ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1114 โชคร้ายอันแข็งแกร่ง
บทที่ 1114 โชคร้ายอันแข็งแกร่ง
“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการแข็งแกร่งมาก แม้แต่ข้าก็ยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าเขาแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ แม้ว่าเทพมารอนธการสามตนจะร่วมมือกัน ก็เกรงว่า…”
หานฮวงขมวดคิ้วเอ่ยออกไป เขาไม่ได้ปฏิเสธ อันที่จริงช่วงนี้เขาก็พะวงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน หากว่าได้รับกำลังเสริมจากสื่อหยวนหงเหมิงและหวงจุนเทียน นับเป็นเรื่องดี
เหตุผลที่กล่าวเช่นนี้ เพราะเขากลัวว่าสื่อหยวนหงเหมิงจะไปรนหาที่ตาย ในอดีตตอนที่คนผู้นี้เข้าฝันเขาก็โอหังอย่างยิ่ง เชื่อมั่นในตัวเองเกินไป
สื่อหยวนหงเหมิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมทราบดี เจ้าแดนต้องห้ามอันธการเป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่ายอดมหามรรคแล้ว ระดับที่สูงขึ้นไปน่าจะเป็นผู้สร้างมรรคา นี่คือระดับสูงสุดเหนือฟ้าบุพกาล”
“ผู้สร้างมรรคา…”
หานฮวงขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น พึมพำกับตัวเอง
หวงจุนเทียนเอ่ยว่า “สือตู๋เต้า เป็นสาวกผู้ภักดีต่อเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ตอนนี้ข้าไม่สามารถควบคุมกลุ่มอิทธิพลมิ่งได้อีกต่อไป ทำได้เพียงเตือนให้พวกเจ้าระวังเอาไว้หน่อย ในกลุ่มอิทธิพลมิ่งแฝงเร้นกำลังอันแกร่งกล้าเอาไว้”
หานฮวงเอ่ยว่า “ตัวปัญหาที่สุดยังคงเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ส่วนลัทธิอันธการ หากทำลายเจ้าแดนต้องห้ามอันธการได้ก็สลายทิ้งได้แล้ว”
หวงจุนเทียนรู้สึกว่าสมเหตุสมผล จึงไม่ได้โต้แย้ง
ตัวปัญหาที่แท้จริงยังคงเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
ขอเพียงทำลายเจ้าแดนต้องห้ามอันธการได้ ทุกอย่างก็คุยกันง่ายแล้ว
หวงจุนเทียนนึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมา ถ้าหากให้หานฮวงไปขอความช่วยเหลือจากนายท่านล่ะก็…
ไม่ได้!
ที่นายท่านไม่ออกโรง อาจจะกำลังทดสอบพวกเขาอยู่
ทั้งสามหารือกันต่อไป
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เจียงอี้ถ่ายทอดเสียงหาหานฮวง บอกว่าเก้ามหาฟ้าบุพกาลมาเยือน หานฮวงถ่ายทอดเสียงกลับไปทันที ให้ปล่อยเก้ามหาฟ้าบุพกาลเข้ามาได้เลย
“เก้ามหาฟ้าบุพกาลมาเยือน ถือโอกาสแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักสักหน่อย เรื่องต่อกรกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคงพึ่งพาได้เพียงพวกเราแล้ว ส่วนยอดมหามรรคคนอื่นๆ ล้วนเป็นเพียงเป้ารับเคราะห์เท่านั้น”
หานฮวงเอ่ยขึ้นมา ในส่วนนี้ สื่อหยวนหงเหมิงและหวงจุนเทียนไม่มีความเห็นอื่นได้
ไม่นานนัก เก้ามหาฟ้าบุพกาลมาถึงแล้ว สายตาพวกเขามองไปที่สื่อหยวนหงเหมิงและหวงจุนเทียน
ร่างแยกของเจ้านวฟ้าบุพกาลหรี่ตาลง กล่าวว่า “สื่อหยวนหงเหมิง ไม่ได้พบกันเสียนาน ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่”
เดิมทีสื่อหยวนหงเหมิงเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล เคยเป็นคู่ต่อสู้คนสุดท้ายของผานกู่ เพียงพอจะแสดงให้เห็นแล้วว่าคุณสมบัติของเขารวมถึงสถานะในหมู่เทพมารฟ้าบุพกาลแล้ว นับเป็นตัวตนชั้นแนวหน้าในยุคบุกเบิกฟ้าบุพกาล ย่อมเคยพบกับเจ้านวฟ้าบุพกาลมาก่อน
สื่อหยวนหงเหมิงขมวดคิ้ว “เป็นเจ้า เจ้าคือผู้ใดกันแน่”
สมัยก่อนที่เทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตนเปิดศึกกัน เป็นเจ้านวฟ้าบุพกาลที่มายุแยงให้เขาออกไปสู้กับผานกู่ แต่ก็ได้บอกถึงผลดีผลเสียไว้แล้ว ดังนั้นต่อให้พ่ายแพ้เขาก็ไม่สามารถกล่าวโทษเจ้านวฟ้าบุพกาลได้
แต่เวลาผ่านมาเนิ่นนานปานนี้ เจ้านวฟ้าบุพกาลยังคงมีชีวิตอยู่ ในจุดนี้กลับทำให้สื่อหยวนหงเหมิงคิดไปมากมายนัก
เจ้านวฟ้าบุพกาลหัวเราะฮ่าๆ กล่าวไปว่า “อย่าได้ถามถึงเรื่องในอดีตเลย ตอนนี้ข้าคือหนึ่งในเก้ามหาฟ้าบุพกาล ต่อสู้เพื่อปกป้องฟ้าบุพกาล”
สื่อหยวนหงเหมิงขมวดคิ้ว
จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
เขาเปลี่ยนแปลงรูปโฉมแล้ว กายเนื้อก็เปลี่ยนไปแล้ว วิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นเทพมารอนธการ เหตุใดอีกฝ่ายยังคงจดจำเขาได้ภายในแวบเดียว
หรือว่า…
สื่อหยวนหงเหมิงนึกอะไรขึ้นมาได้ เต็มไปด้วยความหวาดผวาในตัวเจ้านวฟ้าบุกาล
หานฮวงนั่งลง ทุกคนก็นั่งลงหารือกัน
….
