ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1103 ข้าไร้พ่ายแล้ว
บทที่ 1103 ข้าไร้พ่ายแล้ว
เทพมารปฐมยุคหรือ
เก้าเทวาดาราก้มหน้าลง เหลือบตามองกันและกัน ต่างมองเห็นความตกตะลึงที่ฉายอยู่ในแววตาของสหายร่วมกลุ่ม
ที่แท้ก็มีเทพมารปฐมยุคอยู่จริงๆ!
ในขณะที่เทพมารปฐมยุคใกล้จะตกใจตายแล้ว หานเจวี๋ยก็เปลี่ยนหัวข้อไป เอ่ยขึ้นว่า “เห็นแก่ที่เจ้ามีรากเหง้ามาจากข้า นับจากนี้ไปเจ้าจงเปลี่ยนชื่อเป็นหานจงหยวนเสีย เข้าร่วมกลุ่มเก้าเทวาดาราทำงานรับใช้ข้า ตกลงหรือไม่”
แรงกดดันที่ทำให้เทพมารปฐมยุคกดดันถึงขีดสุดสลายหายไปในทันใด
เทพมารปฐมยุคดั่งยกภูเขาออกจากอก รีบเอ่ยว่า “ข้ายินดี! ข้ายินดีขอรับ!”
ด้วยเหตุนี้ เทพมารปฐมยุคจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหานจงหยวน เก้าเทวดาราก็กลายเป็นสิบเทวดารา
หานเจวี๋ยมอบยอดสมบัติฟ้าบุพกาลเก้าชิ้นให้แก่เก้าเทวดาราเป็นรางวัล สมบัติเหล่านี้เดิมทีเป็นสมบัติวิเศษธรรมดา แต่เขาใช้พลังแห่งเทพผู้สร้างปรับเปลี่ยน ยกระดับให้เป็นยอดสมบัติฟ้าบุพกาล
เก้าเทวดาราตื่นเต้นดีใจ รีบคำนับขอบคุณ จากนั้นก็พาหานจงหยวนถอยออกไป
ส่วนหานจงหยวน หานเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องให้รางวัล ยอมให้เขาเข้าร่วมกลุ่มเทวดาราก็นับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่แล้ว
หานเจวี๋ยตรวจดูจดหมายต่อไป
ไม่นานนักซั่นเอ้อร์ก็เข้ามาคารวะ
เขามองหานเจวี๋ย ท่าทางค่อนข้างประดักประเดิด
หานเจวี๋ยมองความคิดเขาออกจึงหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา
นี่คือหนังสือแห่งความโชคร้ายฉบับคัดลอก อยู่ในระดับยอดสมบัติฟ้าบุพกาลเท่านั้น แต่ก็เทียบชั้นได้กับหนังสือแห่งความโชคร้ายฉบับจริงสมัยที่ยังเป็นระดับยอดสมบัติฟ้าบุพกาลอยู่
เมื่อซั่นเอ้อร์เห็นหนังสือเล่มนี้ก็อดตกใจไม่ได้
หรือว่า…
เขาไม่กล้าถามออกไป
หานเจวี๋ยก็ไม่ได้อธิบาย ตอนนี้เขาไม่สนใจสถานะเจ้าแดนต้องห้ามอันธการแล้ว ไม่มีความหมายเลย แต่ซั่นเอ้อร์ก็ไม่กล้าถามออกไปอยู่ดี
ซั่นเอ้อร์ได้รับยอดสมบัติแล้วก็จากไปอย่างมีความสุข
หลังตรวจดูจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยมาที่อารามเต๋าของสิงหงเสวียน
ภายในอารามเต๋ามีเพียงพวกเขาสองคน
พอเห็นหานเจวี๋ย สิงหงเสวียนย่อมดีใจ เข้ามาต้อนรับทันที
“ข้าไร้พ่ายแล้ว”
หานเจวี๋ยเปิดปากมาคำแรกก็ทำให้สิงหงเสวียนผงะไป
จากที่สนทนากันไปครั้งก่อนแม้จะผ่านไปนานมากแล้ว แต่สำหรับผู้ที่มีตบะระดับสูงแล้วไม่นับว่าผ่านไปนานนัก
ไร้พ่ายได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ
แม้กระทั่งสิงหงเสวียนที่เปี่ยมความเชื่อมั่นในตัวหานเจวี๋ยก็ยังตกใจเช่นกัน
หานเจวี๋ยถ่ายทอดช่วงเวลาที่ถูกเขาลบทิ้งไปเข้าสู่สมองของสิงหงเสวียน
นางได้เห็นมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ที่ไม่มีหานเจวี๋ยออกโรง ได้เห็นเจ้านวฟ้าบุพกาล มหาเทวาพ้นนิวรณ์ ได้เห็นเจ้านวฟ้าบุพกาลตายเพราะถูกหานเจวี๋ยถลึงตาใส่ ได้เห็นความคับข้องหมองใจและความดึงดันของหานหลิง
รอจนนางระลึกความทรงจำทั้งหมดได้แล้ว ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่อาจดึงสติกลับมา ราวกับนางได้ผ่านหนึ่งช่วงชีวิตคน แต่พอมองย้อนกลับไปดูเหมือนจะเป็นความฝันฉากหนึ่งเท่านั้น
