ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 30 พลังวิเศษ กระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจ
เซียนซีเสวียนยกมือขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้ศิษย์ทุกคนเงียบ
บรรดาศิษย์รีบเงียบปาก และมองไปทางนางด้วยความตึงเครียด
ลัทธิมารถือกำเนิดระดับเปลี่ยนวิญญาณ สำหรับสำนักหยกพิสุทธิ์แล้วเป็นหายนะครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
“ถึงแม้ลัทธิมารจะมีระดับเปลี่ยนวิญญาณ พวกเราก็ต้องรับศึก สำนักหยกพิสุทธิ์ก่อตั้งมาเกือบพันปี ไหนเลยจะถูกลัทธิมารทำลายย่อยยับได้ ปกติอาจารย์ไม่ขอให้พวกเจ้าสร้างคุณูปการอะไรให้ยอดเขาหยกวิเวก แต่เมื่อสำนักหยกพิสุทธิ์มีภัย พวกเจ้าจะต้องเตรียมตัวรับศึกให้ดี นับตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราทั้งหมดห้ามไปจากสำนักหยกพิสุทธิ์ ให้ตั้งใจฝึกฝน เตรียมสู้ศึกกับลัทธิมารฟ้ามืด!”
เซียนซีเสวียนกวาดสายตามองทุกคน กล่าวเน้นย้ำทีละประโยค
พลังระดับปราณก่อกำเนิดปะทุออกมา แรงกดดันปกคลุมทั้งตำหนักใหญ่
ศิษย์ทั้งหลายหนาวสะท้านในใจ แม้จะหวาดกลัว พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงออกมา
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีวิธีการอื่นอีก
พวกเขาต่างก็เคยรับมือกับลัทธิมารฟ้ามืด เข้าใจดีว่าจุดจบของการยอมจำนนน่าเวทนายิ่งกว่า
……
ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน สายฟ้าสวรรค์พวยพุ่ง
หานเจวี๋ยกำลังฝ่าด่านเคราะห์
ภายใต้การคุ้มกันของเขตอาคม เสียงและอานุภาพกดดันของสายฟ้าสวรรค์ไม่อาจหลุดลอดออกไป
เคราะห์สวรรค์ในครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง สายฟ้ากลายเป็นมังกร มีพลังทำลายล้างสูงกว่า
แต่น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถทำลายการป้องกันของอาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทองได้
หานเจวี๋ยใช้พลังวิญญาณปกป้องพืชพรรณดอกไม้ในถ้ำเทวาไว้ ป้องกันไม่ให้พวกมันได้รับความเสียหาย โชคดีที่สายฟ้าสวรรค์โจมตีมาทางเขาตลอด
แม้ว่าห้องภายในถ้ำจะไม่ใหญ่ แต่ก็สูงมาก เมฆครึ้มปิดช่องบนหลังคาถ้ำไว้พอดี
ในระหว่างที่หานเจวี๋ยฝ่าด่านเคราะห์ เขามักจะฝันร้ายอยู่เสมอ
ฝันร้ายมีทุกรูปแบบ มีทั้งสหายกับอาจารย์ตายอนาถ มีทั้งตัวเองกลับไปโลกเก่าอีกครั้ง ก่อนจะตะลึงงันเมื่อพบว่าเป็นแค่ความฝัน
ดีที่หานเจวี๋ยมีจิตใจแน่วแน่ ฝันร้ายเหล่านี้จึงไม่ส่งผลกระทบต่อเขา
ส่วนมารในใจ ยิ่งไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย
‘ปราณก่อกำเนิด ข้าจะทะลวงให้ได้’
หานเจวี๋ยคิดด้วยความตื่นเต้น
เมื่อเขาโคจรพลังภายในไม่หยุด พลังวิญญาณหกสายในร่างก็ก่อตัวเป็นวังน้ำวนอีกครั้ง รวมตัวกันอยู่บนแก่นปราณทอง จนเกิดเค้าโครงของปราณก่อกำเนิดรางๆ
เขาเข้าใกล้ระดับปราณก่อกำเนิดแล้ว
“ศิษย์น้อง!”
