ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 297 น้องชายผู้โง่เขลา ต้วนหงเฉิน
หานมิ่ง? ใครกัน หานเจวี๋ยอดตกตะลึงไม่ได้เมื่อเห็นข้อความที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า
เขารีบเรียกดูค่าความสัมพันธ์เพื่อค้นหาภาพประจำตัวของหานมิ่งทันที
[หานมิ่ง: ระดับเซียนลึกล้ำไท่อี่ระยะปลาย ทายาทจักรพรรดิเซียน หานเจวี๋ยพี่ชายของเขาถูกจักรพรรดิเซียนวัฏจักรคัดเลือกจนเปลี่ยนชะตากลายเป็นทายาทของจักรพรรดิเซียนวัฏจักร ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิเซียนวัฏจักรจึงต้องตาเขา และได้กลับชาติมาเกิดใหม่ จากมนุษย์ปุถุชนกลายเป็นมนุษย์เซียน เนื่องจากรับรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมีล้วนเป็นเพราะหานเจวี๋ยพี่ชายของตน จึงเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 4 ดาว]
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน น้องชายของข้า?’ หานเจวี๋ยตะลึงงัน
ดวงชะตาทายาทจักรพรรดิเซียนที่ระบบสุ่มให้ที่แท้ก็มีที่มาเช่นนี้ ปล่อยให้จักรพรรดิเซียนวัฏจักรเลือกตนโดยที่ไม่เคยเห็นหน้า แบบนี้ก็เจ๋งเกินไปหน่อย
หานเจวี๋ยไม่ได้รู้สึกขอบคุณจักรพรรดิเซียนวัฏจักรแม้แต่น้อย แต่กลับรู้กสึกขอบคุณระบบมากกว่า
ส่วนน้องชายผู้นั้น หานเจวี๋ยยิ่งไม่คิดจะแยแส
พ่อแม่ทิ้งเขาไปตั้งแต่ยังเล็ก สาเหตุที่จักรพรรดิเซียนวัฏจักรเลือกหานมิ่งคงเป็นเพราะเห็นว่าหานเจวี๋ยกำลังรุ่งโรจน์ จึงต้องการหาเบี้ยอีกตัวมาต่อกรกับหานเจวี๋ย
‘คิดจะเอาน้องชายหน้าโง่มาขู่เข็ญข้าหรือ ไม่มีทาง!’
หานเจวี๋ยยิ้มเหยียดหยัน คร้านจะใส่ใจหานมิ่ง
หานมิ่งยังเป็นเพียงเซียนลึกล้ำไท่อี่ ไม่สามารถคุกคามเขาได้
อย่าว่าแต่หานมิ่งเลย แม้แต่จักรพรรดิเซียนวัฏจักรก็ไม่อยู่ในสายตาของหานเจวี๋ยด้วยซ้ำ อย่างไรเสียเขาก็เป็นจักรพรรดิเซียนเช่นกัน
ตอนนี้เขายิ่งกำลังฝึกฝนมหามรรควัฏจักรอนธการที่แข็งแกร่งยิ่งว่าวิชาวัฏจักรหกวิถี
หลังจากสาปแช่งศัตรูจนครบแล้ว หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ลุกขึ้น กลับฝึกบำเพ็ญต่อ
แม้จักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุตศัตรูของเขาจะตายไปแล้ว แต่เขาก็ยังต้องพยายามเพื่อที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป
เป้าหมายของเขาคือจักรพรรดิเซียนสี่วัฏ!
…
ในห้วงอากาศว่างเปล่าอันเวิ้งว้าง มีดวงอาทิตย์อยู่ดวงหนึ่ง
เปลวเพลิงลุกโชนไปทั่วพื้นผิวของดาวเคราะห์ ดูราวกับแดนชำระบาป ท่ามกลางสถานที่แห่งหนึ่งบนดาวนั้นมีพระราชวังขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน เบื้องหน้าทางเข้าของพระราชวังมีอีกาทองยักษ์สามขาสองตัวเกาะอยู่
ภายในท้องพระโรงลุกโชนด้วยเพลิงแท้สุริยะไปทั่วทุกหนแห่งไม่ต่างกัน แต่เครื่องใช้ของตกแต่งทั้งหลายกลับไม่ถูกเปลวเพลิงนั้นเผาไหม้
เงาร่างแต่ละสายยืนอยู่ในท้องพระโรง เจียงอี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ผู้ที่นั่งหัวแถวมีร่างกายกำยำ มีหัวเป็นนกและร่างเป็นมนุษย์ สวมชุดคลุมสีแดงชาด แผ่รังสีอันน่าสะพรึงกลัว
นั่นก็คือหัวหน้าเผ่าเทพอีกาทอง ตี้หล่านเทียน!
“จักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุตตายแล้ว ช่วงที่ผ่านมานี้เขากำลังไล่สังหารใครอยู่” ตี้หล่านเทียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
เจียงอี้เอ่ยขึ้นก่อนเป็นคนแรก “เขากำลังตามไล่สังหารสหายคนหนึ่งของข้า ทว่าสหายผู้นี้ตบะอ่อนแอ ยังไม่บรรลุเป็นจักรพรรดิเซียน จักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุตคงจะถูกสังหารโดยฝีมือของผู้ทรงพลังท่านอื่นมากกว่า”
คนอื่นๆ พยักหน้าคล้อยตามกันไป
ก่อนหน้านี้ที่เจียงอี้ถูกจักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุตสังหาร นำความโกลาหลมาสู่ภายในเผ่าอย่างยิ่ง พวกเขาล้วนแต่เป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่ควรค่าแก่การปลูกฝังของเผ่าเทพอีกาทอง ไม่ว่าจะสูญเสียผู้ใดไปย่อมเป็นที่น่าเสียดายทั้งสิ้น
ตี้หล่านเทียนหรี่ตาลงและเอ่ยขึ้นว่า “จักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุตตายในยมโลกหรือ”
ชายชราท่านหนึ่งพยักหน้าและตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าเคยถามพญายมก่อนหน้านี้ แต่ท่านพญายมกำลังปิดด่านฝึกฝน จึงกล่าวว่าไม่ทราบ ก่อนหน้านี้พระกษิติครรภ์ก็ถูกโจมตีจากปรมาจารย์มาร จึงไม่มีเวลาสนใจจักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุต”
คนอื่นเริ่มคาดเดากันไปต่างๆ นานา
เจียงอี้อารมณ์เสียเมื่อได้ยินดังนั้น จึงเอ่ยว่า “ตายแล้วก็ตายไป ท่านหัวหน้าเผ่า ขอเพียงท่านให้เวลาข้า การอยู่เหนือจักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุตผู้ยิ่งใหญ่หาใช่เรื่องยาก ข้าจะนำความรุ่งเรืองมาให้สู่เผ่าเทพอีกาทองของเรา!”
ตี้หล่านเทียนหรี่ตาลงจ้องมองเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มหาเคราะห์ครั้งนี้ เจ้ามีแผนจะทำเช่นไร จะหลีกหนี หรือจะเข้าร่วม”
“แน่นอนว่าต้องเข้าร่วม!”
“เจ้าไม่กลัวตายเลยหรือ”
“เหตุผลที่บุตรแห่งสวรรค์ยังเป็นบุตรแห่งสวรรค์ นั่นก็เพราะว่ายังมีชีวิตอยู่ หากข้าตายไป นั่นก็หมายความว่าข้าไม่ใช่ชะตาสวรรค์แห่งเผ่าเทพอีกาทอง!”
เจียงอี้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ทันทีที่จักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุตถึงแก่ความตาย เขาก็กลายเป็นบุตรแห่งสวรรค์แห่งเผ่าเทพอีกาทองที่แข็งแกร่งที่สุด ที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้
ตี้หล่านเทียนคลี่ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความนัยลึกล้ำ
“ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนั้น ข้าก็จะมอบหมายภารกิจให้กับเจ้าหนึ่งอย่าง จงมุ่งหน้าไปยังยมโลก ตามหาเจดีย์บรรพชนจอมเวทให้พบ! และทำลายมันเสีย!” ตี้หล่านเทียนกล่าว
เมื่อฟังจบ เจียงอี้ก็ตอบรับอย่างไม่ลังเล
ส่วนคนอื่นๆ พลันฮือฮาออกมา
เจดีย์บรรพชนจอมเวท!
พวกเขาอดคิดถึงความชิงชังอันยาวนานระหว่างเผ่าจอมเวทและเผ่าเทพอีกาทองไม่ได้
……
คืนวันผันผ่าน เพียงพริบตา เวลาก็ผ่านไปสามสิบปี
ตบะของหานเจวี๋ยก้าวหน้าอีกครั้ง ความเร็วของกายดาราอนธการในการดูดซับแรงกรรมจากบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรเพิ่มขึ้นไม่หยุด ดูเหมือนว่าจักรพรรดิเซียนสี่วัฏจะอยู่อีกไม่ไกล
ทุกๆ สิบปี หานเจวี๋ยจะใช้เวลาหนึ่งเดือนมาดูแลเหล่าศัตรูคู่อาฆาตของตน ทว่ามีเพียงตบะของจอมปีศาจอินทรีทองเท่านั้นที่ถดถอยลงเรื่อยๆ ส่วนจักรพรรดิปีศาจ บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ และหลี่เสวียนเอ้าล้วนสาปแช่งได้ยากเย็นนัก
หานเจวี๋ยไม่ได้รีบร้อน ใช้ชีวิตไปแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา และเริ่มสาปแช่งศัตรูอีกครั้ง
เขาสาปแช่งไปพลางอ่านจดหมายไปพลาง
ดูเหมือนว่าวังสวรรค์จะมีเรื่องกับวังปีศาจอีกแล้ว เกิดการโจมตีและบาดเจ็บมากมาย
