ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 138 ระดับมหายานขั้นสาม สังหารประมุขมาร
ได้ยินคำพูดของหานเจวี๋ย ซูฉีอดนึกถึงปราณกระบี่ที่สังหารจักรพรรดิมารไม่ได้
หรือว่า…
ซูฉีเผยสีหน้าวาดหวังออกมา
“เล่าเรื่องที่ประสบมาในหลายปีนี้ให้อาจารย์ฟังหน่อย” หานเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ในสายตาของซูฉีรอยยิ้มของหานเจวี๋ยนั้นอ่อนโอนและอบอุ่นถึงเพียงนั้น
ในใจของซูฉีรู้สึกประทับใจอย่างไม่สามารถบรรยายออกมาได้ เขาเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก นั่งลงด้านหน้าหานเจวี๋ย เริ่มเล่าประสบการณ์ที่ตนเองพบเจอในหลายปีที่ผ่านมา
หานเจวี๋ยดูดซับปราณฝึกฝนไปด้วย และฟังไปด้วย
เขาไม่จำเป็นต้องพูดแทรก แค่ฟังซูฉีเล่าก็เพียงพอแล้ว
จำต้องกล่าวว่าสิ่งที่ซูฉีประสบพบเจอมานั้นดูเป็นเทพนิยายมาก เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงพลิกผันไม่แน่นอน จนสามารถเขียนเป็นนิยายเซียนยุทธ์เล่มเล็กๆ ได้หนึ่งเล่ม
เล่าไปสิบวันสิบคืนเต็มๆ ซูฉีถึงเล่าจบแบบคร่าวๆ
แม้ว่าตบะของเขาจะเข้าใกล้ระดับสุญตาแล้ว แต่ยังคงรู้สึกคอแห้งอยู่ดี
หานเจวี๋ยทอดถอนใจกล่าวว่า “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
ซูฉีตอบกลับ “อาจารย์จะต้องเป็นห่วงข้าอยู่ตลอด ที่ผ่านมาการที่ข้าสามารถกลับร้ายให้กลายเป็นดีได้ จะต้องเป็นการจัดการของอาจารย์อย่างแน่นอน ก็เหมือนกับการที่ท่านสังหารจักรพรรดิมาร”
หานเจวี๋ยฟังจนรู้สึกประดักประเดิด แต่สีหน้ายังคงเรียบสงบ
“ฝึกฝนสิบปีก่อน หลังจากนั้นอาจารย์จะถ่ายทอดพลังวิเศษให้เจ้า” หายเจวี๋ยกล่าว
ซูฉีพยักหน้า ตอนนี้เขาก็รู้สึกสงบลงแล้ว
จากนั้นสองศิษย์อาจารย์ก็เข้าสู่สภาวะฝึกฝน ไม่พูดคุยกันอีก
……
หลังจากศึกใหญ่ระหว่างสายหลักและสายมารสิ้นสุดลง และตามมาด้วยความร่วมมือของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากที่มีจวนเซียนสวรรค์เป็นผู้นำ สายมารก็พากันถอยร่นราวกับหนูติดจั่นข้างถนน เผ่าปีศาจยิ่งไม่กล้าเข้ามาวุ่นวาย ใต้หล้ากลับคืนสู่ความสงบสุข
ดูเหมือนสายหลักจะตระหนักได้ว่าพละกำลังฉากหน้าไม่แข็งแกร่งพอ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงเริ่มสร้างแรงขับเคลื่อนให้กับบุตรแห่งสวรรค์ของแต่ละสำนักที่อยู่ในสังกัด
หนึ่งในนั้นจี้เซียนเสินเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด การสังหารมารหลัวฉิวที่เป็นหนึ่งในห้ามารอาวุโส การสังหารผู้ฝึกฝนสายมารนับหมื่น ทำให้ชื่อเสียงของเขาไม่มีใครเทียบได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง
จี้เซียนเสินมีแม้กระทั่งมาดของยอดผู้บำเพ็ญอันดับหนึ่งในใต้หล้า เพียงแต่สถานะของผู้บำเพ็ญลึกลับที่สังหารจักรพรรดิมารนั้นยังไม่ปรากฏ ทำให้จี้เซียนเสินไม่อาจนั่งเป็นอันดับหนึ่งได้อย่างมั่นคง
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วดังกระแสน้ำไหลภายใต้ฉากหลังของยุคดังกล่าว
จนเวลาสิบปีล่วงเลยผ่านไปอีกครั้ง
หานเจวี๋ยทะลวงถึงระดับมหายานขั้นสามแล้ว!