เสียงของฉางเยวี่ยเอ๋อร์ดังมาจากนอกถ้ำเทวา หานเจวี๋ยนึกว่าตนเองหูแว่ว ก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ยินมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ด้านนอกถ้ำเทวา
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เรียกไปแล้วสองสามครั้ง หานเจวี๋ยก็ไม่ตอบกลับมา
นางอดขมวดคิ้วไม่ได้ พูดพึมพำว่า “ศิษย์น้องบ้า ไม่คิดว่าจะตั้งใจฝึกฝนขนาดนี้ สำนักจะเกิดหายนะครั้งใหญ่แล้ว ยังไม่ออกมาอีก”
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าจะรออยู่นอกถ้ำเทวา จึงเดินไปนั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล
หากลัทธิมารบุกเข้าสำนักหยกพิสุทธิ์จากทางด้านนี้ เช่นนั้นหานเจวี๋ยจะประสบเคราะห์ร้ายก่อนใคร นางจะต้องปกป้องเขา
แน่นอน ด้วยความสามารถของนางยากจะที่จะปกป้องหานเจวี๋ยได้ แต่รอหานเจวี๋ยตื่นขึ้นจากการฝึกฝนแล้ว นางก็สามารถบอกเขาได้ทันที และพาหานเจวี๋ยกลับไปซ่อนตัวที่สำนักฝ่ายใน
สิบวันผ่านไป
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็สำเร็จปราณก่อกำเนิด พลังวิญญาณพุ่งขึ้นสูง!
พลังวิญญาณหกสายภายในร่างผสานกันเป็นพลังวิญญาณแบบใหม่ที่ทรงพลัง
พลังวิญญาณหกสาย!
ตัวอักษรแถวหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย
[ยินดีด้วย ท่านทะลวงระดับปราณก่อกำเนิดสำเร็จ ได้รับรางวัลเป็นพลังวิเศษหนึ่งวิชา]
[ทางที่ท่านเลือกคือเส้นทางสายกระบี่]
[ยินดีด้วย ท่านได้รับพลังวิเศษมรรคกระบี่–กระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจ]
ฮ้า…
กระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจ…
จูนิเบียว[1]มาก น่าขายหน้ายิ่งนัก!
หานเจวี๋ยคิดอย่างตื่นเต้น เขารีบเริ่มการสืบทอดพลังวิเศษมรรคกระบี่นี้
แม้ว่าจะเป็นพลังวิเศษ แต่ก็เป็นมรรคกระบี่ สำหรับหานเจวี๋ยแล้วทำความเข้าใจได้ไม่ยาก
พลังวิเศษจะแตกต่างจากวิชาเวท เข้าใจแล้วคือเข้าใจเลย ไม่จำเป็นต้องลงมือฝึกฝน
แน่นอนว่าทันทีที่เข้าใจพลังวิเศษ ก็ยังสามารถฝึกฝนต่อไปเพื่อเพิ่มความชำนาญได้
ในขณะเดียวกัน
ด้านนอกถ้ำเทวา
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกบำเพ็ญ
นางคุ้นชินกับการฝึกฝนในบริเวณนี้แล้ว
นางลืมตามองไปทางถ้ำเทวาฟ้าประทาน พึมพำว่า “ศิษย์น้องบ้า ยังไม่ออกมาอีก โชคดีที่ลัทธิมารไม่ได้บุกมายามนี้”
นางคิดจะจากไปหลายครั้ง แต่ก็กลัวว่าจะคลาดกับศิษย์น้องที่ออกจากการปิดด่าน
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ทอดถอนใจแล้วหลับตาลงอีกครั้ง
ใครบอกให้นางชอบเขากันล่ะ
รออีกหน่อยแล้วกัน
……
วันต่อมา
หานเจวี๋ยศึกษากระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจสำเร็จแล้ว!
เขาเปิดหน้าจอแสดงคุณสมบัติขึ้นดู
[ชื่อ: หานเจวี๋ย]
[อายุขัย: 111/988]
[เผ่าพันธุ์: มนุษย์]
[ตบะ: ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นหนึ่ง]
[วิชายุทธ์: วิชาวัฏจักรหกวิถี (สืบทอดได้) ]
[วิชาเวท: ดรรชนีกระบี่เทพ ย่างก้าวลวงตาเจ็ดชั้น สามกระบี่แยกเงา (ไร้เทียมทาน) ตราประทับเก้ามังกรขจัดมาร]
[พลังวิเศษ: พลังดูดวิญญาณหกสาย กระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจ]
[อาวุธเวท: อาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทอง (สมบัติวิญญาณระดับเจ็ด) เข็มขัดเก็บสมบัติ กระบี่กิเลน]
[คุณสมบัติรากวิญญาณ: ร่างวิญญาณหกสาย ประกอบด้วยรากวิญญาณวายุ รากวิญญาณอัคคี รากวิญญาณวารี รากวิญญาณพสุธา รากวิญญาณพฤกษา และรากวิญญาณอัสนีระดับสูงสุด เสริมดวงชะตาขึ้นอีกระดับ]
[ดวงชะตาแต่กำเนิดมีดังนี้]
[ไม่เป็นสองรองใคร: รูปโฉมหล่อเหลา เจ้าเสน่ห์ระดับสูงสุด]
[ชะตาเซียนกระบี่: คุณสมบัติมรรคกระบี่ระดับสูงสุด ความเข้าใจมรรคกระบี่ระดับสูงสุด]
[ความไวของท่าร่าง: คุณสมบัติท่าร่างระดับสูงสุด]
[ทายาทจักรพรรดิเซียน: ได้รับวิชายุทธ์บำเพ็ญเซียนระดับสูงและหินวิญญาณชั้นสูงหนึ่งพันก้อน]
[ตรวจสอบค่าความสัมพันธ์]
……
อายุขัยทะลุไปที่ 988 ปี!