อนาคตที่ไม่มีท่านพี่ช่างน่ากลัวโดยแท้
สิงหงเสวียนพลันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ยกมือตบอกเอ่ยอย่างนึกหวาดกลัว “โชคดีที่ข้าไม่ได้เชื่อคำพูดเหล่าพี่หญิงน้องหญิงออกไปด้วยกัน มิเช่นนั้นข้าก็คงตายไปด้วย มารดาเถอะ ตัวตนเหนือชั้นแสนลึกลับผู้นั้นเป็นใครกัน”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “เจ้านวฟ้าบุพกาล ตัวตนระดับผู้สร้างมรรคา จำไว้ อย่าเอ่ยถึงนามเขามิเช่นนั้นเขาจะตรวจจับได้”
สิงหงเสวียนเอ่ยถาม “ท่านไร้พ่ายแล้วมิใช่หรือ ไยต้องกริ่งเกรงเขาอีก”
“ข้าต้องการต่อสู้ตัดสินกับเขา ก่อนจะถึงเวลานั้นอย่าได้ไปรบกวนเขา”
“มีโอกาสชนะมากน้อยเพียงใด”
“อย่างที่เจ้าเห็นไป ข้าอยากให้เขาตายก็ทำได้ทันที”
สิงหงเสวียนเห็นหานเจวี๋ยเปี่ยมด้วยความมั่นใจ นางรู้สึกได้ว่าหานเจวี๋ยเปลี่ยนไปแล้ว มีความหยิ่งผยองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่สิ
บางทีนี่ต่างหากคือตัวตนของเขา
ที่ผ่านมาเพียงแค่ยังมีพลังไม่พอเขาจึงเก็บงำตัวตนไว้
สิงหงเสวียนหวนนึกถึงท่าทางยามที่เขาประจันหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่ง ซ้อนทับเข้ากับตัวเขาในตอนนี้
นางหวนนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกับหานเจวี๋ยในสมัยวัยเยาว์
ตอนนั้นเพียงต้องตาเพราะเขารูปงาม ไม่คิดเลยว่าจะได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่เช่นนี้
พอมองย้อนกลับไป จู่ๆ สิงหงเสวียนก็ภูมิใจในตัวเองยิ่งนัก เป็นเพราะข้าสายตาเฉียบแหลม
นางต่างไปจากสตรีอื่น แรกเริ่มมาเป็นนางที่ต้องตาหานเจวี๋ยแล้วตามพัวพันไม่จบสิ้น ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรนางก็ไม่เคยแยกจากหานเจวี๋ยไป หนักแน่นและเชื่อมั่นในตัวเขาเสมอมา ให้ความช่วยเหลือเขาตลอด นี่คือเหตุผลที่เขาดีต่อนางที่สุด
สิงหงเสวียนและหานเจวี๋ยล้วนมองทะลุไปถึงแก่นแท้ของเรื่องบางอย่างได้ ทว่าไม่ได้รู้สึกเย็นชาเฉยเมยเพราะเหตุนี้เลย กลับยิ่งรักถนอมมากขึ้น
ต่อให้เป็นเทพผู้สร้างก็ยังมีบางเรื่องที่ไม่อาจควบคุมได้ ยกตัวอย่างเช่นความรักที่มีต่อสิงหงเสวียน
ทันใดนั้นสิงหงเสวียนพลันเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “ตอนนี้ข้าไม่จำเป็นต้องฝึกบำเพ็ญแล้วใช่หรือไม่”
หานเจวี๋ยยกมือขึ้นเรียกพู่กันเทพรังสรรค์ออกมา ตวัดผ่านร่างนาง ตราประทับสายหนึ่งพุ่งเข้าสู่ร่างนาง
“นับจากนี้ไป ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับผู้สร้างมรรคาลงไป เจ้าต้องการให้ผู้ใดตายล้วนจะตายตกไป ดังนั้นเจ้าต้องควบคุมความคิดของตัวเจ้าให้ดี ส่วนระดับผู้สร้างมรรคาจะไม่อาจสังหารเจ้าได้”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ ทว่าทำให้สิงหงเสวียนกระวนกระวายได้อย่างน่าประหลาด
ใจคนร้ายกาจยิ่งกว่าสิ่งใด สิงหงเสวียนก็มีด้านมืดของตนอยู่เช่นกัน นางกลัวว่าเพียงความคิดชั่ววูบของตนจะทำให้ฟ้าบุพกาลจบสิ้นลงได้ วันหน้าต้องระมัดระวังให้ดี
สิงหงเสวียนถามด้วยความสงสัย “ตอนนี้ท่านอยู่ระดับใดแล้ว เหนือกว่าผู้สร้างมรรคาอีกหรือ”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้ม “อย่าถามเลย สงวนเรื่องราวเอาไว้บ้าง ไม่เพียงจะดีต่อตัวเจ้าเท่านั้นยังดีต่อคนอื่นๆ ด้วย”
สิงหงเสวียนรีบรับประกัน “ข้าไม่มีทางแพร่งพรายต่อคนอื่นแน่นอน!”
นางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ ข้าอยากออกไปเที่ยวเล่น อยากลองสัมผัสถึงความรู้สึกไร้พ่ายดู”
หานเจวี๋ยลูบศีรษะนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ ให้ข้าได้สัมผัสพลังแห่งผู้ไร้พ่ายก่อน”
“สัมผัสอย่างไรเล่า”
“ฮึ่ม ท่านพี่แสร้งถามทั้งที่รู้ ท่านรู้ดีอยู่แล้วแน่นอน”
“เช่นนั้นจะให้เจ้าได้ลองสัมผัสสักหน่อย”
….
หลังผ่านไปหลายร้อยปี สิงหงเสวียนออกจากอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม หานเจวี๋ยเริ่มเทศนาธรรมแก่เหล่าศิษย์ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
เขาตั้งใจจะควบคุมแต่ก็ยกระดับคุณสมบัติของเหล่าศิษย์ไปด้วย
หลังสิ้นสุดการเทศนาธรรม หานเจวี๋ยไปเยี่ยมเยือนคู่บำเพ็ญทีละคนๆ
เซียนซีเสวียนถามด้วยความสงสัย “เหตุใดสิงหงเสวียนจึงออกไปเล่า ซ้ำยังไปคนเดียวอีก เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นางน่ะหรือ อยากออกไปอาละวาดกระมัง”
“อาละวาดหรือ”
“ต่อไปเจ้าจะได้รู้เอง”
ใช้เวลาอยู่ร่วมกับเซียนซีเสวียนหลายสิบปี หานเจวี๋ยถึงได้จากไป
เขาตัดสินใจว่าจะออกไปเที่ยวเล่น
จากปัจจุบันนี้ การปิดด่านบำเพ็ญหลายล้านปีไม่มีผลต่อเขามากนัก ภายหน้าช่วงเวลาในการฝึกบำเพ็ญต้องยืดยาวออกไปมากแน่นอน
หานเจวี๋ยอำพรางสถานะ แม้แต่ผู้สร้างมรรคาก็ไม่สามารถทำนายถึงได้
เขาเตรียมจะปลดปล่อยด้านมืดในตัวออกมา ไปหาประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตสามัญ
เขาจะปลดปล่อยอารมณ์ต่างๆ ของตนออกมา บังเอิญอยู่ในช่วงมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่พอดี ก่อกวนให้มหาเคราะห์วุ่นวายสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร
หานเจวี๋ยมาที่อาณาเขตผลาญนภาก่อน ร่อนลงสู่โลกขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เก็บงำแสงเทพในร่าง เปลี่ยนใบหน้าให้ธรรมดาทั่วไป
เขาออกท่องไปทั่วสารทิศ ล่องลอยไร้เป้าหมาย เห็นผู้ใดขัดตาก็สังหารทิ้ง
ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหมื่นปี หานเจวี๋ยมีชื่อเสียงเลื่องลือด้านความโหดเหี้ยม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตสามัญเบื้องล่างหรือว่ายอดมหามรรคเบื้องบน หากเห็นผู้ใดขัดตาก็จะสังหารทิ้งเสีย ถูกขนานนามว่าเทพสังหารผลาญนภา
เป็นเทพสังหารที่ไร้เหตุผล ไม่มีผู้ใดทราบว่าเหตุใดเทพสังหารผลาญนภาต้องเข่นฆ่า ราวกับถือกำเนิดมาพร้อมความกระหายเลือด
ฆ่าไปฆ่ามา ความแค้นเคืองที่มีต่อตัวหานเจวี๋ยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กองกำลังต่างๆ ของอาณาเขตผลาญนภาที่เดิมทีคอยให้การสนับสนุนฟ้าบุพกาลอยู่จำเป็นต้องกลับมาปิดล้อมโจมตีเขา
ร่างแยกของมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญก็มาด้วย ขวางอยู่เบื้องหน้าหานเจวี๋ย
“ผู้ใดส่งเจ้ามา”
อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนทรงพลังแกร่งกล้า เผด็จการอย่างยิ่ง ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงมิติสั่นสะเทือนไปหมด
หานเจวี๋ยเมินเฉยต่อเขา เดินหน้าต่อไป
อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนพลันโกรธา พุ่งตัวเข้าหาหานเจวี๋ยในทันใด ซัดฝ่ามือใส่
หานเจวี๋ยเพ่งสายตาเล็กน้อย อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนร่างสิ้นจิตมลายไปทันที
ยอดมหามรรคและอริยะมหามรรคที่ดาหน้าเข้ามาจากทั่วทิศตกใจจนหยุดชะงักลงทันที มองหานเจวี๋ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