ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1082 กฎเกณฑ์สูงสุดสายที่แปด
บทที่ 1082 กฎเกณฑ์สูงสุดสายที่แปด
ศิษย์ในวังเมฆาม่วงถอยออกไป เหลือเพียงผานกู่และหงจวิน
ผู้บุกเบิกมรรคาสวรรค์และผู้ยิ่งใหญ่แห่งมรรคาสวรรค์มาพบกัน บรรยากาศลึกล้ำอย่างยิ่ง
หงจวินเห็นผานกู่ก็ไม่ตกใจและไม่ประหม่าเลย
ผานกู่หยุดอยู่ตรงหน้าหงจวินในระยะห่างไม่ถึงสิบจั้ง เอ่ยไปว่า “ที่มาครั้งนี้ เจ้าน่าจะทราบดีว่าเพราะเหตุใด”
หงจวินเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการอะไร แต่สิ่งนั้นไม่ได้อยู่ในมือข้า มิเช่นนั้นข้าก็คงไม่ออกจากมรรคาสวรรค์มาเช่นกัน”
ผานกู่จ้องเขาเขม็งพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นแผ่นหยกนำโชคเล่า ด้านในจะต้องดูดซับกฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติของมรรคาสวรรค์ไว้แน่นอน เป็นเพราะไร้ซึ่งกฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติมรรคาสวรรค์ถึงได้กำเนิดดวงจิตขึ้นมา คนที่สามารถช่วงชิงมันไปได้ก็มีเพียงเจ้า”
หงจวินส่ายหน้า เอ่ยว่า “ระหว่างที่ข้าผสานมรรค ฟ้าบุพกาลเข้ารุกรานมรรคาสวรรค์อยู่หลายครั้ง มรรคาสวรรค์เผชิญความย่อยยับหลายครั้ง ในอดีตข้ามีตบะไม่มากพอไม่ทราบถึงกฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติ”
ผานกู่จ้องมองเขา แววตาฉายแววอันตรายขึ้นมา
หงจวินมองเขาอย่างไร้ความกริ่งเกรง สบตาตรงๆ
เจตนาสังหารเริ่มปกคลุมวังเมฆาม่วง แม้แต่เปลวเทียนที่ส่ายไหวก็หยุดนิ่ง บรรยากาศกดดันอย่างยิ่ง
หงจวินเอ่ยขึ้นว่า “หากต้องการพิสูจน์ผู้สร้างไม่อาจก้าวเดินไปในทิศทางบุกเบิกโลกมหามรรคได้อีก พ้นนิวรณ์ อวิชชาและผลาญนภาต่างถูกฟ้าบุพกาลฮุบกลืน พวกเราน่าจะคิดหาวิธีอื่นได้แล้ว”
ผานกู่เอ่ยว่า “วิธีการใด”
หงจวินจ้องมองผานกู่ เอ่ยไปว่า “ช่วงชิงบ่วงกรรมแห่งมหาเคราะห์ สร้างมหาโชคแห่งฟ้าบุพกาล”
ผานกู่ขมวดคิ้ว
“สิ่งที่พวกเราแก่งแย่งช่วงชิงกันมาจนถึงตอนนี้คือกฎเกณฑ์ แต่บนโลกนี้ไม่ได้มีเพียงกฎเกณฑ์และไม่ได้มีเพียงปัจจุบันนี้” หงจวินกล่าวไปช้าๆ
เขาลุกขึ้นยืน เอ่ยต่อว่า “ผานกู่ เจ้าเป็นบรรพบุรุษผู้สร้างมรรคาสวรรค์ ส่วนข้าคือบรรพชนเต๋าแห่งมรรคาสวรรค์ พวกเราต้องร่วมมือกันถึงจะมีหนทางรอด ทันทีที่พวกเราเผยตัวด้วยร่างจริงจะถูกผู้สร้างมรรคาสังหารแน่นอน ต่อให้ข้าได้กฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติของเจ้ามาก็ไม่มีประโยชน์”
ผานกู่เอ่ยว่า “เจ้าคิดจะเลือกเส้นทางแห่งฟ้าบุพกาลหรือ”
หงจวินกล่าวว่า “ไม่ใช่ ความแตกต่างระหว่างฟ้าบุพกาลและอนธการอยู่ที่ความสมบูรณ์แบบของกฎเกณฑ์ หากพวกเราคิดจะเข้าแทนที่ฟ้าบุพกาลก็ต้องมีมหาโชคมากกว่า เดิมทีมรรคาสวรรค์ก็สามารถเข้าแทนที่ฟ้าบุพกาลได้อยู่แล้ว แต่ฟ้าบุพกาลสังเกตเห็นทันท่วงที แล้วเหตุใดมรรคาสวรรค์ถึงสามารถแทนที่ฟ้าบุพกาลได้เล่า ข้าคิดว่าขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์ ในฟ้าบุพกาลไม่มีเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์อยู่ แต่ละเผ่าพันธุ์แยกตัวโดดเดี่ยวดูเหมือนจะดียิ่ง แต่ความจริงทำให้ฟ้าบุพกาลย่ำอยู่กับที่มาตลอด ไม่ว่าฟ้าบุพกาลจะเจริญรุ่งเรืองสักเพียงใดก็ตามก็ไม่สามารถพัฒนาได้ เท่าที่มองจากตอนนี้แล้วเทียบกับในอดีตมีความต่างกันด้วยหรือ
