ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 144
ตอนที่ 144 ไม่ไว้ใจ!
แต่ตอนนี้เรายังไม่พร้อม! ดังนั้นทุกคนรีบเตรียมตัว เตรียมเสบียงและเช็คของให้ดี ฉันจะให้เวลาสักพักหนึ่งก่อนที่จะเดินทาง ใครเหนื่อยก็ฉวยโอกาสเวลาเล็กน้อยนี้พักผ่อนก่อนก็ได้
เสวี่ยป้าตะโกนบอกกับลูกทีมทุกที่กําลังนั่งอยู่บนพื้นทันที หลังจากพายุผ่านไปสภาพแต่ละคนแทบดูไม่จืด…แม้แต่ลุงต้านที่ผมล้านอยู่แล้ว…ไม่สิเกือบล้าน ผมของเขายังหายไปราวๆ สามสี่เส้น ไม่ต้องบอกคงรู้ว่า พายุนั่นรุนแรงแค่ไหน เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจัดเตรียมของ พวกเขาต้องการเวลาและไม่มีทางเลือกอื่นอีก
แล้วก็เรื่องของลมเตรียมตัวให้พร้อมด้วย! ไม่มีใครรู้ว่าหนทางข้างหน้าต่อไปจะมีลมและกับดักอะไรอีกหรือเปล่า ดังนั้นแล้วขอให้เธอเตรียมตัวให้ดี และแก้ไขกลไกนั่นด้วยเพื่อความปลอดภัยของทุกคน แน่นอนว่า คําพูดสุดท้ายนี้เป็นคําพูดสําหรับกู้จวินโดยเฉพาะ…นอกจากเขาแล้วยังมีใครที่รู้ภาษาต่างโลกอีก
หน่วยนักล่าอสูรทุกคนหลังจากพักกันสักครู่ บางคนก็แยกตัวไปเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้นเพราะลมพายุ ในขณะที่หยางเหอหนานพาคนอื่น ๆ เดินขึ้นบันไดไปสองสามขั้นเพื่อพยายามหาเสบียงที่ปลิวหายไปกลับคืนมา เพราะเสบียงส่วนใหญ่ที่พวกเขาพกมานั้นมันดันหลุดหายไปตอนพายุพัดเสียได้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาจะเดินกลับไปที่ทางเข้าจนสุด แต่ก็ไม่พบสิ่งของใด ๆ ของพวกเขาเลย ราวกับว่ามันหายไปในมิติลึกลับแต่แน่นอนว่าหลาย เชื่อว่าเสบียงของพวกเขาถูกพัดออกไปบนพื้นดินดํานบนเรียบร้อยแล้วและจะไม่กลับมาที่นี่อีก
หาเสบียงเจอบ้างไหม? สมาชิกคนหนึ่งเอ่ยถามเมื่อเห็นพรรคพวกที่หายไปเดินกลับมาตัวเปล่า
ไม่มีเลย…ลมพายุพัดไปทั้งหมดแล้ว สมาชิกคนหนึ่งถอนหายใจจากนั้นก็กลับไปรายงานเสวี่ยป้าผู้เป็นหัวหน้าทันทีถึงปัญหาที่กําลังประสบอยู่ในขณะนี้
ดังนั้นตอนนี้หน่วยนักล่าอสูรจึงได้ประสบปัญหาใหญ่ถึงสองเรื่อง
เรื่องแรกคือ…เรื่องเสบียงเหลือน้อย! หลังจากมารายงานหัวหน้าเสวี่ยป้า เขาก็มีคําสั่งลงมาทันทีโยให้ทุกๆ คนตรวจเสบียงอาหารที่ตนเองได้รับคําสั่งให้ปกป้องไว้ตั้งแต่แรก…
เนื่องจากการวางแผนเสบียงของหน่วยล่าอสูรนั้นถ้าเป็นไปตามแผนนั่นก็คือมีเสบียงกองกลางและเสบียงของส่วนตัว ดังนั้นแต่ละคนจะพอมีเสบียงติดตัวบ้าง และเสบียงที่ติดตัวนี้ก็เอาไว้เวลาฉุกเฉินในเวลาที่สํารวจแล้วเกิดหิว ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ไหวตัวทัน ทําให้พวกเขายังพอมีเสบียงเหลืออยู่
ทว่า…แม้จะเอาเสบียงมารวมกัน ถ้าต้องสํารวจนานๆเสบียงพวกนี้ก็แทบจะไม่พอยาไส้อยู่ดี….
