ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1016 เจตจำนงสรรค์สร้าง
บทที่ 1016 เจตจำนงสรรค์สร้าง
ดาวพิชิตสวรรค์!
ดูเหมือนจะยอดเยี่ยมมากเหมือนกัน!
หานเจวี๋ยพบว่าสวรรค์ประทานโชคทั้งสามคนล้วนมีคำว่าดาวพ่วงมาด้วย หรือจะเกี่ยวข้องกับกายดาราอนธการของเขา มหาโชคเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการดวงดาวทั้งหมดในโลกปฐมยุคอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยเริ่มทำนายถึงหานเหยา
หานเหยาเป็นเชื้อสายรุ่นหลังของหานอวิ๋นจิ่นบุตรชายลี่เหยา ถือกำเนิดจากเจ้าบ้านตระกูลหานสายหลักแห่งแดนเซียน จุดตั้งต้นเหนือกว่าหานเย่มากนัก
ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อหานเหยาเช่นเดียวกับหานเย่เลย จุดตั้งต้นของหานเย่อ่อนด้อยอัตคัด จำเป็นต้องมีคนชักนำเข้าสู่เส้นทางบำเพ็ญ แต่หานเหยากลับต่างออกไป ถือกำเนิดมาเพียบพร้อม เข้าสู่เส้นทางบำเพ็ญได้ไม่ยากเย็นเลย หานเจวี๋ยเพียงต้องรอให้เขาเติบใหญ่แล้วค่อยรับตัวมาฝึกบำเพ็ญข้างกาย ช่วยเหลือเกื้อหนุนอย่างเปิดเผยได้
หานเย่ หานเหยา…
หานเจวี๋ยนึกถึงความมหัศจรรย์นี้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
หานหลิงเอ่ยถาม “ท่านพ่อ ท่านคิดอะไรอยู่เจ้าคะ”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ตระกูลหานปรากฏต้นกล้าชั้นดีขึ้นอีกคนแล้ว”
พอหานหลิงได้ฟังดวงหน้างามพลันอึมครึมลง
พอหานเจวี๋ยเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง พาหานหลิงออกท่องเที่ยวผจญโลกาต่อไป
….
แดนเซียน ณ เขาเทพปู้โจว
กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ล้วนมาชุมนุมกันที่นี่ ในป่าเขาเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญเผ่าพันธุ์ต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน
บนยอดเขา เงาร่างสองร่างนั่งประจันหน้ากัน ฝ่ายหนึ่งคือเจ้าสำนักทะยานฟ้า อีกฝ่ายคือเจ้าบ้านตระกูลหาน ไกลออกไปมีหานอวี้นั่งสมาธิอยู่ใต้พฤกษาเก่าแก่ เฝ้ามองอย่างเงียบงัน
ลูกหลานตระกูลหานและเหล่าศิษย์สำนักทะยานฟ้าเฝ้ามองอยู่บนนภาเหนือยอดเขา ทั้งสองฝ่ายล้วนเฝ้ารออย่างตึงเครียด กระวนกระวายสุดขีด
เจ้าสำนักทะยานฟ้าเปิดปากเอ่ยขึ้นมาก่อน “สหายเต๋าหาน จุดเริ่มต้นของบ่วงกรรมนี้ศิษย์ของตระกูลหานเป็นฝ่ายเริ่มก่อน หรือเจ้าหวังให้ศิษย์สำนักทะยานฟ้าเรากล้ำกลืนความโกรธไว้เล่า”
เจ้าบ้านตระกูลหานแค่นเสียงเอ่ย “ศิษย์ตระกูลหานของข้าเป็นฝ่ายเริ่มจริงๆ แต่ฝั่งศิษย์ของเจ้าสั่งสอนเพียงเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว เหตุใดต้องไล่ล่าสังหารให้ได้”
