ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 74
กู้จวินมองไปที่ข้อความที่ถูกเขียนด้วยภาษาต่างโลกบนกระดาษแผ่นนั้น ข้อความทั้งหมดถูกเขียนด้วยลายมือเหมือนคนเสียสติเป็นผู้เขียน ลายเส้นที่ถูกเขียนไปในกระดาษนั้นมีร่องรอยของความบ้าคลั่งและลางร้ายที่ไม่มีสิ้นสุด แม้กระทั่งคนเขียนอย่างกู้จวินเองทันทีที่เห็นมันเขาก็อดไม่ได้ที่จะหายใจสูดอากาศเย็นเยือกเข้าไปเพื่อควบคุมสติ แต่มันไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง ยิ่งสูดเข้าอากาศเเละหายใจเข้าไปเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกราวกับว่าโลหิตในร่างกายของเขากำลังจะจับตัวกันกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง
“ นักศึกษากู้ อธิบายมาทีสิ นี่คือรูปอะไร?” แม้เขาจะถามด้วยความสนใจแต่ใบหน้าของเขานั้นแสดงความไร้อารมณ์ออกมา เหมือนกับว่าคำที่กู้จวินจะพูดนั้นจะไม่มีความหมายใดๆต่อเขาทั้งสิ้น
ทว่าในขณะนี้ความคิดในหัวสมองของกู้จวินกำลังหมุนอย่างบ้าคลั่ง สติสัมปชัญญะของเขาใกล้จะเลือนลางลงทุกที ความกังวลปรากฏขึ้นในห้วงของสมอง ทำให้เหงื่อเย็นๆของกู้จวินไหลออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เขาเฝ้าแต่คิดว่าประเทศชาติ ไม่สิ! แผนกนี้จะรู้จักภาษาต่างโลกนี้หรือไม่ แล้วผู้สัมภาษณ์ทั้ง 3 คนสามารถถอดรหัสความหมายของประโยคนี้ได้หรือเปล่า และพวกเขาจะสงสัยกู้จวินไหม
เมื่อคิดถึงคำถามพวกนี้หัวใจของกู้จวินก็เริ่มจะจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังอย่างเต็มรูปแบบ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น คนอย่างกู้จวินก็ไม่มีทางละทิ้งความหวังสุดท้ายในการเข้าแผนกอย่างเเน่นอน
ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว โวยวายไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา กู้จวินตัดสินใจที่จะกลบเกลื่อนเรื่องนี้ และหาเหตุผลข้างๆคูมาตอบว่าทำไมเขาถึงเขียนประโยคนี้ได้
ฉับพลันวิญญาณนักแสดงตุ๊กตาทองเข้าเริ่มเข้าสิง กู้จวินเริ่มทำสีหน้าราวกับสงสัยปนคิดถึงอะไรบางอย่างออกมาอย่างสุดกำลัง เขาแสดงใบหน้าเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังรู้สึกโศกเศร้าเสียใจกับความทรงจำที่หายเลือนไปเมื่อครั้งยังเด็ก
“มันเป็นความทรงจำของผมเมื่อครั้งยังเด็ก…ใช่! ดูเหมือนมันจะเป็นอะไรสักอย่างที่อยู่ในเอกสารของพ่อกับเเม่…ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เเต่ผมจำมันได้อย่างดี” กู้จวินอธิบายด้วยน้ำเสียงเเสร้งตะกุกตะกัก เเล้วพลางเเอบดูผู้สัมภาษณ์ว่าทำสีหน้าอย่างไร เเต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อผู้สัมภาษณ์นั้นยังทำหน้าตาเย็นชาดั่งเดิม
“ โปรดอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้มากกว่านี้หน่อย” ผู้สัมภาษณ์กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา มันคล้ายกับว่าเมื่อเมื่อครู่นี้ผู้สัมภาษณ์จะไม่ได้ฟังสิ่งที่กู้จวินตอบมาแม้แต่นิดเดียว เขายังคงถามราวกับว่ากู้จวินน่าจะรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
“จริงๆแล้วเมื่อวัยเด็กผมเป็นคนที่ซุกซนมาก และพ่อแม่ของผมก็ไม่เคยอนุญาตให้ผมไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการงานของพวกเขา รวมถึงเอกสารต่างๆที่ถูกเก็บเอาไว้ในห้อง ผมก็ไม่ได้อนุญาตให้เข้าไปดู พวกท่านเข้มงวดมากราวกับกลัวว่าผมจะเข้าไปรื้อค้นหรือทำลายเอกสาร แต่ด้วยความที่ผมยังเด็กและซุกซน ผมจึงเคยแอบเข้าไปในห้องทำงานของพ่อแม่ครั้งหนึ่ง และครั้งนั้นผมได้เจอเอกสารที่ถูกวางไว้บนโต๊ะ บนนั้นมีอักษรภาษาแปลกๆคล้ายกับภาษาต่างประเทศถูกวางเอาไว้อย่างเรียบง่าย ตอนนั้นผมคิดว่ามันเป็นหนังสือเรียนหรือไม่ก็หนังสือแนะแนวอะไรบางอย่าง ผมจึงหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาดูเล่น พยายามเขียนตามมัน และหลังจากนั้นไม่นานพ่อกับแม่ของผมก็กลับมาและพบว่าผมกำลังเล่นเอกสารอันนั้น พวกเขาตำหนิผมอย่างรุนแรง เเละถูกจับไปขังไวในห้องมืดให้มองกำเเพงสำนึกผิดอยู่อย่างนั้นราวๆ ครึ่งวัน นั่นทำให้ผมจำเหตุการณ์นั้นได้ไม่รู้ลืม” กู้จวินอธิบายด้วยน้ำเสียงปกติ เเละในน้ำเสียงมีการหวนรำลึกที่เเสนจะน่าคิดถึงอยู่ในนั้นด้วย ดังนั้นกู้จวินมั่นใจว่ามันไม่น่าจะมีปัญหา
