ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 19 น้ำใจของสิงหงเสวียน รากวิญญาณระดับสร้างฐานขั้นเก้าทั้งหกสาย
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 19 น้ำใจของสิงหงเสวียน รากวิญญาณระดับสร้างฐานขั้นเก้าทั้งหกสาย
พอกลับถึงถ้ำเทวา หานเจวี๋ยก็เริ่มรับสืบทอดตราประทับเก้ามังกรขจัดมาร
นี่คือวิชาเวทวิชาที่สามของเขา ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นวิชากระบี่ แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป
เมื่อความทรงจำที่รับมาพรั่งพรูเข้ามาในสมอง หานเจวี๋ยก็เข้าสู่สภาวะรู้แจ้งโดยพลัน
ตราประทับเก้ามังกรขจัดมารคล้ายวิชาฝ่ามือ แต่ว่าแตกต่างจากวิชามืออันดุเดือด วิชานี้จะปล่อยตราประทับออกมา สามารถสยบมารและขับไล่ความชั่วร้ายได้
หากใช้ธาตุของพลังวิญญาณที่ไม่เหมือนกันสำแดงวิชา ผลลัพธ์ก็จะแตกต่างกันไปด้วย
แม้ว่าหานเจวี๋ยจะไม่มีคุณสมบัติวิชาตราประทับระดับสูงสุด แต่คุณสมบัติรากวิญญาณระดับสุดยอดของเขา ทำให้ไม่งุนงงอะไรในการฝึกวิชาตราประทับเก้ามังกรขจัดมาร
เจ็ดวันต่อมา
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็เข้าใจตราประทับเก้ามังกรขจัดมาร
การทดสอบของสำนักฝ่ายในใกล้เข้ามาแล้ว ผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชาของทั้งสิบแปดยอดเขาต่างส่งรายชื่อผู้เข้าร่วมเป็นที่เรียบร้อย
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์มาเยือน และบอกกฎการทดสอบของสำนักฝ่ายในให้เขารู้
ยอดเขาทั้งสิบแปดจะสร้างลานประลองเวท ลูกศิษย์ทั้งหลายจะถูกจัดให้ไปประลองเวทแบบหนึ่งต่อหนึ่งตามยอดเขาต่างๆ จนกว่าจะหาผู้แข็งแกร่งสิบอันดับแรกได้ จากนั้นค่อยประลองเวทในเมืองของสำนักฝ่ายในให้ทุกคนได้รับชม
เรื่องนี้หานเจวี๋ยชอบมาก
เช่นนี้ละก็ เขาแค่ต้องลงมือต่อหน้าฝูงชนเพียงสามสี่ครั้ง ระดับการถูกเปิดโปงก็จะไม่ค่อยสูงด้วย ต่อให้ครั้งนี้เป็นจุดสนใจ แต่ขอเพียงเขาไม่ทำตัวโดดเด่น ผู้คนก็จะลืมเขาไปอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์น้อง ศิษย์สืบทอดของแต่ละยอดเขาจัดงานเลี้ยงชุมนุมขึ้น เจ้าจะไปเข้าร่วมด้วยหรือไม่” ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ถาม
สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็เป็นศิษย์สืบทอดของเซียนซีเสวียนเช่นกัน
หานเจวี๋ยสงสัยว่าพวกนางจะมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกัน
ในสายตาของเขา คุณสมบัติของฉางเยวี่ยเอ๋อร์ธรรมดามาก
“ข้าไม่ไป ท่านไปเถอะ”
หานเจวี๋ยส่ายหน้าปฏิเสธ โดยทั่วไปแล้วงานเลี้ยงประเภทนี้มักเกิดความขัดแย้งได้โดยง่าย ล้วนเป็นศิษย์สืบทอดของยอดเขาต่างๆ กันทั้งนั้น ย่อมต้องช่วงชิงความโดดเด่นกัน โดยเฉพาะในวันก่อนการทดสอบของสำนักฝ่ายใน
“ได้”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า จากนั้นจึงออกไป
หานเจวี๋ยฝึกฝนตราประทับเก้ามังกรขจัดมารต่อ