ใช้เวลาสิบเจ็ดปีเพื่อทะลวงขั้นเล็กๆ หนึ่งขั้น หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่าช้าไปอยู่บ้าง แต่หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป จะต้องก่อให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตอย่างแน่นอน
เป้าหมายของหานเจวี๋ยคือการบรรลุระดับมหายานขั้นสมบูรณ์ในเร็ววัน และพุ่งเข้าสู่ระดับมนุษย์เซียน
วันนี้
หานเจวี๋ยพาซูฉีมาที่นอกถ้ำเทวา และเริ่มถ่ายทอดพลังวิเศษให้เขา
หยางเทียนตงถูกเขาไล่ให้ไปยังตีนเขา ส่วนคนอื่นๆ ล้วนมีดวงชะตายิ่งใหญ่เทพเซียน คงจะไม่ถูกซูฉีทำให้ตกตายได้ อย่างไรเสียสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นก็ยังสามารถแบกรับมาได้
สำหรับสิ่งมีชีวิตในโลกมนุษย์นั้น โชคร้ายของซูฉีคือหายนะขั้นสูงสุด แต่หากในสวรรค์อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น อีกทั้งตอนนี้ซูฉีก็ยังเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา
ซูฉีตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ในที่สุดเขาก็ได้เรียนรู้ความสามารถจากอาจารย์แล้ว
หยางเทียนตง สวินฉางอันและอู้เจี้ยนเต้ารู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเขามาก
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นรู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป ออกไปข้างนอกหลายร้อยปีเหมือนกัน แต่เหตุใดซูฉีถึงได้รับความรักจากนายท่านเพียงผู้เดียวเช่นนี้
มันเคยคิดว่านายท่านอาจจะด่ามัน จะตีมัน แต่คิดไม่ถึงว่านายท่านจะมองข้ามมันไปเช่นนี้ นี่ทำให้มันรู้สึกยากที่จะรับได้เป็นอย่างมาก
หานเจวี๋ยใช้เวลาหนึ่งเดือนในการถ่ายทอดพลังวิเศษ ขณะที่ซูฉีฝึกฝนพลังวิเศษอยู่นั้น เขาเดินมานั่งที่ใต้ต้นฝูซัง ก่อนสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาลของต้นฝูซัง
‘สมกับเป็นต้นไม้เทพ!’
ยามนี้ พลังวิญญาณที่แพร่ออกมาจากต้นฝูซังได้ปกคลุมไปทั่วเขาเพียรบำเพ็ญเซียน ไม่เพียงเท่านี้ พลังวิญญาณยังเข้มข้นเกินไป เริ่มกระจายออกไป ได้รับอานิสงส์กันทั่วทั้งสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ ภูเขาที่อยู่ใกล้ที่สุดจะได้เสพสุขก่อน นักพรตเต๋าจิ่วติ่งจัดให้ภูเขาที่อยู่บริเวณรอบๆ เป็นดินแดนผาสุก มีแค่บุคคลมากความสามารถที่สร้างคุณูปการยอดเยี่ยมให้กับสำนักเท่านั้นถึงจะสามารถย้ายถ้ำเทวาไปอยู่ได้
เรื่องราวเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งจูเชวี่ยและนักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยน
เขาเปิดค่าความสัมพันธ์เพื่อตรวจดูจดหมาย
ไม่ได้ดูมานานหลายปี ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของเหล่าสหายจะเป็นอย่างไรบ้าง
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสัตว์ปีศาจ] x43211
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีมีผู้ทรงพลังผ่านมา จึงรอดพ้นจากความตายมาได้]
[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านสืบทอดพลังวิเศษสายมาร พลังมรรคเพิ่มพูน]
[จี้เซียนเสินสหายของท่านกลับสู่โลกมนุษย์ ซาบซึ้งในสัจธรรมฟ้าดิน ย่างเข้าสู่ระดับมหายาน]
[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากโม่ฟู่โฉวสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรของท่านขึ้นสู่สวรรค์ ได้รับมรรคสำเร็จเซียน ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านพบกับโอกาสวาสนา กายเนื้อเกิดการเปลี่ยนแปลง]
[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายหลัก] x3892
……
หานเจวี๋ยอ่านแล้ว รู้สึกว่าแดนบำเพ็ญพรตสงบสุขเกินไปจริงๆ
อยู่ๆ เขาก็นึกถึงประมุขมารขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าเสี้ยววิญญาณของประมุขมารกลับเข้ากายเนื้อหรือยัง
เขาเริ่มตอบสนองกับตราประทับหกวิถีบนเสี้ยววิญญาณของประมุขมาร
ไม่นาน หานเจวี๋ยก็จับกลิ่นอายของประมุขมารได้
เขาตรวจสอบดูค่าความสัมพันธ์ พบว่าสภาพเสี้ยววิญญาณของประมุขมารได้หายไปแล้ว คิดว่าเสี้ยววิญญาณคงได้กลับสู่ร่างแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ได้เวลาสังหารแล้ว!