คำพูดเหล่านี้เป็นความจริงเกี่ยวกับอดีตของเขาหรือไม่? เเน่นอนว่าไม่! กู้จวินเพิ่งเเต่งเรื่องขึ้นมาเมื่อครู่นี้
กู้จวินโกหกเรื่อง “ อดีต” ของเขา แต่เขาก็พยายามรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความทรงจำที่จับต้องได้ที่หลั่งไหลออกมาจากใจของเขาอย่างเเท้จริง
“เอกสาร” ของพ่อเเม่ที่มีตราของไล่เฉิงจะเกี่ยวข้องกับภาษาต่างประเทศจริงหรือไม่? เรื่องนี้กู้จวินก็ไม่รู้เช่นกัน
“ โอ้…” ชายหน้าเหลี่ยมมองกู้จวินเเล้วพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นผู้สัมภาษณ์อีกสองคนก็มองเขาเช่นกัน พวกเขาช่วยกันตรวจดูการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการแสดงออกทางสีหน้าของกู้จวิน ราวกับจะจับว่ากู้จวินโกหกจริงหรือไม่!?
ส่วนฝั่งกู้จวินเองก็เตรียมพร้อมเหมือนกัน เขาพยายามรู้สึกว่านี่คือความจริงที่แท้จริงของตัวเขาเองเเล้ว เเละเพื่อยืนยันว่าความคิดเขาไม่ได้โกหก เขาจึงถามต่อไป
“ คุณบอกผมได้ไหมว่านี่หมายความว่าอย่างไร?” นี่เป็นเพียงการเล่นลิ้นเเละเบี่ยงเบนความสนใจ
ชายหน้าเหลี่ยมไม่พูดอะไรอีก จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่โต๊ะหลังจากหยิบปากกาและกระดาษกลับไป ในขณะที่ชายที่อายุมากที่สุดหันมาพูดกับกู้จวิน
“ ตอนนี้การสัมภาษณ์จบสิ้นเเล้ว กู้จวิน…เชิญออกไปได้” เเต่ถึงจะปิดบังเเต่กู้จวินก็พอจับพิรุธได้ ดูเหมือนคนเหล่านี้จะพบอะไรเข้าให้เเล้ว
“ ขอบคุณอาจารย์มากครับที่เสียเวลาให้ผม” กู้จวินทำได้เพียงแค่ลุกขึ้นและออกไปจากห้องด้วยความสงสัยลึก ๆ
เมื่อเขากำลังจะผลักประตูห้องสอบสัมภาษณ์เพื่อออกไป เขาก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งยืนอยู่ข้างประตูเพื่อรอคอยเขา
“นักศึกษากู้ โปรดมากับฉันและอย่าพูดคุยกันตรงนี้”
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง นักศึกษาอีกแปดคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ต่างก็จ้องมองมาที่กู้จวินที่กำลังเดินออกมา
พวกเขาได้รับคำเตือนในทำนองเดียวกันว่าให้เลิกพูดคุย ดังนั้นถึงจะสงสัยเเต่พวกเขาก็ทำได้เเค่เฝ้าดูในขณะที่กู้จวินเดินผ่านพวกเขาไป
หลังจากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่อีกคนก็ขอให้หวังรั่วเซียงเข้ามาในฐานะผู้รับการสัมภาษณ์คนที่สอง
หลังจากกู้จวินถูกพาออกไปจากทางเดินนอกห้องสัมภาษณ์ คนเเปลกหน้าอีกสองคนก็เดินเข้ามาหาเขาเพื่อขอโทรศัพท์มือถือของหลี่เยี่ยรุ่ยไปตรวจดู
กู้จวินคิดว่าทั้งสองคนนี้ควรจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาช่วยตรวจสอบในงานนี้ เพราะพวกเขายึดโทรศัพท์มือถือของหลี่เยี่ยรุ่ยจากกู้จวินไป และถามคำถามบางอย่าง เช่นเกิดอะไรขึ้นในลองกาน และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับพัสดุเป็นต้น
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลองกาน เขาเกือบจะรายงานความจริงทั้งหมดเพราะนอกจากบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง
เเน่นอนว่าคำพูดก็มีตกเเต่งบ้างเล็กน้อย
หลังจากที่พัสดุถูกส่งไปที่หอพักจากห้องไปรษณีย์ กู้จวินก็ถอด SD การ์ดจากโทรศัพท์มือถือที่พังแล้วเครื่องนี้ออก เพราะตัวเขาไม่สามารถเปิดเครื่องได้อีกต่อไปจึงไม่มีประโยชน์อะไรอีก และเขาก็ไม่ได้ส่งซ่อมเพราะไม่ว่าง เเละเพราะว่ามันน่าสงสัยเขาจึงพกมันติดไว้กับตัว…ใช่! เรื่องราวมันก็มีอยู่เพียงเเค่นั้น
“ เอ่อ ขอถามหน่อยครับหลี่เยี่ยรุ่นและคนอื่น ๆ พวกเขาสบายดีไหม?”