แม้ว่าจะเรียนรู้สำเร็จแล้ว แต่เขาอยากทำความเข้าใจให้ทะลุปรุโปร่ง จนสามารถสำแดงออกมาได้ดั่งใจอย่างวิชากระบี่
อย่างไรเสียเวลาที่เหลือก็ไม่เพียงพอสำหรับเพิ่มพูนตบะและขอบเขตพลังอยู่ดี
เขาทำอยู่เช่นนี้ เวลาแต่ละวันค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป
ในที่สุดการทดสอบของสำนักฝ่ายในก็เริ่มขึ้น
ศิษย์ทั้งสิบสามคนที่เข้าร่วมการทดสอบต่างมารวมตัวอยู่หน้าประตูใหญ่ของตำหนักหยกวิเวก บนประตูมีป้ายไม้ขนาดใหญ่แขวนอยู่ บนนั้นบันทึกสถานที่และเวลาในการประลองเวทของศิษย์ไว้
วันแรก ทุกคนจะต้องเข้าร่วมการประลองเวท
ศึกแรกของหานเจวี๋ยอยู่ที่ยอดเขาฟ้าสังหาร
ยอดเขาฟ้าสังหารจัดอยู่ในสามอันดับแรกของสำนักหยกพิสุทธิ์ แข็งแกร่งทรงพลังมาก
เวลาการประลองคือเที่ยงวันพรุ่งนี้
หานเจวี๋ยจดจำไว้แล้วก็กลับถ้ำเทวาอย่างรวดเร็ว
ครั้นกลับมาถึงถ้ำเทวา เขาพลันมองเห็นคนผู้หนึ่ง
สิงหงเสวียน!
ไม่เจอกันหลายสิบปี นางที่สวมชุดคลุมของสำนักหยกพิสุทธิ์อยู่ดูสง่างามกว่าตอนนั้นมาก
“ท่านพี่[1]!”
สิงหงเสวียนเรียกด้วยความตกใจระคนยินดี ก่อนเดินมาตรงหน้าหานเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยรู้สึกหมดคำพูด เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวก่อนกล่าว “แม่นาง อย่าเรียกคนอื่นมั่วๆ สิ!”
สิงหงเสวียนเอามือปิดปากพลางยิ้มเอ่ย “ตอนอยู่สำนักฝ่ายนอก พวกเราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ”
หานเจวี๋ยไม่มีทางเลี่ยง จึงพูดออกไปตรงๆ “นั่นเป็นการแสดงละครตบตาเท่านั้น หากข้าปฏิเสธท่าน ก็กลัวว่าท่านจะฆ่าข้า”
“ไม่เป็นไร ข้าถือว่าเป็นเรื่องจริงไปแล้ว ตอนที่ข้าพบกับเจ้าสำนักยังกังวลอยู่เลยว่าท่านจะขายข้าหรือไม่ แต่ท่านไม่ได้ทำ และให้โอกาสข้าเป็นฝ่ายสารภาพเอง ข้าถึงได้มีโอกาสเข้าสำนักหยกพิสุทธิ์อีกครั้ง จนมีสถานะอย่างวันนี้”
สิงหงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้ม นางนำขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “นี่คือโอสถหยกพิสุทธิ์ เหมาะสำหรับเพิ่มตบะระดับสร้างฐาน ข้ายังไม่ได้สร้างฐาน ท่านใช้มันก่อนเถอะ ตอนนี้ข้าติดตามนักพรตเต๋าจิ้งซวีเพื่อฝึกฝนอยู่ จะได้รับโอสถเช่นนี้เป็นประจำ”
หานเจวี๋ยอึ้งไป
สิงหงเสวียนยัดเยียดขวดโอสถให้หานเจวี๋ย กล่าวว่า “การทดสอบของสำนักฝ่ายในท่านต้องพยายามให้มากๆ ตอนนั้นข้าไม่นึกว่าท่านพี่จะมีพรสวรรค์เช่นนี้ คุณสมบัติของข้าธรรมดา แต่ภายหน้าข้าจะช่วยท่านอย่างเต็มที่ หากท่านพี่สำเร็จระดับปราณก่อกำเนิด คงไม่ปฏิบัติต่อข้าอย่างขาดตกบกพร่อง ใช่หรือไม่”
นางยิ้มได้หวานและบริสุทธิ์ใจยิ่ง ไม่มีลักษณะของผู้บำเพ็ญสายมารอยู่แม้แต่น้อย
หานเจวี๋ยไม่รู้ว่าจะปฏิเสธดีหรือไม่
สิงหงเสวียนหมุนตัวจากไปในฉับพลัน นางแสดงวิชาขี่กระบี่ หายไปท่ามกลางเมฆหมอกอย่างเร็วไว
ไม่เปิดโอกาสให้หานเจวี๋ยปฏิเสธเลยสักนิด!
