ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 18
จางหลินหยิบถังเล็กออกจากถังไนโตรเจนเหลวและดึงท่อเก็บรักษาความเย็นออกจากกระบอกสูบยกอย่างระมัดระวัง เพราะเเต่ละอย่างนั้นราคาสูงจนน่าใจหาย ถ้าพังเเม้สักชิ้น…เงินค่าขนมที่ได้มาก็จะหมดลง
จากนั้นเขาก็วางกระบอกสูบยกกลับเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวังเนื่องจากยังมีท่อแช่แข็งของเซลล์อื่น ๆ อีกมากมายในกระบอกสูบยก หลังจากที่จางหลินปิดฝาถังไนโตรเจนเหลวอีกครั้ง เขาก็เริ่มปฏิบัติการอย่างอดทนและพิถีพิถันตามประสานักเรียนเเพทย์ปีสูงผู้ที่รอบคอบ
ครั้งแรกเขาวางท่อเก็บความเย็นลงไปในอ่างน้ำและปรับอุณหภูมิอ่างน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 37 ° C เพื่อให้น้ำเเข็งละลายอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะไปที่เครื่องหวุนเหวี่ยงและทำการหมุนเหวี่ยงเป็นเวลาห้านาที
จากนั้นเขาก็นั่งลงที่ม้านั่งที่สะอาดเป็นพิเศษในห้องทดลองเพื่อพักเหนื่อยสักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปเปิดหลอดหมุนเหวี่ยงเเล้วตรงต่อไปที่ตะเกียงแอลกอฮอล์ เขาใช้ความร้อนและฆ่าเชื้อหลอดทดลองอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เเบคทีเรียในอากาศมาทำให้หลอดทดลองสกปรก หลังจากนั้นเขาใส่ของเหลวที่เตรียมมาเพื่อเพิ่มอาหารเลี้ยงเชื้อโรคด้วยเครืื่องมือปิเปตต์และผสมสารละลายซ้ำ ๆ ตามขั้นตอนที่ระบุไว้อย่างชัดเจน
กู้จวินเองก็เฝ้าดูเขาทำการทดลองอย่างจริงจังตลอดเวลา จริงๆเเล้วที่ผ่านมาทุกครั้งที่เขามีคำถาม เขาส่งคำถามทั้งหมดไปหาพี่ชายจางคนนี้และเขาก็ได้รับความรู้ใหม่ ๆ มามากมาย
ตัวอย่างเช่น การควบคุมความเร็วของการหมุนของเครื่องหมุนเหวี่ยง การควบคุมการดูดและการปล่อยปิเปตต์อย่างมีประสิทธิภาพเป็นต้น
ฝั่งของจางหลินเอง เขาระมัดระวังในทุกๆขั้นตอนอย่างมาก เพราะเขารู้ดียิ่งกว่ากู้จวิน ว่าความประมาทเพียงเล็กน้อยในทดลองทุกๆขั้นตอนเหล่านี้ มันจะส่งผลต่ออัตราการอยู่รอดของเซลล์และอัตราการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรคชนิดนี้เป็นอย่างมาก
สุดท้ายจางหลินก็เทสารแขวนลอยของเซลล์ลงในจานเพาะเชื้อและเติมสารละลายเพื่อเพาะเลี้ยงในปริมาณที่เหมาะสม จากนั้นเขาก็วางลงจานเพาะเชื้อลงในตู้บ่มเพาะเซลล์และตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 37 ° C และปรับค่าคาร์บอนไดร์ออกไซด์ 5%
“ขั้นตอนนี้ต้องปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อยที่สุดก็ 2 วัน” จางหลินถอดหน้ากากออกและค่อยๆถอดแว่นตาของเขา จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเเละกล่าวสั้นเพื่อเเนะนำกู้จวิน “ ฉันแนะนำให้นายเพาะเชื้อเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์จะดีกว่า เพื่อที่จะได้รับประกันอัตราการสร้างเนื้องอกที่สมบูรณ์มากกว่านี้”
“ งั้นฉันจะลองชุดแรกหลังจากผ่านไปเเล้วสองวัน” กู้จวินยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไรมาก ในเมื่อเขาไม่มีตัวเลือกอื่น เวลาไม่ได้อยู่ข้างเขาเสียหน่อย ตามที่ระบบในสมองของเขาบอก…รู้สึกว่าอาการของเขาจะแย่ลงหลังจากผ่านไปนับจากนี้อีก 30 วันเเละหลังจากนั้นไปอีกเขาก็จะตาย!