เมื่อเห็นภาพเสบียง สมาชิกแต่ละคนของหน่วยนักล่าอสรก็ต่างพากันถอนหายใจ พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าการที่เข้ามาในเฟคต้าเพื่อแสวงหาลาภยศและทําเพื่อมนุษยชาติจะลงเอยด้วยการอดตายอยู่ในอุโมงค์เล็กๆ
เรื่องที่สองก็คือ กําลังของคนในทีมเริ่มลดลงตามอาหารที่ลดน้อยลงไป ที่สําคัญตอนนี้ทุกคนต่างกระหายน้ํา ดังนั้นน้ําประปาที่หายากอยู่แล้วจึงหมดเร็วขึ้นอีก จากปริมาณน้ําที่เหลืออยู่พวกเขาแทบจะอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ และมันก็น่าจะน้อยกว่านั้นถ้าสถานการณ์ด้านในย่ําแย่
เพื่อประหยัดแรงงานและเพิ่มความเร็วในการเดินทาง เมื่อพวกเขากลับมาเดินทางต่อ เสี่ยป้าก็สั่งให้สมาชิกทุกคนทิ้งอุปกรณ์ที่ไม่สําคัญลงพื้นเพื่อประหยัดพลังงานการแบกขน และพวกเขาก็ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันเพียงสามชิ้น
สามชิ้น…
หัวหน้าครับ ถ้าแบบนั้น..ถ้ามีเชื้อโรค?? สมาชิกคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา แต่เมื่อเสวี่ยป้าอธิบายเขาก็ต้องเงียบกริบ…เพราะดูเหมือนลมพายุสีดําที่พัดมาเมื่อครู่นี้จะเป็นคําตอบให้แก่ทุกอย่าง…นั่นก็คือ ถ้ามีเชื้อโรคจริง ป่านนี้ทุกคนก็ตายยกกันไปแล้ว!
อีกทั้งด้วยคําอธิบายของคู่จวินและด้วยประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขาเกี่ยวกับพลังลึกลับนั้นเอง ยิ่งพวกเขาเข้าไปในอุโมงค์นี่ลึกเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเห็นด้วยกับความคิดของจวินมากขึ้นเท่านั้น
อย่างแรกความคิดของกู้จวินที่เคยบอกว่า อุโมงค์หินยังมีชีวิตอยู่ และ เส้นสีแดงเข้ม) เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังแห่งชีวิต…คําพูดเหลวไหลที่เด็กอนุบาลยังอยากเชื่อ แต่บัดนี้พวกเขาได้เชื่อจริงๆ พวกเขารู้สึกเหมือนกําลังเดินทางไปตามท้องของสัตว์ร้ายขนาดยักษ์
ในขณะที่เดินลงบันไดไปเรื่อยๆ สมาชิกทุกคนของหน่วยนักล่าอสูรก็เริ่มเกมนับขั้นบันไดกัน ในอดีตพวกเขาหลายคนเคยไปสถานที่สําคัญของประเทศจีนมาแล้วมากมายไม่ว่าจะเป็นวัดหรือกําแพงเมืองจีน ที่นั่นมีทั้งบันไดที่ยาวและสูงชันมากมายนับไม่ถ้วน ตอนนั้นพวกเขาโอดครวญกันว่าบันไดมันช่างยาวเหลือเกินทําไมถึงไม่มี ลิฟต์ให้ขึ้น … แต่เมื่อเทียบกับบันไดในตอนนั้นบันไดที่อยู่ตรงนี้มันช่างยาวและมีจํานวนขั้นต่างกันมากมายมหาศาลมากกว่าที่พวกเขาคิดมากนัก
ที่พวกเขาเดินสํารวจ หลายคนกําลังคิดว่าพวกเขากําลังเดินทางไปแสวงหาพระธรรมหรือพระไตร ปิฎกที่ชมพูทวีปมันช่างยาวไกลและไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด…
