื้อได้ง่าย” รองผู้บัญชาการหยางกล่าวเสริมแล้วส่ายหัว “ มันยากเกินไป…”
การตรวจสอบสภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยกําแพงสูงนั้นพวกเขากลับมาได้อย่างไม่เป็นอันตราย แต่ไม่มีใครรู้ว่าสภาพภายใน “อุโมงค์ใต้ดิน” เป็นอย่างไร
“ ยาก! แต่…ใช้ไม่ว่าเป็นไปไม่ได้” ศาสตราจารย์ฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เหล่าต้านมีทักษะแพทย์ที่สูงมากและกู้จวินก็สามารถช่วยได้แน่นอน การตัดแขนจะไม่ยากเกินไปสําหรับพวกเขา”
“… ” พอได้ยินคํานี้จากคําพูดของศาสตราจารย์ฉิน บรรดาผู้เชี่ยวชาญแผนกเทคนิคต่างๆที่กําลังกู้สัญญาณเสียงต่างก็อ้าปากค้างกันด้วยความประหลาดใจ
ที่นั่นเป็นที่ที่อาจจะสกปรกและมีหนอนเพ่นพ่าน มันจะเป็นที่ที่ปลอดเชื้อได้ยังไง ยาก็ไม่ค่อยจะมี แล้วบอกว่าจะสําเร็จเนี่ยนะ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้นพอทุกคนหายตกใจ พวกเขาก็หันมาฟังเสียงกันเหมือนเดิม หลังจากหน่วยนักล่าอสูรเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดิน สัญญาณสื่อสารก็ชัดเจนขึ้นมาก เสียงไม่ผิดเพี้ยนอีกต่อไปและการสื่อสารที่ผิดเพี้ยนก็กลับมาเป็นปกติดั้งเดิม
พวกเขาได้ยินว่าลุงต้านและกู้จวินกําลังช่วยหลินม่อ สมาชิกที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้นด้วยการห้ามเลือดที่ขาทั้งสองข้างของเขาก่อน จากนั้นพวกเขาก็ฉีดยาชาให้หลินม่อก่อนที่จะประเมินอาการบาดเจ็บ
ขาซ้ายล่างของหลินมอได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ในขณะที่ขาขวานั้นรอดออกมาจากการโจมตีของหลอนยักษ์อย่างฉิวเฉียด ทั้งสองเริ่มปรึกษากันทันที
“ ขาขวาพอช่วยได้ ลุงต้านครับ ผมเพิ่งผ่าตัดแบบเดียวกันเมื่อวานนี้ ผมมั่นใจว่าผมสามารถช่วยขาของหลินม่อข้างนี้ได้”
“ ไอ้หนู ที่นี่ไม่มีกล้องจุลทรรศน์และไม่มีแสงจากโคมไฟไร้เงาสําหรับผ่าตัด! แล้วเธอจะพบหนอนตัวเล็กพวกนั้นได้อย่างไร มันอันตรายเกินไป”
“ ตามเอกสารที่ผมอ่านเมื่อวานนี้ หนอนตัวน้อยไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงหลังการติดเชื้อ พวกมันจะสร้างถุงบนเนื้อเยื่อที่ติดเชื้ออย่างช้าๆ … หลังจากสร้างถุงแล้วพวกมันจะได้รับความสามารถในการแพร่พันธุ์และทําให้เนื้อของร่างผู้บาดเจ็บเปื่อยเน่า … และเจ้าหนอนตัวเล็กนี่ก็น่าจะสังเกตเห็นได้ง่าย ผมสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ส่วนเรื่องแสงอึม เราสามารถสร้างแสงผ่าตัดได้โดยให้ไฟฉายทั้งสี่ดวงจัดฉากไว้ที่มุมทั้งสี่ ดังนั้นภายในหนึ่งชั่วโมงนี้เราต้องพยายามทําความสะอาดขาขวาของเขาให้ดีที่สุดแล้วก็ตัดขาซ้ายซะ! หากเราไม่สามารถทําได้ภายในหนึ่งชั่วโมง เราก็ไม่มีทางเลือกอื่น สุดท้ายผมจะตัดขาขวาเช่นกัน”
“ อืม! โอเค.มันก็พอมีโอกาสสําหรับเรื่องนั้น แต่ความเสี่ยงมันจะใหญ่หลวง..อาโม่ นายยังไม่สลบสินะ นายตัดสินใจเอาเองแล้วกันว่าจะเลือกทางไหน?”
เมื่อได้ฟังการสนทนาเหล่านี้ ผู้คนในศูนย์บัญชาการต่างตกใจโดยเฉพาะคนที่มาจากแผนกการแพทย์ แม้แต่รองผู้บัญชาการหยางและผู้อาวุโสฉินก็ยังตกตะลึง
“ไอ้กู้จวิน…เจ้าเด็กโง่!! แกรู้ไหมว่าขั้นตอนที่แกแนะนํามาน่ะ มันยากแค่ไหน? การทําความสะอาดขาและดึงหนอนออกมาทั้งหมดในหนึ่งชั่วโมง เป็นสิ่งที่สามารถทําได้ในทางทฤษฎีเท่านั้น!