กู้จวินเลิกคิดถึงเรื่องที่น่าหงุดหงิดนั่นเเละหันไปกล่าวกับพี่ชายจางด้วยใบหน้าที่ยังมีเเววซีดเซียวอยู่ “ พี่ชายจาง คืนนี้พวกเราออกไปทานอาหารด้วยกันไหม? อย่างน้อยก็เพื่อฉลองเเก่การทดลองเเละอาการปวยของฉันกัน”
“เฮ่อ! ลืมไปซะเถอะ!” จางหลินโบกมือให้กู้จวินด้วยท่าทางที่เหนื่อยใจ “ ฉันยังต้องให้อาหารพวกหนูทดลองในตอนกลางคืน หน้าที่พวกนั้นมันถูกยัดเยียดมาให้ฉัน…น่าเบื่อจริงๆ”
กู้จวินใช้เวลาสองวันถัดไปในมหาวิทยาลัยอย่างเรื่อยเปื่อย นอกเหนือจากการพบปะกับเพื่อน ๆ และระลึกถึงอดีตแล้ว เขาก็ทำเพียงสองสิ่งเท่านั้น
อย่างแรกที่เขาทำคือการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสำหรับการทดสอบแก้ ถ้าเขาไม่ตายซะก่อนเพราะโรคร้าย….เขาก็ต้องเรียนซ้ำชั้น! นั่นมันก็น่าจะลำบากอยู่เหมือนกัน…เปลืองทั้งเงินเเละเวลาอย่างไร้สาเหตุ เเบบนั้นเสียดายตาย
อย่างที่สองก็คือไปห้องปฏิบัติการทุกวันเพื่อดูแลเซลล์และเปลี่ยนอาหารเลี้ยงเชื้อ…อย่างนี้ขาดไม่ได้ เพราะมันคือสายใยเเห่งชีวิตของเขา ถ้าไม่ทำ! เขาตายเเน่นอน 100%
ในตอนเช้าของวันที่สาม จางหลินก็มาสังเกตการณ์ในการทดลองของกู้จวินเป็นการส่วนตัว เขากล่าวว่าเซลล์นั้นแทบจะไม่เจริญเติบโตเลย และเขายังช่วยในเรื่องการทดลองย่อยๆและช่วยในเรื่องการเตรียมสารแขวนลอยสำหรับเซลล์เพาะเลี้ยงอีก
ในทางกลับกัน กู้จวินไปที่ศูนย์สัตว์ทดลองของมหาวิทยาลัย ที่จริงมันเป็นฐานเพาะพันธุ์หนูทดลองเเละสัตว์ทดลองอื่นๆที่มีขนาดใหญ่และตั้งอยู่นอกสวนหลังมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่ร้อยเมตร
เขาซื้อหนูทดลองเเบบธรรมดาห้าตัว แต่ละตัวมีราคามากกว่าหนึ่งร้อยหยวนซึ่งค่อนข้างแพง โชคดีที่เขายังมีเงินฝาก 20,000 หยวน แต่มันคงอยู่ได้ไม่นานนัก…เขาไม่อาจจะผิดพลาดเรื่องเงินได้อีกต่อไปเเล้ว
เมื่อก่อนเขาเอาเเต่ตำหนิที่ใครต่อใครก็บ่นคร่ำครวญว่าไม่มีเงิน เขาก็เลยเเจกเงินทำตัวดั่งมหาเศรษฐี เเต่ว่าตอนนี้กู้จวินรู้สึกเสียใจมากที่เขารีบบริจาคเงินไปตั้งแต่เนิ่นๆ ทีนี้ก็เป็นเรื่องเเล้ว…เมื่อก่อนเคยกลัวว่าตายเเล้วจะใช้เงินไม่หมด เเต่ตอนนี้เงินหมด…เเต่เสือกไม่ตาย!