โอกาสวาสนาของสิงหงเสวียนเองกลับมีไม่น้อย ดูท่าสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ของเหยี่ยวทองนั้นจะไม่ธรรมดาทีเดียว
อีกทั้งยังไม่รู้ว่าช่วงนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยระยะทางที่ห่างไกล ทำให้หานเจวี๋ยไม่มีทางรับรู้สถานการณ์ความเป็นไปของนางได้เลย
หลายวันต่อมา หานเจวี๋ยยังคงสาปแช่งศัตรูอยู่
[ตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด จะตรวจสอบที่มาหรือไม่]
หานเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น และเลือกที่จะตรวจสอบดู นานแล้วที่ไม่ได้เห็นผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด น่าจะหลายร้อยปีแล้วกระมัง
ปัจจุบันนี้ สิ่งมีชีวิตในโลกเขย่าพิภพไม่สามารถให้กำเนิดผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดที่ผ่านการรับรองจากระบบได้อี
ธรณีประตูของผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดเองก็สูงขึ้นตามตบะที่เพิ่มพูนของหานเจวี๋ย
[ต้วนหงเฉิน: จักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏ ถือกำเนิดขึ้นเพื่อฝ่าเคราะห์ เทพบรรพกาลกลับชาติมาเกิด เคยเข้าร่วมมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตและถึงแก่ความตาย เสี้ยววิญญาณของเขาถูกสะกดไว้ในยมโลกพร้อมกับแรงกรรมโลกาสวรรค์ ผ่านการวิวัฒนาการนับครั้งไม่ถ้วน กายเนื้อก่อกำเนิดจากแรงกรรม สติปัญญาเกิดจากเสี้ยววิญญาณ สามารถแข็งแกร่งขึ้นด้วยการดูดซับแรงกรรม แต่เขาไม่สามารถย่อยสลายแรงกรรมได้]
หือ? ถือกำเนิดขึ้นเพื่อฝ่าเคราะห์?
ผู้ฝ่าเคราะห์ไม่ใช่จี้เซียนเสินหรอกหรือ หรือว่าผู้ฝ่าเคราะห์จะไม่ได้มีเพียงคนเดียว?
หานเจวี๋ยรีบค้นหาต้วนหงเฉินในทันที เจ้าหมอนี่กลับอยู่ในปรโลก และกำลังค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำทะเล
เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน หานเจวี๋ยยังได้ลองทำแบบจำลองการทดสอบกับต้วนหงเฉินก่อน
อันตรายนัก!
สังหารในเสี้ยววินาที!
เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวล
หานเจวี๋ยไม่ได้ไปหาต้วนหงเฉิน ดาวหายนะเช่นนี้อยู่ห่างให้ไกลจะดีกว่า เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกลากไปสู่มหาเคราะห์ด้วย
…….
ใจกลางแม่น้ำปรโลกอันมืดสลัว ดวงตาคู่หนึ่งเบิกโพลงขึ้น ดวงตาคู่นี้สว่างสุกใสราวกับสามารถขับไล่สิ่งโสมมใดๆ ในโลกออกไปได้ทั้งหมด
“ในที่สุด ข้าก็ตื่นได้เสียที”
เสียงเอ่ยพึมพำสายหนึ่งดังขึ้น เขาพลันพุ่งทะยานออกมาจากแม่น้ำปรโลก สายน้ำจากปรโลกใต้ธรณีพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า
จากนั้นเรือนร่างของต้วนหงเฉินก็เผยออกมา ร่างกายของเขาเปลือยเปล่า รูปร่างสมบูรณ์แบบ กล้ามเนื้อเป็นลอนชัด ผมสีขาวปลิวไสวไปตามสายลม
เขายกมือข้างขวาขึ้น น้ำจากปรโลกใต้ธรณีเบื้องล่างก็พวยพุ่งตามมา ห่อหุ้มร่างเปลือยเปล่าของเขา กลั่นตัวเป็นเสื้อรัดรูปสีเหลือง มงกุฎลักษณะคล้ายกับเขามังกรปรากฏขึ้นบนศีรษะ ดูดุร้ายน่าเกรงขาม
ต้วนหงเฉินบิดเอวเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงกางแขนทั้งสองข้างออก ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา “เฮ่าเทียน ข้าฟื้นคืนชีพแล้ว ข้าก็นำหน้าเจ้าไปช่วงชิงมรรคาสวรรค์ก่อนก้าวหนึ่งแล้วกัน!”
เขายิ้มด้วยความมั่นใจที่ไม่อาจหาใดเปรียบ
ขณะที่กำลังจะออกไป จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่แนวปะการังเล็กๆ บนพื้นผิวของทะเลปรโลกที่อยู่ไกลๆ
“เอ๋?”
ใบหน้าของต้วนหงเฉินเผยแววประหลาดใจ เขากล่าวพึมพำขึ้น “เทพแห่งความโชคร้าย เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
คิดแล้วต้วนหงเฉินก็เหาะไปทางเกาะสำนักซ่อนเร้นทันที
เพิ่งฟื้นคืนชีพก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความโชคร้าย เขาจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้
ช่างเป็นการเริ่มต้นที่โชคดีเสียนี่กระไร!
………………………………………………..