นี่แค่ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นหนึ่งเท่านั้น รอถึงขั้นเก้าจะต้องเกินพันปีได้แน่นอน!
เลิศ!
หานเจวี๋ยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เขาไม่คิดที่จะออกไปจากถ้ำเทวา กลับวางแผนฝึกฝนต่อ
ทันใดนั้นเขาพบว่าฉางเยวี่ยเอ๋อร์ยังนั่งฝึกบำเพ็ญอยู่นอกถ้ำ
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินเสียงของนาง แต่ว่ากำลังทะลวงระดับอยู่ จึงคิดว่าหูแว่วไปเอง
หานเจวี๋ยลังเลว่าจะออกจากถ้ำเทวาดีหรือไม่
แต่เขาเห็นว่าฉางเยวี่ยเอ๋อร์ฝึกฝนอยู่ เหมือนจะไม่มีเรื่องด่วนอะไร
‘แม่เด็กนี่คิดจะใช้พลังวิญญาณในถ้ำเทวาของข้าจริงๆ ด้วย’
ครั้นนึกได้ว่านางเป็นคนปลูกหญ้าวิญญาณในถ้ำเทวา หานเจวี๋ยก็อนุญาตโดยปริยาย
จากนั้นจึงฝึกฝนต่อ!
……
หนึ่งปีต่อมา
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ผุดลุกขึ้นทันที และมองออกไปไกลๆ ด้วยความหวาดกลัว
เห็นเพียงว่ามีเมฆอัสนีปรากฏเหนือยอดเขาทั้งสิบแปดของสำนักหยกพิสุทธิ์ ซ้ำยังปั่นป่วนรุนแรง ปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ไว้
ทางตะวันตกของสำนักหยกพิสุทธิ์ ผู้บำเพ็ญสายมารแต่ละคนพุ่งออกมาจากในป่า ขี่กระบี่เหินเวหาตรงไปทางสำนักหยกพิสุทธิ์อย่างรวดเร็ว ดูยิ่งใหญ่เกรียงไกร ไอมารรวมเข้าด้วยกันดุจดั่งมหาสมุทรมืดผืนหนึ่ง
ลัทธิมารจู่โจม!
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ลนลานทันใด
จิตใต้สำนึกของนางอยากเรียกหานเจวี๋ย แต่ก็ฉุกคิดได้ว่าลัทธิมารโจมตีมาจากอีกด้านของสำนักหยกพิสุทธิ์ ถ้ำเทวาของศิษย์น้องหานหลบหลีกได้พอดี
หากรีบร้อนพาศิษย์น้องหานกลับสำนักในตอนนี้ จะต้องโชคร้ายมากกว่าโชคดีแน่
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์กัดฟันกระโดดตัวขึ้น จากนั้นขี่กระบี่บินตรงไปทางยอดเขาหยกวิเวก
ภายในถ้ำเทวา
หานเจวี๋ยกำลังฝึกฝน ฉับพลันนั้นก็มีการแจ้งเตือนปรากฏ
[สำนักหยกพิสุทธิ์ของท่านกำลังเผชิญการโจมตีของลัทธิมารฟ้ามืด]
หานเจวี๋ยอึ้งอยู่สักครู่ ก่อนจะรีบกวาดจิตออกไป เขาเห็นภาพยิ่งใหญ่ของลัทธิมารฟ้ามืดที่กำลังบุกโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์เป็นการใหญ่พอดี
ทำไมจู่ๆ ก็เปิดศึกขึ้นมา
หานเจวี๋ยเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปราณก่อกำเนิดแล้ว พลังเหนือกว่าแต่ก่อนมาก ย่อมไม่ร้อนรนเป็นธรรมดา
ทว่าครั้งนี้ลัทธิมารบุกมามากขนาดนี้ เขาคิดว่าควรต้องระมัดระวังสักหน่อย
หานเจวี๋ยไม่ได้รีบไปสนับสนุน
เขาเปิดการทำงานแบบจำลองการทดสอบ ตรวจสอบดูคนทั้งหมดที่อยู่ในสำนักหยกพิสุทธิ์ และให้ระบบค้นหาผู้แข็งแกร่งที่สุด
[ต้วนทงเทียน: ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นหนึ่ง เจ้าลัทธิมารฟ้ามืด]
ระดับเปลี่ยนวิญญาณ!
