ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 182 เทพเซียนทั่วสวรรค์ ชำระล้างโลกมนุษย์
กฎสวรรค์ถูกเก็บ!
มหาเคราะห์ฟ้าดินใกล้มาเยือน!
หานเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ใกล้จะมาแล้ว!
‘ก็ไม่รู้ว่าวังสวรรค์จะส่งแม่ทัพและทหารสวรรค์มามากเท่าไร
หลงซั่นต้องมาแน่ เทพยุทธ์จวี้หลิงก็อาจจะมาด้วย’
เพื่อเป็นการไม่ประมาท หานเจวี๋ยนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาเพื่อเริ่มสาปแช่งหลงซั่นและเทพยุทธ์จวี้หลิง
เขาไม่สนว่าจะชนะด้วยวิธีใด ในเมื่ออีกฝ่ายยังใช้จำนวนคนเข้าสู้ ข่มเหงผู้ด้อยกว่าได้!
…
วังสวรรค์ พระราชวังเทียมเมฆา
จักรพรรดิสวรรค์นั่งบนบัลลังก์หยก อำนาจบารมีน่าเกรงขาม ด้านหลังส่องแสงรัศมีเป็นประกาย
เหล่าเทพเซียนในท้องพระโรงล้วนองอาจทรงพลัง ท่วงท่าแข็งแกร่ง
หลงซั่นที่สวมชุดเกราะสีเงินยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าแม่ทัพสวรรค์ ใบหน้าไร้ความรู้สึก รอคอยการจัดเตรียมของจักรพรรดิสวรรค์
“เทพปีศาจถูกประหารชีวิตแล้ว วิญญาณเข้าสู่วัฏจักร หลังจากนี้ก็ควรชำระล้างเศษซากของเผ่ามารบนโลกมนุษย์ มีโลกมนุษย์ทั้งหมดกี่แห่งที่เผ่ามารเข้ารุกราน” จักรพรรดิเอ่ยปากขึ้นอย่างเนิบช้า
ชายชราในชุดคลุมสีขาวที่ดูมีชีวิตชีวาประสานมือเอ่ย “ทูลฝ่าบาท เผ่ามารเข้ารุกรานโลกมนุษย์ทั้งหมดสี่สิบสามแห่ง ซึ่งในนั้นมีโลกมนุษย์สิบเอ็ดแห่งที่ต้องชำระล้างพ่ะย่ะค่ะ”
“มากเพียงนี้เชียว”
จักรพรรดิสวรรค์ขมวดคิ้ว ดวงตาฉายแววไม่พอใจอยู่เสี้ยวหนึ่ง
เหล่าเทพเซียนเองก็อดที่จะซุบซิบกันไม่ได้
ชายชราชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เทพปีศาจถ่วงเวลาพวกเราไว้นานเกินไป ทำให้พวกเผ่ามารสามารถฉกฉวยโอกาสได้พ่ะย่ะค่ะ”
หายนะที่เทพปีศาจสร้างขึ้นคราวนี้กินเวลาเกือบพันปี เป็นเวลาที่ค่อนข้างนานจริงๆ
จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยปากกล่าวว่า “ที่ควรชำระล้างก็ชำระล้างเสีย ข้าจะไม่ซักไซ้ไล่เลียง พวกเจ้าก็จัดการกันเองเถิด แต่มีโลกมนุษย์อยู่แห่งหนึ่งที่ข้าอยากให้พวกเจ้าลองดูด้วยตาตนเอง”
เขาโบกมือขวาคราหนึ่ง
รัศมีศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนฉลองพระองค์ ลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศในท้องพระโรง ก่อนจะกลายเป็นกระจกใหญ่ยักษ์บานหนึ่ง ในกระจกนั้นปรากฏภาพฉากของเขาเพียรบำเพ็ญเซียน
ท่ามกลางหิมะสีขาวที่ปลิวไสวไปทั่วท้องนภา เขาเพียรบำเพ็ญเซียนราวกับจะได้รับการปกป้องโดยชั้นแสงที่ไร้ลักษณ์ แยกตัวออกจากพายุหิมะ ให้ความรู้สึกเวิ้งว้างโดดเดี่ยวหนาวเหน็บ
จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยปากกล่าวว่า “เมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเจ้าก็เคยได้เห็นวาจาสามหาวของมนุษย์ธรรมดาสามัญสองคนนั่นแล้ว ข้าพบว่าดวงชะตาของโลกมนุษย์ใบนี้เหนือกว่าโลกใบอื่นอยู่มากโข นอกจากมีผู้ทรงพลังกลับชาติมาเกิดจำนวนหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่คือมาจากเขาแห่งนี้ การชำระล้างโลกมนุษย์ในครั้งนี้ โลกใบนี้ก็แข็งแกร่งที่สุด ซั่นเอ๋อร์ต้องเข้าร่วมด้วย”
เหล่าเทพเซียนอดหันไปมองทางหลงซั่นไม่ได้
‘มิน่าเจ้าเด็กนี่ถึงปรากฏตัวในท้องพระโรง’
แม่ทัพสวรรค์ที่องอาจผู้หนึ่งเอ่ยปากกล่าวว่า “ข้ายินดีที่จะนำเหล่าทัพลงไปชำระล้างโลกใบนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
รูปร่างของเขาสูงสิบจั้ง ไหล่กว้างเอวหนา ดวงหน้ากระจ่าง ดวงตาเฉี่ยวคม คิ้วหนาเข้ม เต็มไปด้วยกลิ่นอายเผด็จการอย่างถึงที่สุด
เหล่าเทพเซียนพากันฮือฮา
คิดไม่ถึงว่าเทพยุทธ์จวี้หลิงกลับหมายจะชำระล้างโลกมนุษย์ด้วยตนเอง!
เมื่อรวมกับหลงซั่นแล้ว ไพ่ใบนี้ก็เด็ดเกินกว่าพลังที่จะชำระล้างโลกมนุษย์แล้ว
บุตรแห่งสวรรค์ของโลกนี้ก็เก่งกาจเพียงนั้นจริงหรือ
“ศึกครั้งนี้ เมื่อถึงเวลานั้นเหล่าเทพเซียนจะต้องเฝ้าจับตามองอยู่ที่ท้องพระโรงแห่งนี้” จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยกล่าวขึ้นต่อ
วาจานี้ทำเอาเหล่าเทพเซียนอดมองไปยังทิศทางเดียวกันไม่ได้
ยอดแม่ทัพเทพ!
เงาร่างของยอดแม่ทัพเทพสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าหล่อเหลาเยียบเย็น ชุดเกราะบนร่างลุกโชนด้วยเปลวเพลิง บนศีรษะสวมมงกุฎหงส์คู่หนึ่ง แกว่งไกวไม่หยุด เรียกได้ว่าหล่อเหลางดงามสง่า เผด็จการผิดธรรมดา
ปีนั้นยอดแม่ทัพเทพท้าประลองกับเทพเซียนในโลกมนุษย์ จักรพรรดิสวรรค์ก็ให้เหล่าเทพเซียนอยู่ชม หลังจากเป็นประจักษ์พยานถึงพรสวรรค์และท่วงท่าที่สง่างามผ่าเผยของยอดแม่ทัพเทพแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านไม่ให้ยอดแม่ทัพเทพเข้าสู่วังสวรรค์อีก
จากนั้น ภายใต้การบ่มเพาะในวังสวรรค์ยอดแม่ทัพเทพก็ผงาดง้ำอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหอกที่แหลมคมที่สุดในปัจจุบันของวังสวรรค์
ยอดแม่ทัพเทพสีหน้าเฉยเมย ไม่ได้ส่งเสียงใด
เหล่าเทพเซียนอดที่จะตั้งตารอคอยไม่ได้ว่าการต่อสู้ของโลกมนุษย์ต่อจากนี้จะน่าตื่นตาตื่นใจเพียงใด
“ไม่มีทางที่ยอดแม่ทัพเทพคนต่อไปจะปรากฏตัวขึ้น”
จู่ๆ หลงซั่นก็เอ่ยปากขึ้น เรียกความสนใจจากเหล่าเทพเซียน
เห็นเพียงเขามองไปทางยอดแม่ทัพเทพด้วยสายตาวาววับ ก่อนกล่าวว่า “โลกมนุษย์มียอดแม่ทัพเทพเพียงแค่หนึ่ง ไม่อาจมีคนที่สอง แต่วังสวรรค์ไม่อาจมียอดแม่ทัพเทพแค่คนเดียว”
วาจาของเขากล่าวตรงจุด ทว่ายอดแม่ทัพเทพไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ตรงข้ามเขากลับก้มหน้าหัวเราะ
เหล่าเทพเซียนต่างพากันระบายยิ้ม
เพียงเพราะหลงซั่นเป็นผู้ที่นับถือยอดแม่ทัพเทพ เคยติดสอยห้อยตามยอดแม่ทัพเทพไปฝึกบำเพ็ญอยู่ระยะหนึ่ง
…
แปดปีต่อมา
หานเจวี๋ยอายุครบหนึ่งพันหนึ่งร้อยปีบริบูรณ์ แต่ไม่ได้มีรางวัลใดปรากฏขึ้นมาให้เลือก
ดูท่าหลังจากพ้นหนึ่งพันปีแล้ว จะไม่ปรากฏของรางวัลร้อยปีอีกต่อไป เรื่องนี้ทำให้หานเจวี๋ยค่อนข้างผิดหวังอยู่บ้าง
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดพายุหิมะในโลกมนุษย์ก็ผ่านพ้นไป แสงอาทิตย์ส่องประกาย ไอวสันต์แย้มสะพรั่ง
เหล่ามนุษย์ล้วนแซ่ซ้องยินดี ทว่าแดนบำเพ็ญพรตกลับเศร้าสลดทั้งแถบ จวนเซียนสวรรค์ได้แพร่กระจายข่าวที่วังสวรรค์จะชำระล้างโลกมนุษย์ออกไป ทำให้ทั่วทั้งใต้หล้าล้วนตกสู่ท่ามกลางความแตกตื่น
เหล่าผู้บำเพ็ญสายมารเองก็รู้สึกตกใจเช่นกัน แม้พวกเขาจะเดินตามเส้นทางของตนเอง แต่ก็ไม่ได้คาดหวังให้สิ่งมีชีวิตถูกเทพเซียนล้างบาง
เพียงชั่วขณะเดียว สายหลักสายมารต่างเริ่มรวบจับเศษซากเผ่ามารอย่างบ้าคลั่ง ตระกูลจำนวนมากที่เป็นดั่งเช่นตระกูลโม่ถูกล้างสังหาร ส่วนตระกูลโม่หลบหนีไปตั้งแต่ตอนแรก หนีไปไกลลิบโลก จึงไม่ได้รับผลกระทบใด
วันนี้เอง
เสียงระฆังกึกก้องสายหนึ่งดังกระหึ่มทั่วฟ้าดิน สรรพชีวิตใต้หล้าล้วนได้ยินกันถ้วนทั่ว
ที่ตามมาติดๆ คือเสียงที่น่าเกรงขามสายหนึ่งที่ดังขึ้น
“โลกมนุษย์แห่งนี้ถูกเผ่ามารกลืนกิน เกรงว่าจะกลายเป็นหายนะของโลกทั้งหมื่น ตามบัญชาสวรรค์ ต้องทำลาย!”
“เหล่าแม่ทัพและทหารสวรรค์ฟังบัญชา จงชำระล้างโลกมนุษย์!”
ตู้ม!
ทั่วทั้งใต้หล้าเดือดปะทุ!
เสียงของเทพยุทธ์จวี้หลิงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำเอาทุกคนต่างรับมือไม่ทัน
เมฆอัสนีที่ไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุดแผ่ครอบท้องนภาของโลกมนุษย์ สรรพสิ่งเงยหน้าขึ้นมอง บนเมฆอัสนีเป็นชั้นๆ ปรากฏเงาร่างน่าหวาดกลัวสายแล้วสายเล่า สูงส่งตระหง่านค้ำฟ้า กำยำดุจภูเขา
เขาเพียรบำเพ็ญเซียน
หานเจวี๋ย อู้เต้าเจี้ยนเดินออกมาจากถ้ำเทวา แหงนหน้ามองเทพเซียนบนท้องนภาเช่นเดียวกัน
เทพเซียนเกลื่อนนภา อานุภาพศักดิ์สิทธิ์สยบโลก!