“แต่ละเผ่าพันธุ์ในฟ้าบุพกาลที่แข็งแกร่งขึ้นมาจะถูกมารร้ายเข้ากวาดล้างจนหวนกลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง สมดุลนี้สมควรถูกพลิกผันได้แล้ว
“พวกเราสามารถสร้างเผ่าพันธุ์ที่ผสานรวมทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน อาศัยมหาโชคแห่งฟ้าบุพกาลพลิกผันทุกสิ่ง จากนั้นค่อยดูดซับดวงชะตาฟ้าบุพกาลเข้ามา เมื่อสรรค์สร้างได้สำเร็จ ฟ้าบุพกาลจะขัดขวางก็ทำไม่ได้แล้ว”
วาจาของหงจวินน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง ผานกู่ฟังแล้วค่อยๆ คลายหัวคิ้วออก
ผานกู่ถามออกไป “หากเป็นเช่นนี้ ฟ้าบุพกาลจะยอมปล่อยให้เผ่าพันธุ์นี้เติบโตหรือ”
หวงจวินเอ่ยว่า “ข้ากำลังค้นหายอดสมบัติชิ้นหนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงบ่วงกรรมและดวงชะตาได้ หากทำให้เผ่าพันธุ์นี้ถูกปลอมแปลงเป็นเผ่าพันธุ์แห่งฟ้าบุพกาลก่อนรอจนกำลังของพวกเราไร้ผู้ต้านแล้วค่อยเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเผ่านี้ ในช่วงที่ผ่านมาข้าแยกวิญญาณ กระจายออกไปทั่วก็เพื่อหาสมบัติชิ้นนี้
“ข้าจะค้นหาต่อไป ส่วนเจ้าจงพิจารณาดูเผ่าพันธุ์ในมรรคาสวรรค์แล้วคัดเลือกมาสักเผ่าหนึ่ง”
ผานกู่ใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนพยักหน้าตอบรับ
เขาสบตากับหงจวิน ทั้งสองฝ่ายมองเห็นแววตาลุ่มลึกในดวงตาของอีกคน
….
สิบล้านปีต่อมา
หานเจวี๋ยที่อายุครบสองร้อยห้าสิบล้านปีแล้วลืมตาขึ้นมา จากนั้นเขาพลันเลือนหายไป ร่างจริงมาปรากฏในโลกปฐมยุค
โลกปฐมยุคขยายตัวอยู่ตลอด ยิ่งโลกปฐมยุคแข็งแกร่งขึ้นเท่าไรความเร็วในการลอยเข้าหาฟ้าบุพกาลของมันก็มากขึ้นเรื่อยๆ พลังสะกดข่มที่ฟ้าบุพกาลมีต่อโลกมหามรรคแข็งแกร่งเหลือเกิน แต่โชคดีที่โลกปฐมยุคยังอยู่ห่างไกลนัก
อย่าว่าแต่โลกปฐมยุคเลย โลกเลือนพิสุทธิ์ก็ยังอยู่ห่างจากฟ้าบุพกาลไปอีกระยะหนึ่งเช่นกัน
หานเจวี๋ยยืนอยู่เหนือโลกปฐมยุค มองลงไปยังโลกปฐมยุค
เจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดควบคุมอยู่เหนือมหามรรคสามพันวิถี ภายใต้การจ้องมองของหานเจวี๋ยมีกฎเกณฑ์สูงสุดสายใหม่กำเนิดขึ้นมาด้านข้างแล้ว
โลกมหามรรคแต่ละแห่งมีกฎเกณฑ์สูงสุดเพียงเจ็ดสาย ได้แก่ บ่วงกรรม ดวงชะตา พิฆาต สรรค์สร้าง ชะตากรรม วัฏจักร กาลเวลา อาจจะมีแตกต่างกันไปบ้าง แต่หลักๆ แล้วคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะบ่วงกรรม ดวงชะตาและสรรค์สร้าง สามกฎเกณฑ์สูงสุดนี้เป็นแกนหลักที่สำคัญที่สุด
หานเจวี๋ยนึกสงสัยว่ากฎเกณฑ์สูงสุดสายที่แปดคืออะไรกันแน่
ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวขึ้น กฎเกณฑ์สูงสุดสายใหม่ก็ใกล้จะถือกำเนิดขึ้นอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องคอยนานนัก
กฎเกณฑ์สูงสุดสายที่แปดกลับเป็นการกลืนกินกฎเกณฑ์ คล้ายกับมหามรรคกลืนกินของหานเจวี๋ยยิ่งนัก ทั้งยังมีระดับสูงกว่าด้วย
มีกฎเกณฑ์สายนี้อยู่ โลกปฐมยุคก็สามารถกลืนกินโลกมหามรรคแห่งอื่นได้!
