ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 225 ความเกลียดชังของจักรพรรดิปีศาจ มิตรภาพแห่งเทพสงคราม
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 225 ความเกลียดชังของจักรพรรดิปีศาจ มิตรภาพแห่งเทพสงคราม
ตู้ม…!
ปีศาจสาวหรูเมิ่งถูกไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิท่วมมิด จิตและร่างล้วนดับสลายทันที
มหาอริยะเทียนหูที่เบี่ยงหลบสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของปีศาจสาวหรูเมิ่งมอดดับชั่วพริบตา
‘เป็นไปได้อย่างไรกัน!’
ยังไม่ทันรอให้มหาอริยะเทียนหูคิดให้มากความ เงากระบี่นับล้านของไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิถึงกับเหลียวขวับสังหารมาทางเขา เสมือนอุทกธารมรรคาสวรรค์สายหนึ่งพาดขวางห้วงอากาศว่างเปล่า พินาศยับเยินง่ายดาย ไม่อาจขวางกั้น
มหาอริยะเทียนหูตกใจจนหันตัวเผ่นหนี
หานเจวี๋ยยกมือซ้ายขึ้น สำแดงดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพ
ดรรชนีเดียวยิงระเบิดศีรษะของมหาอริยะเทียนหู!
มหาอริยะเทียนหูที่เสียหัวไม่ได้ตายอนาถคาที่ ยังคงเผ่นหนีต่อไป
แต่ระดับความเร็วของเขาได้รับผลกระทบ ถูกไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิไล่ตามอย่างรวดเร็ว ร่างและจิตล้วนดับสูญทันที!
ในแบบจำลองการทดสอบก่อนหน้านี้ เหตุผลที่ไม่สามารถปลิดชีพเทพปีศาจสองตนนี้ในฉับพลันได้ ก็เพราะพวกเขาเป็นมารสองตน จึงหนีไปได้
หลังจากถูกจอมเทพอู่เต๋อสูบสลาย เทพปีศาจสองตนภายใต้สถานการณ์ไร้การป้องกัน ไหนเลยจะหนีไปได้
กระบวนทั้งหมดอันที่จริงไม่ถึงสองอึดใจ
ระดับเซียนทองไท่อี่ขั้นสมบูรณ์สองคนเดิมทีไม่อาจแบกรับปราณกระบี่ของหานเจวี๋ยได้เลยสักนิด
เขาก็สำแดงพลังวิเศษระดับจักรพรรดิถึงสองสาย!
ไม่ใช่เซียนทองไท่อี่ทุกคนล้วนเป็นเช่นเจียงอี้กันหมด!
จอมเทพอู่เต๋อตกตะลึง มองหานเจวี๋ยอย่างสะท้านสะเทือน
‘เป็นไปได้อย่างไร!’
สังหารเทพปีศาจที่มีชื่อเสียงเลื่องลื่อสองตนแหลกลาญในทันที!
คนผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใดกัน
หานเจวี๋ยประสานหมัดกหันไปทางเขาแล้วกล่าวว่า “ลำบากท่านแล้ว”
กล่าวจบ หานเจวี๋ยก็หมุนกายออกไป
จอมเทพอู่เต๋อยังคงตะลึงนิ่งอึ้ง เนิ่นนานก็ไม่อาจดึงสติกลับมาได้
ภายในพระราชวังเทียมเมฆา
จักรพรรดิสวรรค์โบกแขนฉลองพระองค์ เก็บคันฉ่องที่ลอยอยู่บนตำหนัก
ตี้ไท่ไป๋กล่าวทอดถอนใจว่า “ความแข็งแกร่งของเจ้าหมอนี่น่าสะพรึงจริงๆ ระดับความเร็วในการทะลวงเช่นนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าคนของวังเทพ คนของเผ่าเทพอีกาทองผู้นั้นเสียอีก!”
จักรพรรดิสวรรค์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “นี่ก็คือเหตุผลที่เราปฏิบัติต่อเขาอย่างดีเช่นนี้ เขาคู่ควร”
ตี้ไท่ไป๋พยักหน้า
พรสวรรค์ระดับนี้ก็คู่ควรให้วังสวรรค์ฟูมฟักแบบไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้นจริงๆ
“การต่อสู้ของเผ่าเทพอีกาทองกับวังเทพสิ้นสุดลงแล้วใช่หรือไม่” จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยถาม
ตี้ไท่ไป๋เอ่ยตอบว่า “สิ้นสุดแล้ว วังเทพประนีประนอม ยกสามแดนดาราให้เผ่าเทพอีกาทอง”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาก็อดทอดถอนใจไม่ได้
วังเทพแข็งแกร่งเพียงนั้น ก็ยังประนีประนอม!
“ไม่อาจดูเบาเผ่าเทพอีกาทอง เรารู้สึกมาตลอดว่าพวกเขามักใหญ่ใฝ่สูง ในอดีตเผ่าเทพอีกาทองเป็นเผ่าพันธุ์ราชันจักรพรรดิของเผ่าปีศาจ หลังจากมหาเคราะห์จอมเวทปีศาจ เผ่าเทพอีกาทองและเผ่าจอมเวทก็ตกต่ำในเวลาเดียวกัน ยามนี้เผ่าทั้งสองอาจจะพากันผงาดง้ำแล้วก็ได้ วังสวรรค์ต้องคานอำนาจความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ดี
บางทีมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนอาจจะมาเยือน”
จักรพรรดิสวรรค์ขมวดคิ้วมุ่นน้อยๆ สายพระเนตรฉายแวววิตกกังวลขึ้นมา
ตี้ไท่ไป๋เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท ท่านมองเห็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิสวรรค์กล่าว “เรามองเห็นยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ปวงเทพล้มตาย เหมือนตำนานนั้นยิ่งนัก”
“ตำนานไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ศึกแห่งวิถีมาร”
“อึก…”
ตี้ไท่ไป๋ถูกทำให้ตกใจ เขารีบร้อนเอ่ยถามขึ้น “เผ่ามารจะก่อกวนหมื่นโลกาทั่วหล้าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่เผ่ามาร เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าเผ่ามาร”
สายพระเนตรของจักรพรรดิสวรรค์เปลี่ยนเป็นลุ่มลึก ไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
ตี้ไท่ไป๋ยังอยากถามอีก ทว่าจักรพรรดิสวรรค์โบกพระหัตถ์ เป็นเชิงให้เขาถอยออกไป เขาจึงทำได้เพียงโค้งคารวะแล้วจากไปทันที
หลังออกจากพระราชวังเทียมเมฆา ตี้ไท่ไป๋ก็ยังขบคิดวาจาของจักรพรรดิสวรรค์
สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิสวรรค์ไม่สบายใจ และสะพรึงกลัวได้จะเป็นสิ่งใดกัน
…
[จักรพรรดิปีศาจเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 4 ดาว]
หานเจวี๋ยมองดูตัวอักขระเบื้องหน้า จมสู่ท่ามกลางความนิ่งเงียบ
เขาตรวจดูค่าความสัมพันธ์โดยไม่เอ่ยอะไร
[จักรพรรดิปีศาจ: ไม่ทราบตบะ เจ้าแห่งวังปีศาจ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต ผนึกเผ่าปีศาจเป็นปึกแผ่นนับครั้งไม่ถ้วน รวมกับเจ้าแห่งวังเทพ จักรพรรดิสวรรค์แห่งวังสวรรค์และมรรคาสวรรค์สำนักพุทธขนานนามเป็นสี่ยอดมรรคาสวรรค์ พวกชั้นยอดบนเส้นทางฝึกปราณ เนื่องด้วยท่านสังหารเทพปีศาจทั้งสองตนของเขา จึงเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน เมื่อครั้นท่านออกจากวังสวรรค์ จะต้องสังหารท่านให้จงได้ ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 4 ดาว]
‘ดูเหมือนจะเจ๋งมากทีเดียว!’
หานเจวี๋ยลอบดูแคลนในใจ ‘จักรพรรดิปีศาจแล้วอย่างไรกัน คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าหรือ’
มือขวาของหานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาอย่างสั่นระริก เริ่มสาปแช่งศัตรู
เขาสาปแช่งศัตรูคนอื่นก่อนหนึ่งรอบ แล้วค่อยสาปแช่งจักรพรรดิปีศาจอีกครั้งในตอนท้าย
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนเริ่มตรวจดูจดหมาย
[หลงซั่นสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพปีศาจ ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เคราะห์ดีที่ได้ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านให้การช่วยเหลือ]
[โจวฝานสหายของท่านร่ำเรียนพลังวิเศษสำนักเต๋าจนแตกฉาน ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[ตี้หงเย่สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเผ่ามังกรแท้] x1863
[ซูฉีศิษย์ของท่านเข้าร่วมวังเทพ]
[มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านได้รับการสืบทอดจากเทพสงครามวังสวรรค์]
[จักรพรรดินีปีศาจชิงชิวศัตรูของท่านเพราะการสาปแช่งของท่าน จึงเกิดมารในใจ]
[พุทธาเทพฟ้าพิโรธศัตรูของท่านเพราะการสาปแช่งของท่าน จิตพุทธได้รับความเสียหาย]
[จี้เซียนเสินสหายของท่านหลงเข้าสู่เขตหวงห้ามฮุ่นตุ้น]
…
หานเจวี๋ยเห็นว่าจักรพรรดินีปีศาจชิงชิว พุทธาเทพฟ้าพิโรธถูกตนสาปแช่งสำเร็จ ในใจรู้สึกดีใจยิ่ง
ความรู้สึกบีบคั้นที่จักรพรรดิปีศาจนำมาให้พลันลดทอนลงในทันที
หนังสือแห่งความโชคร้ายก็ยังพึ่งพาได้จริงๆ สินะ
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าซูฉีเข้าร่วมวังเทพแล้ว น่าสนใจอยู่บ้างนี่
ดูท่าหลังจากนี้ก็สามารถให้ซูฉีช่วยเหลือจั้งกูซิงได้บ้าง
แต่จะว่าไปแล้ว วังสวรรค์สามารถมองทะลุรากฐานพลังของมู่หรงฉี่และฟางเหลียง แล้วเหตุใดถึงมองไม่ทะลุรากฐานพลังของซูฉี
หรือว่าวังสวรรค์ก็ติเตียนซูฉี เพราะอย่างนั้นถึงไม่ได้สนใจสารทุกข์สุขดิบของเขา
ดาวตัวซวยก็อำมหิตเพียงนี้เชียวหรือ
บางทีซูฉีอาจยังมีสถานะที่ลึกลำยิ่งกว่านี้ ทำให้วังสวรรค์ไม่กล้ารองรับเขา
หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
หลังจากสาปแช่งหลายเดือน หานเจวี๋ยก็บำเพ็ญตบะต่อไป
ถูกจักรพรรดิปีศาจจับตามอง หานเจวี๋ยยิ่งต้องฝึกบำเพ็ญอย่างมานะบากบั่นมากยิ่งขึ้น
เขาไม่สามารถพึ่งการคุ้มกะลาหัวของจักรพรรดิสวรรค์ไปชั่วชีวิตได้ สุดท้ายก็ยังต้องพึ่งตัวเองอยู่ดี