หานเจวี๋ยกลับเข้าไปในถ้ำเทวา จากนั้นเปิดขวดโอสถออก เขาพบว่าด้านในมีโอสถหยกพิสุทธิ์อยู่เจ็ดเม็ด
เขากินลงไปหนึ่งเม็ดก่อน
เขาตกใจเมื่อพบว่าโอสถหยกพิสุทธิ์หนึ่งเม็ดแฝงไปด้วยพลังวิญญาณมหาศาล เขารีบโคจรพลังหลอมกลั่นมันทันที
ครึ่งชั่วยามต่อมา
เขาก็กลั่นพลังของโอสถจนสมบูรณ์ และเปลี่ยนให้เป็นพลังวิญญาณวารี ผลลัพธ์เหนือกว่าการฝึกฝนอย่างน้อยครึ่งเดือน
ด้วยคุณสมบัติของเขา ฝึกฝนแค่ครึ่งเดือนก็เทียบเท่ากับการฝึกฝนหลายปีของคนทั่วไปแล้ว
“โอสถสุดยอดเช่นนี้เชียว นี่คือการได้รับสิทธิพิเศษแบบศิษย์แกนหลักหรือ”
หานเจวี๋ยแอบตกใจ
เขาพลันรู้สึกว่าสิงหงเสวียนมีใจให้เขามากไปนิด
ขณะเดียวกันเขาก็ค้างคาใจมาก เพียงบอกแผนการของลัทธิมารฟ้ามืดในแดนหมื่นปีศาจ ก็ทำให้นางได้รับการปฏิบัติระดับนี้เชียวหรือ?
ก่อนหน้านั้นสิงหงเสวียนเป็นแค่ผู้บำเพ็ญระดับหลอมปราณ โลดแล่นอยู่ในสำนักหยกพิสุทธิ์ฝ่ายนอก นางสืบความลับสำคัญของลัทธิมารฟ้ามืดมาได้อย่างไร
ดูท่าสถานะของนางจะไม่ได้ธรรมดาอย่างที่หานเจวี๋ยคิดไว้เลย
หานเจวี๋ยไม่ได้คิดอะไรมาก ยังคงกินโอสถหยกพิสุทธิ์ต่อ
หลังจากกินไปสามเม็ด
รากวิญญาณวารีของเขาก็บรรลุถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้า
เขาเปลี่ยนโอสถหยกพิสุทธิ์ที่เหลือให้เป็นพลังวิญญาณปฐพีทั้งหมด จนบรรลุระดับสร้างฐานขั้นเก้า
ตอนนี้ รากวิญญาณทั้งหกสายล้วนถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้าแล้ว!