ห้วงอวกาศอันมืดมิด ซูฉีเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า ด้านหลังมีม่านหมอกแห่งโชคร้ายซัดตลบ ล้นหลามไม่ขาดสาย
ผ่านมาเนิ่นนานปานนี้ โชคร้ายของเขาสั่งสมมาจนถึงจุดที่แกร่งกล้าถึงขีดสุดแล้ว ยอดมหามรรคทั่วไปไม่กล้าเข้าใกล้
สิ่งมีชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากโชคร้ายของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โชคร้ายของเขาพัฒนาแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ก้าวหน้าเร็วกว่าการฝึกบำเพ็ญแบบธรรมดาด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่มีขอบเขตกีดขวางด้านระดับด้วย
ครั้งนี้ ซูฉีเตรียมจะไปต่อกรกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการที่เป็นภัยหวาดหวั่นต่อฟ้าบุพกาลและอนธการ
เจตนาเดิมของเขาคือสนับสนุนอนธการ ตอนนี้เจ้าแดนต้องห้ามอันธการทำร้ายหานฮวงบาดเจ็บสาหัส เขาย่อมต้องออกโรง
“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ข้าก็อยากเห็นนักว่าอันธการของเจ้าจะสกัดกั้นโชคร้ายล้นฟ้าของข้าได้หรือไม่”
ซูฉียิ้มอย่างคาดหวังและมั่นใจ
ความมั่นใจของเขาสั่งสมขึ้นจากประสบการณ์การต่อสู้ โชคร้ายของเขามีเพียงกฎเกณฑ์ของฟ้าบุพกาลที่สามารถขับไล่ได้ แน่นอนว่าได้แค่ขับไล่เท่านั้น
เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของอนธการสิ้นแสงแล้ว ทำให้เขารู้สึกหวั่นใจขึ้นมา
สมกับเป็นสิ่งที่หานฮวงสร้างขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะต้องตา
ซูฉีเร่งความเร็วขึ้น เดินทางมาถึงด้านหน้าอนธการสิ้นแสงอย่างรวดเร็ว โชคร้ายอันน่าพรั่นพรึงเข้าครอบงำอนธการสิ้นแสง
เวลานี้ อนธการสิ้นแสงกำลังงีบหลับอยู่ เมื่อรับรู้ได้ถึงโชคร้าย มันลืมตาทั้งหกคู่ขึ้นมาทันที
โชคร้ายทำให้มันกระสับกระส่าย มันแผดเสียงคำรามแสบแก้วหูออกมา เตรียมเข้าโจมตีซูฉี
หานเจวี๋ยที่กำลังงีบอยู่เช่นกันก็ถูกรบกวนจนตื่น ด้วยตบะของเขาไม่จำเป็นต้องนอนแล้ว แต่เขาแค่อยากจะนอนเท่านั้น
เขารับรู้ถึงการมาถึงของซูฉีแต่แรกแล้ว เขาไม่ได้ขัดขวาง อยากจะทดสอบพลังในปัจจุบันของซูฉีดูเล็กน้อย
ไม่ว่าซูฉีจะโจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถโจมตีอนธการสิ้นแสงได้ ม่านหมอกโชคร้ายกระทบลงบนร่างของอนธการสิ้นแสง ทำให้ให้อนธการสิ้นแสงอึดอัดอย่างยิ่ง ไม่นานนักร่างกายของอนธการสิ้นแสงก็เริ่มถูกเผาไหม้ เริ่มมีควันลอยขึ้นมา
‘โชคร้ายร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทำอันตรายกายของเทพมารอนธการได้’
หานเจวี๋ยค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย ถึงแม้อนธการสิ้นแสงจะไม่นับว่าเป็นเทพมารอนธการอย่างแท้จริง แต่กายเนื้อก็นับว่าเลิศล้ำนัก นี่คือสาเหตุที่มันอหังการไร้พ่าย
ตบะของซูฉีไม่นับว่าแข็งแกร่งมากนัก แต่ความแข็งแกร่งของโชคร้ายกลับเหนือกว่าพลังของเขาแล้ว
หากปล่อยไว้ต่อไป โชคร้ายของซูฉีอาจทำลายล้างฟ้าบุพกาลได้
ไม่ทราบเช่นกันว่าโชคร้ายจะสามารถทำอันตรายดินแดนเวิ้งว้างได้หรือไม่