เจ้าสำนักทะยานฟ้ากล่าวว่า “จะให้สั่งสอนอย่างไรเล่า ทำลายโอกาสวาสนาของศิษย์ข้า สถานการณ์เช่นนี้หากอยู่ในโลกบำเพ็ญอื่นล้วนต้องสู้กันอย่างไม่ตายไม่เลิกรา แล้วตระกูลหานของเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงจะได้รับสิทธิ์เช่นนี้”
“นั่นเพราะโลกบำเพ็ญเพียรยังคงให้ความสำคัญกับการผูกพยาบาทจองเวร ผู้เยาว์ถูกข่มเหง ผู้อาวุโสต้องออกโรง แล้วสำนักทะยานฟ้าของเจ้าถือสิทธิ์ใดถึงไปขอร้องให้อริยะช่วยประนีประนอม อีกอย่างโอกาสวาสนานั้นก็หาใช่ของศิษย์เจ้าไม่ สถานการณ์ในยามนั้นไม่มีผู้ใดทราบรายละเอียด กลุ่มรุ่นเยาว์ช่วงชิงโอกาสวาสนากัน ศิษย์เจ้าพลาดโอกาสวาสนาก็โทษศิษย์ตระกูลหานเราได้เช่นนั้นหรือ”
เจ้าบ้านตระกูลหานเอ่ยถากถาง ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมา
สีหน้าเจ้าสำนักทะยานฟ้าเยียบเย็นลงในชั่วพริบตา แววตาเปี่ยมเจตนาสังหาร
เจ้าบ้านตระกูลหานก็ไม่กริ่งเกรงเลย แสดงสีหน้าหมิ่นหยามยิ่งขึ้นไปอีก
หานอวี้จำเป็นต้องเอ่ยขึ้นว่า “ทั้งสองท่าน ครั้งนี้มาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา พูดมาเถอะว่าแต่ละฝ่ายต้องการยื่นเงื่อนไขเช่นไรถึงจะยอมเลิกรา”
เจ้าบ้านตระกูลหานได้ยินก็จำต้องเก็บสีหน้า ไว้หน้าอริยะร่วมสายตระกูลเดียวกัน
ผู้ทรงพลังแห่งแดนเซียนทั้งสองเริ่มเจรจาต่อรองกัน
ในเวลาเดียวกันนี้
บนเนินเขาของเขาเทพปู้โจว หานเจวี๋ยและหานหลิงก็เฝ้ามองอยู่เช่นกัน
หานหลิงเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “ตระกูลหานของเราทรงอำนาจมากจริงๆ”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “แต่หากว่ากันตามหลักเหตุผลแล้วก็ยากจะตัดสินได้”
เขาไม่คิดจะสอดมือเข้ายุ่งกับเรื่องนี้ ตระกูลหานแข็งแกร่งมากพอแล้ว อีกอย่างก็ยังมีพวกหานอวี้ หานทั่ว หานฮวงและหานชิงเอ๋อร์เป็นที่พึ่งให้ได้
ระหว่างที่ชมเรื่องครื้นเครงหานเจวี๋ยก็ตั้งคำถามในใจไปด้วย
‘ตอนนี้ข้าสามารถทราบความเป็นมาของระบบได้แล้วกระมัง!’
ขอเพียงเขาพิสูจน์ผู้สร้างได้ก็จะสามารถทำความเข้าใจที่มาของระบบได้ ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยเคยคาดเดาไว้แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เร่งร้อนจะหาคำตอบนี้มากนัก
เขามาถึงขั้นนี้แล้ว แต่ยังคงรับรู้ถึงตัวตนของระบบไม่ได้ นั่นก็มีความหมายเพียงข้อเดียวคือ ระบบไม่มีความเกี่ยวข้องกับฟ้าบุพกาล แต่เคยเกี่ยวข้องกับเทพมารอนธการผู้ที่เคยบุกเบิกอนธการขึ้นมา!
เทพมารอนธการตนนั้นเป็นตัวตนเก่าแก่ที่สุดเท่าที่ทราบมาแล้ว
[ต้องการสืบค้นความเป็นมาของระบบใช่หรือไม่ โปรดเลือกอย่างระมัดระวัง]
ต้องทำให้น่ากลัวขนาดนี้ด้วยหรือ
แถมยังให้เลือกอย่างระมัดระวังอีก
‘จะตายหรือไม่’
[ไม่]
‘จะเป็นอันตายต่อตัวข้าในโลกความเป็นจริงหรือไม่’
[ไม่]
หานเจวี๋ยพูดไม่ออกแล้ว
เขาเลือกดำเนินการต่ออย่างเงียบๆ
ตูม!
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ
แสงม่วงกระจายตัวไปในความมืดมิด บีบให้หานเจวี๋ยต้องลืมตาขึ้น
เขาพบว่าตัวเองมาโผล่ในห้วงอวกาศที่ปกคลุมด้วยปราณม่วงมากมายเหลือคณา ไกลออกไปมีดวงอาทิตย์ที่ใหญ่มหึมาอย่างยิ่งดวงหนึ่ง ส่องสว่างไปทั่วห้วงอวากาศนี้ เขาถึงขั้นที่สัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุนั้น
หานเจวี๋ยหรี่ตาเพ่งมองออกไป มีเงาร่างหนึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายในดวงอาทิตย์ใหญ่มหึมาดวงนั้น
ที่นี่คืออนธการ ผู้ที่อยู่ในพระอาทิตย์ดวงนั้นอาจจะเป็นเทพมารอนธการ
“ในที่สุดเจ้าก็มา”
เสียงหนึ่งแว่วลอยมา น้ำเสียงเฉยเมย
หานเจวี๋ยถาม “เทพมารอนธการหรือ”
น้ำเสียงเฉยชาตอบกลับว่า “ไม่ใช่ เทพมารอนธการก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้า เป็นเพียงผู้สืบทอดเช่นกัน แต่เขาพลาดท่าดับสูญไประหว่างที่รับสืบทอด”
หานเจวี๋ยหน้าเปลี่ยนสี มิใช่เทพมารอนธการอย่างนั้นหรือ
แล้วเป็นสิ่งใดเล่า
“เช่นนั้นท่านเป็นใครกันแน่” หานเจวี๋ยถามเสียงขรึม
ในใจเขาหวาดหวั่นอย่างไม่มีสาเหตุ
นี่คือความรู้สึกยามที่เผชิญหน้ากับตัวตนที่ไม่ทราบความเป็นมา
“ตัวตนของข้าไร้นาม หากยืนกรานจะให้ข้ามีนามตามความเข้าใจของเจ้า เช่นนั้นข้าก็คงเป็นเจตจำนงที่สรรค์สร้างทุกสรรพสิ่ง”
เจตจำนงสรรค์สร้างอย่างนั้นหรือ
น้ำเสียงเฉยเมยแว่วขึ้นมาอีกครั้ง “ก่อนที่ทุกสิ่งจะถือกำเนิด ไม่เคยมีสิ่งใดอยู่เลย แม้แต่จินตนาการก็ยังจินตนาการไม่ออก จนกระทั่งปรากฏการสรรค์สร้างขึ้น มันปรากฏขึ้นมาตอนไหนข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด มันสร้างโลกใบหนึ่งขึ้น เมื่อโลกก่อตัวขึ้นมาข้าก็ถือกำเนิดขึ้นมาด้วย แต่โลกใบนี้เล็กจ้อยเหลือเกิน ข้าอยากช่วยให้มันขยับขยาย แต่ข้าไม่สามารถสร้างโลกขึ้นเองได้ ข้าทำได้เพียงแปลงเจตจำนงให้กลายเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ ส่งเข้าสู่โลก ก่อนที่เทพมารอนธการจะถือกำเนิดขึ้น มีหลายสิบตัวตนที่เคยได้รับสืบทอดข้าไป แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลวทั้งสิ้น