หานเจวี๋ยยกมือขวาขึ้น นิ้วชี้ชี้ไปตรงขอบฟ้า เขาหลับตาลง และสัมผัสกับทิศทางที่ตราประทับหกวิถีอยู่อย่างละเอียด
อีกด้านหนึ่ง
ณ อีกฝั่งหนึ่งของโลก
ผืนทะเลทรายเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง พายุทรายม้วนตัวอยู่บนท้องฟ้า
ประมุขมารลอยอยู่บนหน้าผา ตรงหน้าของเขามีคนอยู่สามคน นั่นก็คือโม่ฟู่โฉว โม่จู๋และสตรีในชุดสีดำผู้หนึ่ง
สีหน้าของพวกโม่ฟู่โฉวทั้งสามดูไม่อยากจะเชื่อเป็นอย่างมาก ราวกับว่าถูกสายฟ้าฟาด
“นี่ก็คือที่มาของตระกูลโม่ของพวกเจ้า เผ่ามารได้เลือกพวกเจ้าแล้ว หากพวกเจ้าทำภารกิจที่เผ่ามารมอบหมายให้สำเร็จ ตระกูลโม่จะหลุดพ้นจากโลกีย์ กลายเป็นตระกูลเซียนบนสวรรค์” ประมุขมารกล่าวด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเขาจะกำลังยิ้ม แต่เห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มนั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
โม่ฟู่โฉวกัดฟันเอ่ย “พวกเราไม่อาจจัดการชาติกำเนิดของตนเองได้ แต่พวกเราไม่อยากเป็นมารที่เป็นภัยต่อมวลมนุษย์!”
ประมุขมารหัวเราะเยาะก่อนกล่าว “อ้อ? คนที่เจ้าฆ่ายังน้อยอยู่หรือ”
“ไม่ได้เป็นการกระทำที่ข้าจงใจ มีหลายครั้งที่ข้าถูกบีบบังคับให้ทำ”
“ถ้าเช่นนั้นโจวฝานที่เป็นสหายของเจ้าเล่า เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าฆ่าเขาอย่างไร”
สีหน้าของโม่ฟู่โฉวหม่นหมองลง การตายของโจวฝานเป็นตราบาปที่ใหญ่ที่สุดในใจเขา
ทุกครั้งที่นึกถึงโจวฝาน โม่ฟู่โฉวล้วนทรมานอย่างถึงขีดสุด ภายในใจเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง อาจกล่าวได้ว่าอยู่ไม่สู้ตาย
สตรีชุดดำเอ่ยปากแทรกขึ้นว่า “เผ่ามารอยากจะควบคุมโลกมนุษย์ เทพเซียนจะมีความคิดเห็นเช่นไร ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นมนุษย์มิใช่มาร ช่วยเผ่ามารเข้าแทนที่เผ่ามนุษย์ ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร อีกอย่างแม้แต่จักรพรรดิมารยังไม่อาจทำได้สำเร็จ แล้วพวกเราต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะสำเร็จ เผ่ามารส่งผู้ช่วยที่แข็งแกร่งมาหรือไม่”
ประมุขมารปราดสายตามองนาง แค่นเสียงกล่าวอย่างไม่พอใจ “แม้ว่าจะไม่มีพวกเจ้า เผ่ามารก็ทำสำเร็จได้ ตอนที่พวกเราฝึกฝนสายมาร พวกเราก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว เดิมทีเผ่ามารก็ไม่ได้สืบทอดมาเพียงสายเดียว โลกมนุษย์ทุกหนทุกแห่งล้วนมีเงาร่างของเผ่ามาร ส่วนผู้ช่วยที่แข็งแกร่งที่เผ่ามารส่งมา ข้าก็คือคนผู้นั้น!”
น้ำเสียงของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ!
โม่จู๋อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “เจ้าแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิมารหรือ”
“แน่นอนย่อมเป็นเช่นนั้น จักรพรรดิมารจะแข็งแกร่งกว่าข้าไปได้อย่างไร ที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่ลงมือ ก็เพื่อให้จักรพรรดิมารตรวจสอบกำลังที่แท้จริงของสายหลักเท่านั้น”
วาจาของประมุขมารเต็มไปด้วยความเหยียดหยามจักรพรรดิมาร
ขณะนั้นเอง!
แรงกดดันที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวมหาศาลก็โจมตีเข้ามา ทำให้ประมุขมารและพวกโม่ฟู่โฉวทั้งสามคนต้องหันไปมองในทันที
แสงกระบี่ตกกระทบลงบนใบหน้าของพวกเขา ประมุขมารไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง เพียงแวบเดียวที่มองเห็นปราณกระบี่ก็พุ่งยิงเข้ามา
นั่นคือ…
ตู้ม!
ดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพฟาดซัดสาดเข้ามา ปกคลุมร่างของประมุขมารไว้ พายุแข็งแกร่งอันน่าหวาดกลัวที่ตามติดมา พัดพาพวกโม่ฟู่โฉวทั้งสามคนปลิวออกไป
ปราณกระบี่มาเร็วและหายไปอย่างรวดเร็ว
พวกโม่ฟู่โฉวทั้งสามคนทรงตัวอยู่กลางอากาศ มองไปด้วยความตกตะลึง แต่มองไม่เห็นเงาร่างของประมุขมารแล้ว และสัมผัสไม่ได้ถึงไอมารของเขาด้วย
ทั้งร่างและวิญญาณของประมุขมารถูกทำลาย!
……………………………………….