หลังจากที่ตกอยู่ในความมืดมิดมายาวไกล พวกเขาก็พบว่าตัวเองได้นับก้าวบันไดได้ถึงขั้นที่สองร้อยแล้ว… แต่ช่างน่าเศร้า! ทุกอย่างยังคงเหมือนขั้นแรกที่พวกเขาเดินเข้ามาไม่มีผิด
ดังนั้นทุกคนก็ได้แต่เงียบและเดินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งพวกเขาพบว่าขั้นบันไดที่พวกเขานับนั้นอยู่ขั้นที่ห้าร้อยแล้ว… ขั้นที่ห้าร้อยนั้นเป็นขั้นที่สูงมาก แม้กระทั่งสถานที่สําคัญบางที่บันไดยังไม่สูงชันขนาดนี้เลย ยังโชคดีที่บันไดที่พวกเขาเดินนั้นเป็นบันไดขึ้น ไม่อย่างนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเดินทางครั้งนี้มันจะเป็นนรกแค่ไหน
จากนั้นทุกคนก็เดินกันต่อไป… นอกจากนับก้าวบันไดแล้ว พวกเขายังพกนาฬิกามาด้วย พวกเขาเริ่มนับเวลาตั้งแต่ตอนเดินจนในที่สุดบัดนี้พวกเขาเดินมาได้ครบเจ็ดชั่วโมงแล้ว… และที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดก็คือ ตอนนี้พวกเขากําลังจะถึงขั้นบันไดขั้นที่หนึ่งพัน
หลายคนเห็นบันไดขั้นที่หนึ่งพันอยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่กี่เมตร… และทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นความกว้างหรือความสูงของบันได..กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพวกเขาอยู่ห่างจากทางเข้าเกือบหมื่นเมตรและอยู่ห่างจากพื้นผิวห้าพันเมตร น่าแปลกที่ความหนาแน่นของออกซิเจนในอากาศยังคงเท่าเดิม
ในขณะที่ทุกคนกําลังแตกตื่นและตกอยู่ในความตื่นตระหนกแบบลึกๆ กู้จวินก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขารู้สึกว่าทางเข้านั้นอยู่ถัดจากนี้ไปอีกไม่ไกล… และจะมีแสงสว่างเกิดขึ้นในไม่ช้า จังหวะนั้นเขากําลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อบอกคนในทีม
จังหวะนั้นเองภาพของลู่เสี่ยวหนิงที่ถือปืนมาจ่อหัวเขาก็ปรากฏขึ้นมาในหัวสมอง
มือที่ยื่นไปในขณะที่กําลังจะแตะตัวพรรคพวกในทีมนั้นลดลงอย่างเร่งด่วน ความไม่พอใจในจิตใจเริ่มผุดขี้นมาเรื่อยๆ หลังจากมองสถานการณ์อยู่พักหนึ่งเขาก็แสร้งทําเป็นไม่รู้… เพราะเขาก็ไม่ได้ว่างพอที่จะมาถูกปืนจ่อหัวอีกรอบหรือตายเป็นผีไร้ญาติอยู่ในอุโมงค์นี้เพียงลําพัง
สงสัยบ่อยและถูกต้องโดนจ้องฆ่าบ่อยๆโดยพรรคพวกของตัวเองมันไม่ใช่ความต้องการของเขา…
เพื่อไม่ให้พวกเขาสงสัยและเพื่อไม่ให้ถูกจับตามอง กู้จวินเลือกที่จะเมิน… อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์ ชะตาของตัวเองก็แล้วกัน และก็เป็นอย่างที่พวกเขาคิด หลังจากที่หน่วยนักล่าอสูรเคลื่อนไหวไปสักพักทุกคนก็เห็นสิ่งที่เขารู้สึก
มีแสงสว่าง!
อิสระภาพอยู่ข้างหน้านั่น ฮา ฮา ฮา
แสงสว่างอยู่ตรงนั้น!!
ระวัง! เตรียมพร้อมสําหรับการต่อสู้! เสวี่ยป้าออกคําสั่งอย่างกะทันหัน แม้พวกเขาจะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด พวกเขาก็ต้องทําตามคําสั่ง
พวกเขาเคลื่อนไหวตามคําสั่งพร้อมสู้ทันที หากแต่มันช้ากว่าปกติถึงสามสี่เท่า เข่าของพวกเขานั้นชาและปวดจากการเดินลงบันไดมาทั้งหมด ความสูงของบันไดทําให้เข่าของพวกเขาปวดอย่างมาก หลายคนแทบอยากนอนพักไปเลยกับบันได แต่ตอนนี้แสงข้างหน้ามันดึงความสนใจของพวกเขาไปหมด
ลู่เสี่ยวหนิงและนักแม่นปืนคนอื่น ๆ เล็งปืนไปข้างหน้า จากนั้นด้วยสัญญาณมือพวกเขาก็พุ่งไปข้างหน้าทันทีอย่างเงียบเชียบ ในไม่ช้าพวกเขาก็เห็นกําแพงหินที่ปลายขั้นบันไดที่ประมาณหลักหมื่น ที่ด้านล่างสุดมีประตูสีแดงและตะเกียงน้ํามันรูปทรงแปลก ๆ สองอันแขวนอยู่ข้างประตู แสงสีเหลืองจาง ๆ ที่แผ่ออกมาจากภายในตะ เกียงน้ํามันนั้นให้ความรู้สึกว่านุ่มนวลและอบอุ่นราวกับกําลังต้อนรับพวกเขากลับบ้าน
หัวใจของกู้จวินบีบรัดกันแน่นขึ้นทันที การออกแบบที่ซับซ้อนนี้ การแกะสลักบนตะเกียงไฟ… เขาเคยเห็นการออกแบบที่คล้ายกันนี้ในภาพลวงตาของห้องใต้ดินมาก่อน
ห้องใต้ดิน? หรือจะมีห้องใต้ดินอยู่หลังประตูสีแดงนี้ใช่หรือไม่?
และประตูสีแดงบานนี้ การออกแบบและสีที่เจิดจ้าของมันทําให้เกิดความสงสัยบางอย่างในใจของเขา มันเป็นประตูสีแดงสีเดียวกับที่เขาเดินผ่านเพื่อเข้าสู่ความทรงจําที่ถูกปิดผนึกระหว่างช่วงการสะกดจิต
ทันใดนั้นกู้จวินก็รู้สึกคลื่นไส้
ข้อความที่ตัดตอนมาจากบันทึกของ ‘เรย์บันดี้’ ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา
แลนดอนทิ้งจดหมายลาตายไว้ข้างหลัง ตามข่าวลือมันไม่ได้มีอะไรมากมาย มันเป็นเพียงการเขียนความคิดของเขาและข้อมูลที่เขารวบรวมมาจากซากปรักหักพังที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองชื่อริเกอร์ เกี่ยวกับเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการฆ่าตัวตายของเขา ฉันไม่ได้รับแจ้งมา ฉันเดาว่าเป็นเพราะเขาไม่สามารถทนทุกข์ทรมานกับสัตว์ ระหลาดเหล่านั้นและการแพร่กระจายของไอเป็นเลือดได้อีกต่อไป
เมืองริเกอร์ที่พังทลาย… พื้นที่ผิดปกติบนพื้นผิวที่ล้อมรอบด้วยกําแพงสูง…
ริเกอร์ …คําว่า ริเกอร์ ยังมีความหมายว่า หิน ในภาษาต่างโลกใช่ไหม?