อะแฮ่ม! หนูทดลอง [เปลือย] ที่เขาซื้อมานั้นจะถูกกำจัดขนจนหมด ร่างกายของมันจะเปลือยเปล่า เเละแต่ละตัวจะมีขนาดเท่ากับสองหรือสามนิ้วและไม่มีขนตามจุดซ่อนเร้นใดๆทั้งสิ้น เช่นเดียวกับชื่อของมัน [หนูเปลือย] พวกมันจะถูกบรรจุในกล่องปลอดเชื้อ เพราะเมื่อหนูเหล่านี้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกเเล้วเจอกับแบคทีเรีย มันอาจจะอาจติดเชื้อได้และตายด้วยโรคร้ายอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็จะเสียเงินไปฟรีๆ
ดังนั้นกระบวนการผสมพันธุ์ของหนูทดลองและการทดลองจึงจำเป็นต้องดำเนินการในสภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้ทุกอย่างผิดพลาดจนส่งผลกระทบร้ายเเรงต่อผลการทดลอง
ห้องปฏิบัติการสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นนั้นตั้งอยู่ในศูนย์วิจัยสัตว์ทดลอง ซึ่งศูนย์วิจัยนี้เป็นอาคารอิฐสีเหลืองเเละมีจำนวนถึง 5 ชั้น เเละศูนย์วิจัยหลังนี้ก็อยู่ถัดจากอาคารทดลอง
กู้จวินและจางหลินนัดพบกันที่ล็อบบี้ที่ชั้นหนึ่งของศูนย์วิจัยและจองห้องทดลองพิเศษหนึ่งชั่วโมงสำหรับการทดลองหนูชุดนี้
โดยห้องนี้เป็นห้องเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่เพียง 21 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นห้องด้านหน้าและห้องด้านหลัง ห้องด้านหน้ามีม้านั่งทดสอบและอุปกรณ์ ส่วนห้องด้านหลังเป็นห้องผสมพันธุ์
ก่อนที่จะเข้าไปในห้องนั้น ทรัพย์สินและร่างกายของพวกเขาทั้งหมดจะต้องผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตอย่างเคร่งครัดจนเเน่ใจว่าปลอดภัยไร้เชื้อถึงจะเข้าไปได้ ทั้งสองคนวางเท้าลงเเท่นล้างในห้องฆ่าเชื้อพร้อมกับหยิบอุปกรณ์ป้องกันตัวจากเชื้อโรค อาทิหน้ากาก ถุงมือ ผ้าคลุมเท้าและอุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆมาสวมใส่จนรัดกุม
ไม่นานหลังจากนั้น ที่ม้านั่งในห้องปฏิบัติการด้านหน้า กู้จวินได้ทำเครื่องหมายบนร่างกายของหนูทดลองที่ไร้ขนทั้งห้าตัวโดยเจาะรูที่หูและทำการฉีดเซลล์เนื้องอกที่ใต้ผิวหนังทางด้านขวาของก้น
ส่วนจางหลินต้องรับผิดชอบในการช่วยเหลือเขา เซลล์เหล่านี้สามารถแทรกซึมเข้าไปในร่างกายมนุษย์และก่อตัวเป็นเนื้องอกในทางทฤษฎีได้ อีกอย่างเมื่อเห็นว่า ‘เสี่ยกู้’ กำลังมีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับหนูที่ไร้ขนในตอนนี้ เขาก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าน้องชายคนนี้ไม่ได้วางแผนฆาตกรรมใครเด็ดขาด!
หลังจากฉีดเซลล์เนื้องอกเข้าไปในร่างของหนูทั้งห้าตัวแล้ว กู้จวินก็วางมันไว้ในกรงขังเเบบพิเศษเเล้วให้อาหาร สิ่งที่เหลือก็คือการสังเกตว่าหนูเหล่านี้จะมีเนื้องอกงอกออกมาหรือเปล่า?
“ พี่ชายจาง ขอบคุณมากครับ” กู้จวินขอบคุณพี่ชายจาง ท้ายที่สุดแล้วการทดสอบจะดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่ได้ หากปราศจากความช่วยเหลือจากเขา
“อะเเฮ่ม! หมอยาจีนโบราณที่นายพูดถึง…..” จางหลินยังคงมีสีหน้าระมัดระวังอยู่บนใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็เอ่ยถามเกี่ยวกับหมอยา
“นายเเน่ใจนะว่า เธอไม่ใช่คนเจ้าชู้…หรือหญิงสาวที่น่ากลัวน่าเกลียด” กู้จวินหัวเราะเเล้วส่ายหัวปฎิเสธทันที ในใจก็ลอบถอนหายใจ นี่เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ต่อให้เป็นหมอที่น่านับถือเเล้วยังไง…สุดท้ายเขาก็เเค่ไอ้หน้าหม้อคนหนึ่ง