หรือว่าหนึ่งในกฎเกณฑ์สูงสุดแห่งฟ้าบุพกาลก็คือกลืนกินเช่นกัน ดังนั้นถึงสามารถฮุบกลืนโลกมหามรรคเหล่านั้นได้ใช่หรือไม่
เช่นนี้ก็แปลว่าโลกปฐมยุคใกล้จะไล่ตามฟ้าบุพกาลทันแล้วอย่างนั้นหรือ
แต่โลกปฐมยุคยังคงเข้าใกล้ฟ้าบุพกาลไปเรื่อยๆ แปลว่าพลังของฟ้าบุพกาลแข็งแกร่งกว่า หากมิเช่นนั้นแล้วก็ควรเป็นฟ้าบุพกาลถูกดึงดูดเข้าหาโลกปฐมยุค
หานเจวี๋ยมองอยู่สักพัก รอจนกฎเกณฑ์สูงสุดสายที่แปดมั่นคงแล้วเขาถึงจากไป
เขาไม่ได้กลับไปที่อาณาเขตเต๋า แต่ออกท่องไปตามดินแดนเวิ้งว้าง
หลังจากออกจากดินแดนเวิ้งว้าง เขาหยุดชะงักก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ปรากฏตัวเถิด”
พอกล่าวจบ เงาร่างสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังเขา
หานเจวี๋ยเพ่งสายตามองออกไป เป็นเงาร่างหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ผู้สร้างมรรคา!
หรือว่าจะเป็นจอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์ที่สุดแสนลึกลับคนนั้น
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจจับทันที
[จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์: ผู้สร้างมรรคาระยะกลาง ทวยเทพฟ้าบุพกาล ผู้พิทักษ์ดินแดนเวิ้งว้าง เจ้าแห่งความหวาดกลัว หลุดพ้นจากฟ้าบุพกาล คงอยู่ในห้วงกาลอันเป็นนิรันดร์]
ใช่เขาจริงๆ!
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “สหายเต๋ามีเจตนาใดหรือ”
จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์มีปราณขาวดำสองสายพัวพันรอบกาย ปราณก่อตัวเป็นหมอกหนา อีกทั้งเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าร่างเขาเล็กมากแต่กลิ่นอายกลับแข็งแกร่งนัก
“ข้าอยากเห็นว่าชนรุ่นหลังอย่างเจ้าจะแข็งแกร่งมากเพียงใดถึงทำให้ตัวตนนั้นจัดให้เจ้าเป็นลำดับที่สองได้” จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์เอ่ย
จัดเป็นลำดับที่สองหรือ
ชมเกินไปแล้ว!
หานเจวี๋ยถาม “ข้าย่อมไม่อาจเป็นอันดับที่สองได้ ผู้ใดกันที่กล่าวเช่นนี้”
เพราะถูกสาปหรือ
“เจ้านวฟ้าบุพกาล!”
จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเหน็บแนมอยู่หน่อยๆ
หานเจวี๋ยเงียบไป
เช่นนั้นก็มิใช่คำชมแล้ว แต่เป็นการเสี้ยม!
จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์เอ่ยว่า “ไปหาสถานที่ประลองกันดีหรือไม่”
เมื่อผู้สร้างมรรคาเริ่มต่อสู้กันจะทรงพลังน่าหวาดหวั่นจนส่งผลกระทบต่อฟ้าบุพกาลและโลกมหามรรคอื่นๆ แน่นอน
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ท่านนำทางเถอะ”
ระหว่างผู้สร้างมรรคาเป็นเพียงการประชันกันเท่านั้น ไม่อาจสังหารกันและกันได้
บางทีหลังจากหานเจวี๋ยพิสูจน์เทพผู้สร้างได้แล้วอาจจะกำหนดความเป็นความตายของผู้สร้างมรรคาได้
จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์หันหลังจากไป หานเจวี๋ยตามหลังอีกฝ่ายไปติดๆ
ทันทีที่พวกเขาจากไป เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล มหาเทวาพ้นนิวรณ์และมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญก็ปรากฏตัวขึ้น
“จุ๊ๆ พวกเขาจะสู้กันจริงๆ ด้วย”
“ผู้ใดจะมีชัยกัน”
“พูดยาก เลือนพิสุทธิ์ปิดด่านอยู่ตลอด เมื่อก่อนเคยต่อกรกับฟ้าบุพกาลมาแล้ว ตอนนี้ต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน”
“ก็จริง กลิ่นอายของเขาทำให้ข้าตกใจได้”
“แต่อริยะสวรรค์เกรียงไกรก็ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะมองไปที่เขาตอนไหน กลิ่นอายเขาล้วนเลือนรางคล้ายไม่มีอยู่ ดูเหมือนจะไม่แข็งแกร่งแต่ความจริงแล้วพวกเรามองไม่กระจ่างเลย แปลว่าห่างชั้นกันมากยิ่ง”
สามผู้สร้างมรรคาเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ ล้วนตัดสินไม่ได้ว่าผู้ใดจะมีชัย