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่าศักยภาพของซูฉีไร้ขีดจำกัด วันหน้าสามารถบ่มเพาะให้ดีๆ ได้
มหามรรคอัมพรโจวซ่งที่อยู่ด้านหลังหานเจวี๋ยก็สังเกตการณ์ต่อสู้อยู่เช่นกัน
มหามรรคอัมพรโจวซ่งถูกผนึกไว้ที่นี่ ขยับเขยื้อนไม่ได้ หานเจวี๋ยก็ไม่ได้จัดการอะไรเขาเป็นพิเศษ แต่เช่นนี้กลับทำให้เขาทรมานนัก
‘ซูฉีอย่างนั้นหรือ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถทำร้ายอนธการสิ้นแสงได้ แต่ก่อนก็มิได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้…’
การปรากฏตัวขึ้นของซูฉีทำให้มหามรรคอัมพรโจวซ่งตื่นเต้นยินดี อีกทั้งค่อนข้างผิดหวัง
คนที่แต่ก่อนสู้ตนไม่ได้กลับเหนือกว่าตนไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากนัก
หลังจากเฝ้ามองอยู่ครู่หนึ่ง จิตใจของมหามรรคอัมพรโจวซ่งจมดิ่งลงไปอีกครั้ง
ถึงแม้ซูฉีจะทำอันตรายอนธการสิ้นแสงได้ แต่เขาก็เพียงทำร้ายได้เท่านั้น ไม่สามารถสังหารอนธการสิ้นแสงได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการที่อยู่เบื้องหน้าเลย
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการแข็งแกร่งกว่าอนธการสิ้นแสงมากนัก ดูเหมือนซูฉีจะยังไม่รับรู้ถึงตัวตนของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเลย
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็นั่งอยู่ตรงหน้าเขา แต่เขาทราบดีว่าหากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการไม่ยินยอม ผู้มาเยือนก็จะมองไม่เห็นเขา
ความสามารถเช่นนี้แปลกพิสดารอย่างยิ่ง แต่ก็เลิศล้ำนัก
อนธการสิ้นแสงพลันอ้าปากกว้าง แรงดูดดึงอันน่าหวาดผวาเข้าตรึงร่างซูฉี ลากตัวซูฉีเข้าสู่ปากกว้างลึกล้ำของมัน
ซูฉีตื่นตระหนก คิดจะสำแดงพลังเวทหลบหนี ทว่าแรงดูดดึงนี้ผสานกฎเกณฑ์ห้วงมิติไว้ ผนึกมิติรอบกายเขาทำให้เขาไม่สามารถหลบหนีไปได้
‘แย่แล้ว!’
ซูฉีได้แต่โอดครวญในใจว่าซวยแล้ว แต่ในช่วงที่เขาตระหนกเสียขวัญอยู่ ภาพเบื้องหน้าเขาพลันสั่นไหว จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายมหามรรคอัมพรโจวซ่ง คุกเข่าในท่าเดียวกัน ขยับเขยื้อนไม่ได้
ซูฉีลืมตาขึ้น สังเกตเห็นมหามรรคอัมพรโจวซ่งที่อยู่ข้างกาย
“เป็นเจ้า”
“เกิดอะไรขึ้น”
ซูฉีพยายามดิ้นรน แต่ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ แม้แต่มือก็ขยับไม่ได้ ทำได้เพียงอ้าปากพูดเท่านั้น
มหามรรคอัมพรโจวซ่งถอนหายใจ “อย่าดิ้นเลย มองด้านหน้าเถิด”
ซูฉีมองไปด้านหน้า เบื้องหน้ามืดมิดมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
ในเวลานี้ เงาร่างหนึ่งปรากฏสลัวเลือนราง
เป็นหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยตั้งใจปรากฏตัวให้ซูฉีเห็น
“โชคร้ายไม่เลวเลย แต่ก็แค่ไม่เลวเท่านั้น จงคุกเข่าอยู่ที่นี่แล้วเฝ้ามองข้าทำลายล้างฟ้าบุพกาลเถิด”
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ น้ำเสียงเยียบเย็น เจตนาสังหารเข้าพันธนาการซูฉีไว้ ทำให้ซูฉีจมดิ่งลงสู่ความหวาดกลัวอันไร้สิ้นสุด นี่คือความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมได้