ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 247 จิตมารของสำนักพุทธ มารสวรรค์เบิกฟ้า
หานเจวี๋ยได้นำหญ้าโลกาสวรรค์ออกจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน ก่อนมาถึงต้นฝูซัง พบว่ากิ่งของต้นฝูงซังนั้นสั่นไหวอย่างรุนแรง และสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง
หานเจวี๋ยอดที่จะคาดเดาไม่ได้ ครุ่นคิดอยู่นานว่าผู้ใดกันที่เป็นเหตุทำให้ต้นฝูซังยังคงสั่นไหวเช่นนี้
ทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นเศียรมังกรที่ดุร้าย ส่งเสียงร้องคำรามมาทางเขา หยุดชะงักความคิดของเขาไว้
มังกร?
ไม่ใช่สิ!
คล้ายมังกรแต่ไม่ใช่มังกร!
ต้นฝูซังกำลังดึงดูดตัวอะไรกันแน่
หานเจวี๋ยยังคงคาดเดาต่อไป แต่ก็เหมือนกับเมื่อครู่ ล้วนถูกเศียรมังกรที่ลึกลับนั้นคำรามแทรกจนความคิดชะงักลง
ช่างเถิด!
หากทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้านทาน[1]
หานเจวี๋ยส่ายหน้า คร้านที่จะคิดแล้ว
หากจักรพรรดิเซียนมาโจมตี จักรพรรดิสวรรค์จะต้องลงมือเป็นแน่ แต่หากเป็นระดับที่ต่ำกว่าจักรพรรดิเซียน มาเท่าไรฆ่าเท่านั้น!
ทันใดนั้นเองหานปาก็พลันปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย พร้อมคำนับท่านอาจารย์ กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ข้ารู้สึกว่าต้นฝูซังประหลาดยิ่งนัก”
“เจ้าสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของมัน?” หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ถึงแม้ว่าต้นฝูซังจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีจิตวิญญาณและสติปัญญา
หานปาพยักหน้าลง
เอ่ยจบ หานเจวี๋ยก็หันกายแล้วจากไป
สำหรับพี่น้องทั้งแปดของตระกูลหานแล้ว ต้นฝูซังเปรียบเสมือนมารดาของพวกเขา พวกเขาพึ่งพาอาศัยต้นฝูซังจึงสามารถเจริญเติบโตมาได้
ส่วนคนอื่นๆ ครั้งหน้าค่อยหารือกันใหม่
ก่อนหน้าก็เคยมีกรณีเช่นนี้ หากต้นฝูซังสั่น แน่นอนว่าจะต้องดึงดูดศัตรูให้เข้ามา
เจ้าใหญ่ เจ้ารองก็เป็นเพราะต้นฝูซังดึงดูดมา เกือบที่จะตายในมือของหานเจวี๋ย จนถึงตอนนี้เมื่อนึกขึ้นมาก็ยังคงน่ากลัวยิ่งนัก
หลังจากกลับถึงถ้ำเทวา หานเจวี๋ยก็ฝึกวิชาชุบร่างวัฏจักรดาราต่อไป
……
หลายปีต่อมา
หานเจวี๋ยก็อายุถึงสองพันห้าร้อยปีแล้ว
นี่ก็นับว่าครบรอบวันเกิดพอดี เขาตัดสินใจที่จะฉลองสักหน่อย เพราะเช่นนั้นจึงนำหนังสือโชคร้ายออกมา
ต้นฝูซังไม่ได้สั่นไหวรุนแรงเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ แต่ยังคงสั่นไหวอยู่บ้าง
หานเจวี๋ยสาปแช่งไปพลางตรวจสอบผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้กับโลกเขย่าพิภพไปด้วย
เขาต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าจอมเทพอู่เต๋อจากไปแล้วอย่างที่ไม่อาจทราบได้
นอกจากนี้ โลกเขย่าพิภพก็ไม่มีศัตรูแทรกซึมเข้ามาในช่วงนี้
หลังจากหานเจวี๋ยสาปแช่งพวกศัตรูเสร็จเรียบร้อยก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
อีกด้านหนึ่ง
ภายในวัดแห่งหนึ่ง
พุทธะอาภรณ์ขาวกำลังนั่งสมาธิสวดมนต์ สีหน้าของเขามืดสว่างสลับกัน บางครั้งเจ็บปวด บางครั้งเบิกบาน บางครั้งดุร้าย เป็นเช่นนี้อยู่นานนัก
เขาลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วถอนหายใจออกมาเสียงทุ้มต่ำ
เขาขมวดคิ้วในทันที กัดฟันด้วยความคับแค้น เอ่ยด่าทอออกมาว่า “สมควรตาย! จิตมารนี้เดิมทียากที่จะทำลาย!”
“หรือบรรพชนพุทธจะเริ่มสงสัยในตัวข้าขึ้นมาอีกแล้ว”
ในใจของพุทธะอาภรณ์ขาวกระวนกระวายไม่สงบ
เขาปรับสีหน้า แล้วฝึกบำเพ็ญต่อไป
โดยที่เขาไม่ทันได้ระวัง ไอดำก้อนหนึ่งก็ตกลงมาจากฟ้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทะลุเข้าไปในวิญญาณของเขา
…
เวาลาผ่านไปชั่วพริบตา
เวลาก็ผ่านไปอีกห้าสิบปี
ด้วยการช่วยเหลือของวิชาชุบร่างวัฏจักรดารา ทำให้กายเนื้อของหานเจวี๋ยแข็งแกร่งขึ้นอย่างบ้าคลั่งมาโดยตลอด พลังเวทเองก็สูงขึ้น
ในแบบจำลองการทดสอบ หานเจวี๋ยใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการต่อสู้ ในที่สุดก็สามารถสังหารเจียงอี้ได้
เขารู้สึกฮึกเหิมเป็นอย่างมาก
เจียงอี้เป็นถึงจักรพรรดิเซียนแท้!
ครั้งหน้าหากพบกับเจียงอี้อีกครั้ง เขาก็ไม่ต้องถ่อมตนขนาดนั้นแล้ว
หานเจวี๋ยคิดแล้วก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก
ยามนี้เขารอคอยวันที่ตัวเองก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิเซียนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ยังไม่ได้เป็นจักรพรรดิเซียนก็สามารถสังหารจักรพรรดิเซียนได้ รอเขาก้าวสู่ระดับจักรพรรดิแล้ว นั่นจะดุร้ายเพียงใดกัน
แม้แต่หานเจวี๋ยเองก็ยังรู้สึกว่าน่ากลัว
หานเจวี๋ยตรวจสอบโลกเขย่าพิภพด้วยความเคยชิน ทันใดนั้นเขาก็เห็นข้อความหนึ่งปรากฏขึ้น
[มารสวรรค์เบิกฟ้า: ไม่ทราบพลังตบะ มาจากฮุ่นตุ้น]
ไม่ทราบพลังตบะ?
จักรพรรดิเซียน!
หานเจวี๋ยสะดุ้งตกใจ รีบใช้แบบจำลองการทดสอบในการต่อสู้ในทันที
วินาทีต่อมา เขาลืมตาขึ้นด้วยท่าทางแปลกประหลาด
คิดไม่ถึงว่ามารสวรรค์เบิกฟ้านี่จะเสียสติไปแล้ว
ทนรับแรงโจมตีของเขาไม่ไหวแม้แต่กระบวนท่าเดียว!
นี่มันเรื่องอะไรกัน
ความสามารถเท่านี้ก็กล้าบุกรุกโลกเขย่าพิภพแล้วหรือ?
หานเจวี๋ยรีบตรวจสอบตำแหน่งของเขาทันที
พบว่ามารสวรรค์เบิกฟ้ากลับอยู่บนร่างของพุทธะอาภรณ์ขาว!
พุทธะอาภรณ์ขาวกำลังปิดด่านฝึกตน แต่ใบหน้าของเขามืดดำ หว่างคิ้วราวกับโดนมนต์ดำ
ท่าทางแปลกๆ!
เขาก็ถูกยึดร่างอยู่อย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยรีบลุกขึ้น ก่อนรีบไปยังวัดของพุทธะอาภรณ์ขาว ฝ่าตรงเข้าไปในเขตต้องห้ามของวัด ก่อนมาถึงด้านหน้าของพุทธะอาภรณ์ขาวในเวลาต่อมา
เขายกมือขึ้น ใช้พลังดูดวิญญาณหกสาย คิดจะดูดมารสวรรค์เบิกฟ้าออกมา
“เจ้าคิดจะทำอะไร!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นตามมา น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หานเจวี๋ยไม่สนใจ เพียงดูดมารสวรรค์เบิกฟ้าออกมาทั้งอย่างนั้น
ไอดำกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากร่างของพุทธะอาภรณ์ขาว ต่อมากลายเป็นหมอกควันดำ แตกกระจายไปทั่วทุกสารทิศของวัด
หานเจวี๋ยสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่น่ากลัวปกคลุมอยู่บนร่างของตนเองอย่างชัดเจน
เขากระทืบเท้าขวา สำแดงวิชาจิตกระบี่หวนคืน พุ่งชนกลุ่มจิตสังหารนั้น
หานเจวี๋ยใช้พลังดูดวิญญาณหกสายอีกครั้ง โดยดูดเข้าไปในส่วนลึกสุดจิตดั้งเดิมของตน
ดวงดาราของกายดาราอนธการจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดพลังเวทน่าสะพรึงกลัวออกมา เปลี่ยนเป็นกุญแจที่กักขังมารสวรรค์เบิกฟ้าเอาไว้
“เจ้าเป็นใครกันแน่”
“เจ้าคิดจะทำอะไร!”
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
หานเจวี๋ยไม่สนใจเสียงร้องคำรามของมารสวรรค์เบิกฟ้า สายตามองตรงไปที่พุทธะอาภรณ์ขาว
ไอสีดำค่อยๆ จางหาย เผยให้เห็นรูปร่างพุทธะอาภรณ์ขาว สีหน้าของเขาเริ่มคืนสู่สภาพเดิม
พุทธะอาภรณ์ขาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างผ่อนคลาย เมื่อมองไปเห็นหานเจวี๋ย ก็พลันตกใจขึ้นมาทันที
เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “สหายเต๋าซุนเฉวียน มีเรื่องอันใดกัน”
หานเจวี๋ยจ้องมองเขา ก่อนเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้จักมารสวรรค์เบิกฟ้าหรือไม่”
พุทธะอาภรณ์ขาวส่ายหน้า
ทันใดนั้นเอง เขาก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป
“เมื่อครู่นี้เจ้าเห็นอะไรอย่างนั้นหรือ” พุทธะอาภรณ์ขาวเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
หานเจวี๋ยกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “หากข้าไม่มา เกรงว่าเจ้าคงจะถูกยึดร่างเข้าแล้วจริงๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พุทธะอาภรณ์ขาวถึงกลับตกใจจนเหงื่อไหลทั่วร่าง ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหวาดกลัว
“เจ้าไม่อยากบอกก็ช่างเถิด”
หานเจวี๋ยทิ้งคำพูดไว้เท่านี้ก็หันกลับ เตรียมที่จะจากไป
พุทธะอาภรณ์ขาวรีบร้อนเรียกขึ้นในทันที “ช้าก่อน! ข้าบอกแล้ว!”
หานเจวี๋ยสามารถช่วยเขาได้ แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะทำอันตรายเขา
อีกทั้งยามนี้ดวงชะตาของทั้งสองคนเชื่อมเข้าด้วยกัน พุทธะอาภรณ์ขาวรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องปิดบัง ไม่แน่ว่ายังสามารถได้รับความช่วยเหลือจากหานเจวี๋ยได้อีก
“ข้าไม่รู้จักมารสวรรค์เบิกฟ้า แต่สำนักพุทธกำลังเคลื่อนย้ายจิตมาร โดยให้ลูกศิษย์ทุกคนค้ำจุน นี่คือวิธีการป้องกันของสำนักพุทธสำหรับศิษย์ที่คิดทรยศ มารสวรรค์เบิกฟ้าที่เจ้าพูดถึงอาจจะเป็นจิตมารที่บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์มอบให้ข้าเป็นรางวัล” พุทธะอาภรณ์ขาวถอนหายใจ
หานเจวี๋ยยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม
สำนักพุทธเลี้ยงจิตมาร?
นี่มันคือเคล็ดลับวิชาอะไรกัน
พุทธะอาภรณ์ขาวกล่าวต่อว่า “ความเป็นมาของจิตมาร ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ศิษย์ทุกคนล้วนแต่มีจิตมารไม่เหมือนกัน ตามตบะที่แข็งแกร่ง จิตมารก็จะแข็งแกร่ง แม้กระทั่งพระพุทธที่มีพลังแข็งแกร่งก็สามารถนำจิตมารมาใช้เป็นอุบายในการสู้รบได้ แต่ว่าเจ้ารู้ความเป็นมาของข้าแล้ว ข้าก็อยากขับไล่จิตมารมาก”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “จิตมารของเจ้าถูกข้าควบคุมไว้แล้ว”
พุทธะอาภรณ์ขาวตะลึงงัน และรีบตรวจดูร่างกายของตนทันที
เขาแปลกใจไปชั่วขณะ
รับไปแล้วจริงๆ!
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
แต่ว่าจิตมารขจัดออกยากมาก!
หานเจวี๋ยหมุนกายจากไป
พุทธะอาภรณ์ขาวกัดฟัน พลันคุกเข่าลงที่ด้านหลังของหานเจวี๋ย พร้อมก้มหัวคำนับอยู่หลายครั้ง กล่าวว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ! ข้าติดค้างท่านหนึ่งชีวิต!”
[พุทธะอาภรณ์ขาวเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 5 ดาว]
หานเจวี๋ยโบกมือไปมา ยังไม่ทันหันกลับ หายจากไปอย่างรวดเร็ว
เขากลับถึงภายในถ้ำเทวาฟ้าประทานอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยนั่งอยู่บนตียงนอน เริ่มตรวจสอบพลังวิญญาณที่ถูกมารสวรรค์เบิกฟ้ากักขัง
“จงบอกที่มาของเจ้า”
เสียงของหานเจวี๋ยดังขึ้น ทำให้มารสวรรค์เบิกฟ้าตกใจตื่น
มารสวรรค์เบิกฟ้าราวกับเป็นดวงวิญญาณดวงหนึ่ง ดำทะมึนไปทั่วร่าง จนยากจะแยกแยะใบหน้าที่แท้จริงได้
……………………………………
[1] น้ำมาก็ใช้ดินต้านทาน สำนวนจีนหมายถึง การเลือกใช้วิธีการที่แตกต่างกันมาแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่ต่างกัน หรือการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า