เขาใช้จิตกวาดดูด้านนอก และพบว่าขณะนี้เป็นยามดึกแล้ว
‘โอสถหยกพิสุทธิ์นี้ร้ายกาจมาก มิน่าล่ะตำแหน่งของนักหลอมโอสถถึงได้สูงส่งขนาดนี้’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ ทันใดนั้นก็เกิดความคิดเกี่ยวกับโอสถขึ้นมา
……
ยอดเขาหลัก
ภายในตำหนักใหญ่ที่มืดสลัวหลังหนึ่ง
นักพรตชราคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าสิงหงเสวียน
นักพรตเต๋าจิ้งซวีนั่นเอง
“เจ้ามอบโอสถหยกพิสุทธิ์ให้เจ้าเด็กจากยอดเขาหยกวิเวกผู้นั้น ไม่เสียใจภายหลังหรอกหรือ” นักพรตเต๋าจิ้งซวีถาม
สิงหงเสวียนตอบกลับเบาๆ “ไม่เสียใจเจ้าค่ะ ศิษย์ตกอยู่ในห้วงแห่งรักแล้ว”
“เป็นเพราะกายหยาบอันงดงามของเขาหรือ”
“นั่นยังไม่เพียงพอหรือเจ้าคะ”
“รูปลักษณ์หน้าตาของเขาโดดเด่นจริงๆ ในชีวิตนี้อาจารย์ก็ยังไม่เคยพบบุรุษผู้ใดที่รูปงามเท่าเขา แต่ลำพังแค่รูปลักษณ์ก็ทำให้เจ้าทุ่มเทถึงเพียงนี้แล้ว อาจารย์ว่าไม่คุ้มค่า”
“คุณสมบัติของเขาก็โดดเด่นเช่นกัน ตอนที่ข้าพบเขา เขายังไม่ได้ฝึกบำเพ็ญด้วยซ้ำ ข้าได้ยินเจ้าสำนักบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ระดับสร้างฐานขั้นเก้าแล้ว”
นักพรตเต๋าจิ้งซวีขมวดคิ้ว ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
พรสวรรค์ระดับนี้ช่าง…
นางถามด้วยความฉงน “เหตุใดหลายปีมานี้อาจารย์ถึงไม่เคยได้ยินชื่อเขาเลย”
สิงหงเสวียนตอบว่า “เจ้าสำนักบอกว่าเขาเก็บเนื้อเก็บตัวมาก ตั้งแต่เข้าสำนักมาก็ยุ่งอยู่กับปิดด่านฝึกฝนตลอด แต่ก่อนเจ้าสำนักยังคิดจะให้โอกาสอันดีแก่เขา แต่เขาปฏิเสธไปด้วยเหตุผลว่ากลัวตาย”
นักพรตเต๋าจิ้งซวีพูดหยอกล้อ “หากเขากลัวตาย เหตุใดถึงมีประสบการณ์ถึงเพียงนี้ ดูท่าเขาจะมีใจแน่วแน่มาก และยังมั่นใจในตัวเองมากด้วย”
สิงหงเสวียนพยักหน้า
ครั้นนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของหานเจวี๋ย ใบหน้าของนางก็แดงขึ้นเล็กน้อย
“ดูท่าทางอาจารย์ต้องใส่ใจเขาให้มากหน่อย” นักพรตเต๋าจิ้งซวีพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
……
เวลาเที่ยงตรง
หานเจวี๋ยเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปยังยอดเขาฟ้าสังหาร
เขายืนอยู่บนกระบี่บินด้วยสีหน้าสับสนลังเล
วันนี้จะแสดงอย่างไรดี
ไม่อาจแสดงความแข็งแกร่งมากเกินไปได้
มีรากวิญญาณระดับสร้างฐานขั้นเก้าทั้งหกสาย ประกอบกับวิชากระบี่ชั้นเลิศ หานเจวี๋ยไม่เห็นศิษย์สายในอยู่ในสายตาเลย
เขาได้สอบถามมาแล้ว ศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบของสำนักฝ่ายในมีตบะสูงสุดแค่ระดับสร้างฐานขั้นเก้าเช่นกัน
ศิษย์ที่มีตบะสูงกว่านี้ต่างสำเร็จการฝึกฝนวิชานานแล้ว หรือไม่ก็กลายเป็นศิษย์สืบทอด ศิษย์อัจฉริยะ หรือศิษย์แกนหลัก ไม่ต้องการรางวัลจากการทดสอบของสำนักฝ่ายในอีก
หานเจวี๋ยคิดว่าตนเองไม่แพ้ผู้บำเพ็ญที่มีตบะระดับเดียวกันแน่นอน
[ตรวจสอบพบว่าการทดสอบฝ่ายในของสำนักหยกพิสุทธิ์ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง รับชัยชนะอย่างโดดเด่น มีชื่อเสียงโด่งดังในสำนักฝ่ายใน จะได้รับหินวิญญาณชั้นสูงหนึ่งพันก้อน]
[สอง ติดสามอันดับแรกอย่างสงบเสงี่ยม พยายามลดผลกระทบให้มากที่สุด จะได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]
……………………………………….
[1] ท่านพี่ (夫君) ที่ใช้ตรงนี้เป็นคำที่ใช้เรียกสามี