…
วังสวรรค์ ริมแม่น้ำสวรรค์ ภายในศาลาหินนิลด้านแห่งหนึ่ง
มู่หรงฉี่กับยอดแม่ทัพเทพกำลังนั่งหันหน้าร่ำสุรากัน
ยอดแม่ทัพเทพกล่าวยิ้มๆ ว่า “กี่ปีมาแล้ว ในที่สุดก็ได้กลับมาร่ำสุรากับเจ้าเสียที เมื่อก่อนเชิญเจ้าเข้าร่วมวังสวรรค์ เจ้าปฏิเสธ ยามนี้กลับเป็นเจ้าที่มาหาถึงที่”
มู่หรงฉี่ที่สวมชุดเกราะแม่ทัพสวรรค์ดูแล้วท่าทางยิ่งหล่อเหลามากขึ้นไปอีก ไม่ด้อยรัศมีไปกว่ายอดแม่ทัพเทพเลยสักนิด เพียงแต่ยังเผด็จการไม่สู้ยอดแม่ทัพเทพ
มู่หรงฉี่กล่าวพลางยกยิ้มบางๆ “หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ปู่เข้าร่วมวังสวรรค์ ข้าเองก็คงไม่มา สำหรับวังสวรรค์ ข้าก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี”
ยอดแม่ทัพเทพเอ่ยถามอย่างกังขา “เจ้าปลุกความทรงจำในอดีตชาติขึ้นมาได้แล้ว เหตุใดยังต้องยอมรับเขาเป็นอาจารย์ปู่อีก ไม่รู้สึกว่าเสียเกียรติเลยหรืออย่างไร”
“เหตุใดถึงว่าเสียเกียรติ”
“เขาอ่อนแอถึงเพียงนั้น”
“เจ้ารู้หรือว่าตบะของอาจารย์ปู่ข้าอยู่ในระดับใด”
“นั่นก็ถูก”
“ข้าเพียงปลุกความทรงจำในอดีตชาติ แต่ข้าก็ไม่ใช่ข้าคนก่อนหน้านี้อีกแล้ว”
มู่หรงฉี่แกว่งจอกสุรา ความคิดล่องลอย
ยอดแม่ทัพเทพหรี่ตาลง เอ่ยถาม “รีบฟื้นฟูตบะจักรพรรดิเซียนเร็วเข้าเถิด ข้าทนรอจะต่อสู้กับเจ้าสักตั้งไม่ไหวแล้ว!”
มู่หรงฉี่เอ่ยถาม “วังสวรรค์จะผูกติดอยู่กับวังเทพ?”
คิ้วของเขาพลอยขมวดมุ่นขึ้นไปด้วย
เขาที่เคยเป็นเทพสงครามแห่งวังเทพตัดสินใจที่จะโค่นล้มวังเทพ
“แค่สถานการณ์เลยเถิดก็เท่านั้น บางทีพรุ่งนี้อำนาจใหญ่ก็อาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้” ยอดแม่ทัพเทพกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
“ข้าเป็นเพียงหอกเล่มหนึ่งในมือฝ่าบาทจักรพรรดิสวรรค์ ข้าไม่สนใจมหาอำนาจ ฝ่าบาทจักรพรรดิสวรรค์ให้ข้าสังหารผู้ใด ข้าก็สังหารผู้นั้น”
ได้ยินเช่นนี้ มู่หรงฉี่ก็เผยรอยยิ้มดูแคลนออกมา ไม่รู้ว่าเยาะเย้ยตนเอง หรือว่าเหยียดแคลนยอดแม่ทัพเทพ
ยอดแม่ทัพเทพกล่าวต่อว่า “เจียงอี้จากเผ่าเทพอีกาทองเพิ่งบรรลุจักรพรรดิเซียน เจ้ายังจำเขาได้หรือไม่ เขาเคยเกือบได้เป็นศิษย์ของเจ้า”
มู่หรงฉี่กล่าวตอบกลับ “จำไม่ได้ ไม่สำคัญแล้ว”
เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า “ข้าจะไปดินแดนเทพสิงเทียน เจ้าสามารถไปกับข้าได้หรือไม่”
…………………………………………………………