อาจวิ้น อาจวิ้น? เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากจุดสิ้นสุดของบันไดราวยี่สิบก้าว เสวี่ยป้าก็สั่งให้ทุกหยุด นั่นเป็นเพราะเขาเห็นการแสดงออกที่แปลกประหลาดที่ใบหน้าของคู่จวินที่แสดงออกมา เป็นอะไรไป? เธอรู้สึกอะไรอีกไหม??
สมาชิกบางคนหันไปมองกู้จวินด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่คนอื่น ๆ มองไปข้างหน้าเพื่อสํารวจประตู พวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่าประตูสีแดงนั้นทํามาจากวัสดุอะไร แต่พวกเขาสามารถยืนยันได้ว่ามันไม่ได้ทําจากหินที่อยู่รอบ ๆ พวกเขาแน่นอน
ดูเหมือนว่าวัสดุของประตูอาจจะเป็นไม้บางชนิด ความแดงไม่ได้มาจากสี มันดูเป็นสีแดงตามธรรมชาติ ประตูสีแดงนั้นสะอาดและใหม่มาก นอกจากรูกุญแจตรงกลางที่ให้แสงสว่างอ่อน ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีก
มันเป็นแค่อาการปวดหัวเล็กน้อยนะครับ.. เมื่อกู้จวินพูดอย่างนั้นออกไป เขาไม่สามารถควบคุมความอ่อนแอในน้ําเสียงของเขาได้ทันที หัวใจของเขาเริ่มเต้นเมื่อความรู้สึกหวาดกลัวเพิ่มขึ้น คําพูดของหวังเค่อปรากฎไปทั่วจิตใจของเขา กลุ่มตรวจสอบพลังงานผิดปกติไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ
แต่ถ้านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญมันคืออะไร?
อาการปวดหัวเกิดจากการรับรู้ของเธอหรือเปล่า? เธอรู้สึกได้ว่าอะไรอยู่หลังประตูสีแดง เสวี่ยป้าถามด้วยความกังวล ลุงต้าน หลินม่อและคนอื่น ๆ มองเขาด้วยความคาดหวัง พวกเขาอยากรู้ว่ามีกับดักอยู่ข้างหลังหรือไม่? มีกลไกหรือไม่? พวกเขาสามารถเปิดประตูได้หรือไม่? อะไรอยู่เบื้องหลัง?
ฉันจะพยายามแล้วกัน…. กู้จวินลูบขมับของเขาและพยายามสงบสติอารมณ์ เขาจดจ่อกับการรับรู้ของเขาทันที ..
แต่สิ่งที่เขาได้รับคืออาการปวดหัวที่มากกว่าเก่า เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ฉันขอโทษ แต่ประตูสีแดงปิดกั้นพลังการรับรู้ทั้งหมดของฉัน
เอาล่ะไม่เป็นไร…พักเถอะ เสวี่ยป้าพยักหน้าด้วยความผิดหวัง ทีมงานของเขาไม่มีหุ่นยนต์ควบคุมระยะไกลอยู่กับพวกเขา ดังนั้นจึงต้องมีคนเข้าไปสํารวจประตูด้วยตัวเอง
ดังนั้นทีมจู่โจมมาตรฐานจึงได้ถูกจัดอย่างรวดเร็ว ลู่เสี่ยวหนิง โจวอี้ เกาหมิงเผิง และสมาชิกอีกสามคนกําลังมุ่งหน้าไปที่ประตูสีแดงด้วยความตั้งใจที่จะบุกเข้าไปในห้อง
ในขณะส่วนที่เหลือเฝ้าดูอยู่ตรงขั้นบันได
หน่วยจู่โจมเดินหน้าอย่างตึงเครียด ในขณะที่กู้จวินก็เฝ้าดูอย่างใกล้ชิด แต่ความหวาดหวั่นในใจของเขากลับแข็งแกร่งขึ้นและมากขึ้นในทุกๆที..