แม้จำนวนจะไม่นับว่าน่าหวาดหวั่น แต่เงาร่างทุกสายล้วนใหญ่โตมหึมายิ่งนัก ราวเหยียดหยันโลกมนุษย์ นำพาความสิ้นหวังและกลัวเกรงมาสู่โลกมนุษย์
บารมีสวรรค์ลงมาเยือน ปิดล้อมใต้หล้า
“นั่นก็คือเทพเซียนหรือ” ราชามังกรสามหัวกล่าวขึ้นอย่างตกใจ
คนอื่นๆ ต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองอย่างตึงเครียด
ซูฉี เซียนซีเสวียน สิงหงเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ทยอยกันเร่งฝีเท้าเข้ามา เงยหน้ามองดูเช่นเดียวกัน บนใบหน้าแต่ละคนล้วนฉายแววสะท้านสะเทือน
พวกเขาล้วนเป็นมนุษย์ทั่วไป ต่างเพิ่งเคยประจักษ์ท่วงท่าแห่งเทพเซียนกับตาตัวเองเป็นครั้งแรก
เมื่อเผชิญหน้ากับเงาเทพบนเมฆอัสนี พวกเขาก็รู้สึกเพียงว่าตนเองเหมือนมดปลวก เล็กจ้อยหาที่เปรียบไม่ได้
สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เองก็วุ่นวายเช่นกัน ศิษย์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์ เหล่าผู้อาวุโสเริ่มพากันเปิดใช้งานค่ายกลใหญ่พิทักษ์สำนัก แต่พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเทพเซียนแล้ว วิชาค่ายกลของพวกเขาก็เหมือนมายาลวง
ใต้ต้นฝูซัง ไก่คุกรัตติกาล สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น อีกาทองสองตัว หยางเทียนตง สวินฉางอัน ซูฉี ถูหลิงเอ๋อร์ ราชามังกรสามหัว ฟางเหลียง มู่หรงฉี่และฉู่ซื่อเหรินต่างมองไปทางหานเจวี๋ยตามๆ กัน
เผชิญหน้าเทพเซียนที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ หานเจวี๋ยยังจะสู้อีกหรือ
จะให้สู้อย่างไร!
แม้ความแข็งแกร่งที่หานเจวี๋ยแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้จะแข็งแกร่งยิ่งนัก ทว่าเมื่อเทียบกับเทพเซียนบนสวรรค์แล้ว อานุภาพก็ยังห่างชั้นราวฟ้ากับเหว
เงาเทพที่สั้นที่สุดบนเมฆอัสนีอย่างน้อยก็สูงถึงหนึ่งพันจั้ง!
ไก่คุกรัตติกาลกล่าวเสียงสั่นว่า “นายท่าน พวกเราหนีกันเถิด?”
นี่จะให้สู้อย่างไร
ตั้งแต่แรกก็สู้ไม่ได้แล้ว!
หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจมัน หากแต่เงยหน้าทอดมองท้องนภา ดวงตาหรี่เล็กลง
เขามองเห็นคนผู้หนึ่ง
ที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดก็คือเงาเทพน่าหวาดกลัวอันสูงตระหง่านที่สุดนั้น
เทพยุทธ์จวี้หลิง!
เทพยุทธ์จวี้หลิงยืนอยู่เหนือเก้าสวรรค์ชั้นตา ปรายตาลงมองโลกมนุษย์ด้วยสีหน้าเย็นชา เสมือนกำลังมองมดมองแมลงบนพื้นดิน
หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าเทพยุทธ์จวี้หลิงกำลังจ้องมองตนเองอยู่
“มนุษย์ธรรมดาที่คิดอยากพิสูจน์พรสวรรค์ของตนเองต่อวังสวรรค์ เข้ามา!
หนึ่งชั่วยามหลังจากนี้ หากไม่มีผู้ใดสามารถพิสูจน์พรสวรรค์ของตนได้ ทัณฑ์สวรรค์จะมาเยือน ชำระล้างโลกมนุษย์!”
เสียงของเทพยุทธ์จวี้หลิงก้องกำทวนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สั่นสะท้านจิตใจผู้คน ทั้งๆ ที่กล่าวอย่างราบเรียบนิ่ง แต่ราวกับกำลังขู่คำราม แผดตะโกนอย่างไรอย่างนั้น
…………………………………………………..