กู้จวินเอ่ยปากถาม อันที่จริงเขาสรุปได้ว่าหลิวเสี่ยวถังน่าจะเป็นคนส่งโทรศัพท์มือถือให้เขา เพราะหลี่เยี่ยรุ่ยได้รับบาดเจ็บและต้องเข้ารับการผ่าตัด ส่วนอู๋ตงก็ขาดความกล้าที่จะส่งโทรศัพท์ให้เขา ดังนั้นมีเพียงหลินเสี่ยวถังที่ยังอยู่ในวัยเเห่งความเป็นเด็กเเละขาดการยั้งคิดเท่านั้นที่น่าจะเป็นผู้กระทำความผิดนี้ อย่างไรก็ตามเขาและเธอไม่ได้แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กันด้วยซ้ำ เเถมเพราะระยะเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันมันก็น้อยเเสนจะน้อย ดังนั้นกู้จวินจึงไม่เคยนึกถึงเธอมาก่อน ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นคนรอบคอบ บางทีเขาอาจจะลืมหลินเสี่ยวถังไปเเล้วก็ได้
“ พวกเราไม่มีอำนาจที่จะตอบคำถามของคุณ” ตำรวจตอบตามความจริง ในเเผนกนี้ไม่มีใครพูดมากทั้งนั้น ทุกคนล้วนมีความลับ โดยเฉพาะเมื่อเข้าเเผนก ไม่รู้ยังดีกว่ารู้เสียอีก
กู้จวินเดาว่าทั้งสามคนเพิ่งถูกควบคุมตัวโดยหน่วยงานลับของรัฐบาลและความปลอดภัยของพวกเขาก็ไม่น่ามีปัญหา
กู้จวินจินตนาการถึงฉากหนึ่งในเรือดำน้ำ ตอนนั้นพวกเขากำลังถูกขังอยู่ในห้องสีดำเเคบๆขนาดเล็กใต้ท้องทะเล หลี่เยี่ยรุ่ยกระโดดขึ้นลงจนกระดูกหัก ส่วนอู๋ต้งกำลังตื่นตระหนกเพราะกลัวน้ำเเละกลัวความมืด สุดท้ายหลินเสี่ยวถังเอาเเต่หงุดหงิดโวยวาย
เขาอยากจะหัวเราะ ถ้ากลัวกันขนาดนี้พวกเขาไม่ควรขึ้นเรือดำน้ำลึกตั้งแต่แรก เเละนี่อาจจะเป็นเหตุผลให้พวกเขาส่งมือถือเครื่องนี้มา….
หากพวกเขาไม่ได้กลัวการดูภาพเเสนตลกของตนเองอาจจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะไม่ส่งโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้มาให้เขา
ตำรวจสองนายออกไปหลังจากการซักถามของพวกเขาเสร็จสิ้นเเละไม่บอกอะไรต่อกู้จวินสักอย่าง ทิ้งให้กู้จวินมองเเละสงสัยอยู่เเบบนั้น
กู้จวินยังไม่ทราบว่าพวกตำรวจนั่นคิดอย่างไร ผลการตรวจสอบนั้นผ่านเกณฑ์ไหมด้วยซ้ำ! นอกจากจะไม่รู้อะไรกู้จวินยังถูกเจ้าหน้าที่นำตัวไปยังสถานที่ถัดไปเพื่อทำการตรวจร่างกายเพิ่มเติมอีก
ด้วยความฉลาดกู้จวินรู้ทันที ว่าการตรวจร่างกายไม่เพียงเเต่ตรวจสอบความเเข็งเเรงของร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีหลายวัตถุประสงค์ที่สามารถคาดเดาได้จากการตรวจสอบอีก เช่นการทดสอบทางประสาทวิทยา สิ่งนี้ถูกใช้เพื่อประเมินการทำงานของสมองของมนุษย์ รวมถึงการรับรู้ การเคลื่อนไหว การพูด ความสนใจ ความจำ และความสามารถในการคิดเชิงนามธรรม อีกด้วย…