หานเจวี๋ยสะดุ้งโหยงโดยพลัน
ร้ายกาจขนาดนี้เชียว
ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของหานเจวี๋ยคือหนี
สำนักหยกพิสุทธิ์ต้องต้านไม่อยู่แน่!
‘สงบใจหน่อย!
ตอนนี้เราเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก ระดับรวมแก่นปราณสามารถสังหารระดับปราณก่อกำเนิดได้!’
หานเจวี๋ยตัดสินใจทดสอบพลังของต้วนทงเทียน
ลองดูว่าเขาที่ฝึกฝนกระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจแล้วจะต้านทานต้วนทงเทียนได้หรือไม่!
จิตสำนึกของหานเจวี๋ยเข้าไปในพื้นที่ทดสอบทันที
การต่อสู้เริ่มขึ้น
หนึ่งนาทีต่อมา
หานเจวี๋ยพลันลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
เขาพึมพำกับตัวเอง “แค่นี้เองหรือ”
หานเจวี๋ยพบว่าเขาประเมินกำลังของตัวเองต่ำเกินไป
สิ่งที่เขามีอยู่คือกระบี่เวทชั้นเลิศ!
สิ่งที่ฝึกฝนคือวิชายุทธ์สืบทอดของจักรพรรดิเซียน!
คุณสมบัติกายคือร่างวิญญาณหกสาย!
ทั้งยังฝึกฝนพลังวิเศษด้วย!
แนวคิดของคนทั่วไปไม่อาจนำมาใช้กับเขาได้
หานเจวี๋ยลุกขึ้นยืน เตรียมตัวไปดูที่สำนักหยกพิสุทธิ์
…..
สำนักหยกพิสุทธิ์ที่เคยรุ่งเรืองตกอยู่ในความโกลาหล เมืองสำนักฝ่ายในถูกทำลายกลายเป็นซากปรักหักพัง ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยศพ
มองไปเหนือยอดเขาทั้งสิบแปดลูก ล้วนเต็มไปด้วยเงาของการต่อสู้
“เฉาเชา! เฉาเชา! รีบไสหัวออกมารับความตายเสีย!”
จางคุ่นหมัวที่เป็นอาจารย์ของเฉินซานเทียนลอยอยู่กลางอากาศ คำรามด้วยความโมโห ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ กำลังโกรธแค้นถึงขีดสุด
จางคุ่นหมัวโกรธแทบตายแล้ว
มาถึงสำนักหยกพิสุทธิ์นานขนาดนี้ เฉาเชายังไม่ปรากฏตัวอีก
หรือว่าจะหนีไปแล้ว
เขาอดกลั้นมาหลายสิบปี ก็เพื่อที่จะได้แก้แค้นให้ศิษย์ในวันนี้ แต่กลับหาศัตรูคู่แค้นไม่เจอ ไม่ต้องบอกเลยว่าเขาจะอัดอั้นแค่ไหน
จางคุ่นหมัวหันไปมองยอดเขาหลักของสำนักหยกพิสุทธิ์ ยอดเขาหลักที่สูงตระหง่านมีไฟโหมกระหน่ำ เปลวเพลิงม้วนขึ้นฟ้า ภาพอลังการยิ่งนัก
“เจ้าลัทธิน่าจะใกล้เผด็จศึกแล้วกระมัง”
จางคุ่นหมัวพูดพึมพำ เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของบรรดาผู้อาวุโสสำนักหยกพิสุทธิ์อ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเผชิญหน้ากับระดับเปลี่ยนวิญญาณ ไม่มีผู้ใดในสำนักหยกพิสุทธิ์ต้านทานได้!
……………………………………….
[1]จูนิเบียว ความหมายตรงตัวคือโรคป่วย ม.2 ใช้บรรยายคนที่มีภาวะหลงผิด คิดว่าตัวเองเท่ กระทั่งมีพลังวิเศษหรือเป็นยอดมนุษย์ ชอบทำตัวแตกต่างเพื่อให้ตัวเองโดดเด่น แต่ว่าความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น