“เทพมารอนธการนับว่าเป็นรายแรกที่ประสบความสำเร็จไปครึ่งทาง พึ่งพาข้าจนบุกเบิกอนธการขึ้น แต่เขาก็ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ แต่ก่อนที่เขาจะดับสูญไปได้สร้างสิ่งมีชีวิตอนธการไว้ ตัวตนหนึ่งในหมู่สิ่งมีชีวิตอนธการได้สร้างฟ้าบุพกาลขึ้น
“หลังจากเทพมารอนธการดับสูญไป ผ่านมาเนิ่นนานจนนับยุคไม่ถ้วน ข้าตกทอดไปสู่ตัวตนนับไม่ถ้วนเช่นกัน จำนวนมากมายเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ ในฟ้าบุพกาลที่เก้าก็เคยมีผู้สืบทอดของข้าเช่นกัน พวกเขาล้วนแต่ล้มเหลว ผู้แข็งแกร่งที่สุดก็ไปถึงเพียงยอดมหามรรคเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนพลาดท่าดับสูญเพราะความจองหอง
“จนกระทั่งข้าได้พบเจ้า ข้าดำรงอยู่ในลักษณะตัวตนแบบที่เจ้าชอบ ช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น เจ้าแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่น แม้จะมีข้าคอยช่วยเหลือจนไร้พ่าย แต่เจ้าก็ยังระมัดระวังมาตลอด หากเลี่ยงกรรมได้ก็จะเลี่ยง แต่หากเข้าไปข้องแวะแล้วจะตัดรากถอนโคนให้สิ้น ดังนั้นเจ้าถึงสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาได้”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ในเมื่อท่านคือเจตจำนงสรรค์สร้าง เช่นนั้นเป้าหมายของท่านคือต้องให้ข้าช่วยพัฒนาทุกอย่างให้ดียิ่งขึ้นหรือ”
นี่ถือว่าเป็นชะตาของข้าใช่หรือไม่
ขณะที่หานเจวี๋ยขบคิดอยู่ จู่ๆ ก็มีฉากมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นตรงหน้า หมุนเวียนไปอย่างรวดเร็ว
มีผู้สืบทอดที่ถือกำเนิดอย่างสูงศักดิ์เพียบพร้อม เย่อหยิ่งมาแต่กำเนิด สิ้นชีพเพราะถูกศัตรูล้อมสังหาร
มีผู้สืบทอดที่ถือกำเนิดอย่างโดดเดี่ยว กระหายการฆ่าฟัน กระตุ้นกฎเกณฑ์จนเกิดผลย้อนสนอง
มีผู้สืบทอดที่ถือกำเนิดมายากไร้ ฝึกบำเพ็ญอย่างระมัดระวัง หลังพิสูจน์มรรคได้คิดว่าตนไร้พ่ายแล้ว ตระเวนก่อเรื่องไปทั่ว ถูกผู้ทรงพลังสะกดไว้อย่างน่าอนาถ
มีผู้สืบทอดที่อาศัยโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ คบค้าผูกมิตรกับผู้ครองดวงชะตายิ่งใหญ่ อิทธิพลล้นฟ้า ทว่าเป็นเพราะบาดหมางกับเหล่าศิษย์จึงเกิดปัญหามากมายขึ้นอย่างไม่จบไม่สิ้น สุดท้ายก็สิ้นชีพเพราะถูกเหล่าศิษย์รวมหัวสังหาร
มีผู้สืบทอดที่ดำเนินการอย่างระมัดระวังเช่นเดียวกับหานเจวี๋ย เมื่อเผชิญเรื่องราวใดจะสอบถามลาดเลาสถานการณ์ก่อนว่าเป็นอย่างไร แต่พอตบะของเขาบรรลุถึงยอดมหามรรคก็รู้สึกว่าตนไร้พ่ายในฟ้าบุพกาลแล้ว ดำเนินชีวิตอย่างโอหังย่ามใจ ผ่านไปนานวันเข้าก็ลืมเลือนที่จะสอบถามลาดเลา เจ้านวฟ้าบุพกาลพิสูจน์ผู้สร้างสำเร็จรู้สึกว่าอันตรายยิ่งนักจึงสังหารเขาทิ้ง